บัลลังก์พญาหงส์ - บทที่ 438 สั่นสะท้าน
วันนี้ฮองเฮาสั่งให้คนนำวัตถุดิบและถุงเครื่องหอมที่ใช้ฆ่าพิษกำจัดเชื้อโรคไปให้บรรดาลูกสะใภ้ พระชายารัชทายาทไม่จำเป็นต้องพูดถึง เพราะอยู่ในวังหลวง ที่ส่งให้หลักๆ ก็คือจวนตวนชินอ๋อง จวนจวงอ๋องและจวนอู่อ๋อง
นอกจากชายาเอกที่ถูกต้องตามทำนองคลองธรรมของสามคนนี้แล้ว คนที่ได้รับสิทธิพิเศษนี้ก็ยังมีถาวจวินหลัน
คนที่มาส่งวัตถุดิบและถุงเครื่องหอมให้จวนตวนชินอ๋องเป็นคนคุ้นเคย นั่นก็คือฉ่ายยวน พูดไปแล้ว ตอนแรกที่ฮองเฮาหาถาวจวินหลันเจอก็เพราะว่าใช้ฉ่ายยวน คิดไม่ถึงว่าวันนี้จะได้เจอฉ่ายยวนอีกครั้ง
ก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่ในวังหลวงต่อให้บังเอิญพบที่วังของฮองเฮา ก็ไม่มีเวลามาพูดคุย วันนี้กลับไม่เหมือเดิม แต่เดิมถาวจวินหลันไม่อยากเจอฉ่ายยวน แต่ของเหล่านั้นเป็นสิ่งของที่ฮองเฮาประทานมาให้ จึงต้องออกไปรับกับมือเท่านั้น ดังนั้นนางจึงทำได้แค่ออกไปพบฉ่ายยวนด้วยตนเอง
ฉ่ายยวนไปที่เรือนของหลิวซื่อเพื่อส่งมอบของให้ก่อน แล้วถึงได้มาหา
ทั้งสองคนพบหน้ากัน ฉ่ายยวนทำความเคารพถาวจวินหลันอย่างนบน้อมก่อนโดยไม่พูดจาใดๆ
ถาวจวินหลันก็ยอมรับ ฐานะยังค้ำคออยู่ หากจะละเลยกฎเกณฑ์ไปก็ไม่ดี อย่างที่สองก็เพราะว่าอยากจะแสดงที่ให้ฉ่ายยวนได้เห็นว่าพวกนางไม่ใช่คนจำพวกเดียวกันมานานแล้ว ในเมื่อยามนี้ฉ่ายยวนมาจัดการธุระแทนฮองเฮา ถ้าเช่นนั้นพวกนางก็ย่อมกระทำในสิ่งที่สมควร เรื่องราวความสัมพันธ์เก่าก่อนกลับทำได้แค่วางเอาไว้เท่านั้น
พอทำความเคารพเสร็จแล้ว ฉ่ายยวนก็ยิ้มให้ถาวจวินหลันอย่างแฝงนัย “ตอนนี้ชายารองถาวถือว่าผ่านทุกข์ได้สุขแล้วนะเจ้าคะ”
ถาวจวินหลันยิ้มเรียบๆ “เพียงแค่โชคดีเท่านั้นเอง” พอพูดไปแล้วก็ถือว่าเป็นโชคดีจริงๆ ถ้าไม่ใช่เพราะบังเอิญพบหลี่เย่ ตอนนี้นางก็อาจจะเป็นเพียงนางกำนัลตัวเล็กคนหนึ่งเท่านั้น หรือว่าถูกปล่อยออกไปแต่งงานกับผู้ชายธรรมดาๆ คนหนึ่ง แล้วใช้ชีวิตธรรมดาเป็นปกติ ไฉนเลยจะมีหน้าตาและเกียรติยศเช่นนี้?
“เพื่อนร่วมห้องของพวกเราตอนนั้น มีเพียงชายารองถาวที่มีชีวิตดีที่สุด” ฉ่ายยวนยังคงยิ้มอย่างแฝงนัย แลดูมีท่าทีเยาะเย้ย “แต่ไม่รู้ว่าวันนี้ชายารองถาวจะยังจำความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องได้อยู่หรือไม่?”
ถาวจวินหลันหลุบตาลง รอยยิ้มไม่เปลี่ยนแปลง “ทำไมจะจำไม่ได้ ย่อมต้องจำได้เป็นแน่?” แต่ทางเดินที่แตกต่างกันไม่อาจหารือร่วมกันได้ ที่นางทำได้ก็เพียงแค่จดจำเท่านั้น
“หลี่ว์หลิ่วในตอนนั้นช่วยชายารองถาวไว้ไม่น้อย” ฉ่ายยวนหัวเราะเสียงเย็น มองไปที่ถาวจวินหลันนิ่ง “ไม่ทราบว่าชายารองถาวยังจำได้หรือไม่?”
“ย่อมต้องจำได้” ถาวจวินหลันหรี่ตาลง มองไปยังฉ่ายยวน “ฉ่ายยวน เจ้าคิดจะพูดอะไรกันแน่? ข้าจำได้ว่าก่อนหน้านี้เจ้าเป็นคนเถรตรง คิดอย่างไรก็พูดอย่างนั้น ทำไมมาถึงตอนนี้ถึงได้อ้อมค้อมชักแม่น้ำทั้งห้ามาพูดเล่า?”
“หลี่ว์หลิ่วป่วยเจ้าค่ะ” ฉ่ายยวนหยุดไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็พูดเรื่องนี้ออกมาว่า “ป่วยจนใกล้จะสิ้นลมแล้ว”
ถาวจวินหลันได้ยินเช่นนั้นก็ตกใจ “จะเป็นไปได้อย่างไร?” ไม่ว่าจะไม่พร้อมเพียงใด แต่หลี่ว์หลิ่วก็ยังเป็นสนมของฮ่องเต้ และยังเป็นสนมที่เคยได้รับความโปรดปรานมาก่อนด้วย ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องมีชีวิตดีระดับหนึ่ง อีกทั้งมีหลายครั้งที่นางบังเอิญพบหลี่ว์หลิ่วในวังหลวง ดูแล้วก็ไม่เห็นว่าจะมีชีวิตเลวร้ายอย่างไรเลย
“นางให้ข้านำจดหมายฉบับหนึ่งมาให้ท่าน” ฉ่ายยวนหยิบจดหมายฉบับหนึ่งมาจากในแขนเสื้อ เลิกคิ้วมองถาวจวินหลัน “ท่านจะดูหรือไม่?”
ถาวจวินหลันนิ่งคิด ก่อนรับจดหมายมาถือเอาไว้ แต่ไม่ได้เปิดอ่านในทันที เพียงแค่มองฉ่ายยวน แล้วถามว่า “นางป่วยเป็นโรคอะไร? หมอหลวงได้รักษาแล้วหรือไม่?”
ฉ่ายยวนส่ายหัว “ข้าก็ไม่ทราบรายละเอียดในนั้น” นางมีท่าทีเศร้าโศกแฝงอยู่ไม่น้อย “แต่ข้าเห็นนางแล้วคิดว่าคงจะไม่ไหวแล้วจริงๆ คิดดูแล้วคนที่ชอบเอาชนะในตอนแรก ตอนนี้ก็คงเหลือแค่เพียงกระดูกแล้ว”
ฉ่ายยวนพูดอย่างโศกเศร้า ถาวจวินหลันฟังแล้วก็รู้สึกไม่สบายใจ
พอส่งฉ่ายยวนกลับไปแล้ว ถาวจวินหลันก็เปิดจดหมายออกดู เนื้อหาในจดหมายนั้นก็เป็นเพียงแค่ตัวอักษรไม่กี่คำเท่านั้น ถ้าจะบอกว่าเป็นจดหมาย ไม่สู้บอกว่าจดบันทึกแก้เบื่อดีกว่า
ตัวหนังสือของหลี่ว์หลิ่วไม่ถือว่าสวย อย่างมากที่สุดก็เพียงแค่เป็นระเบียบเท่านั้น ระหว่างตัวอักษรนั้นล้วนเป็นหมึกดำเข้ม ดูแล้วชวนให้รู้สึกกดดัน
เรื่องที่สูญเสียลูกไปในตอนนั้น ในใจของหลี่ว์หลิ่วคงจะโกรธแค้นและเสียใจเป็นอย่างมาก เรื่องนี้รู้ได้ไม่ยาก
ถาวจวินหลันอ่านซ้ำไปมาสองรอบ สุดท้ายแล้วก็ถอนหายใจเสียงเบา เก็บจดหมายเข้าที่เดิม ทันใดนั้นก็คิดถึงคำพูดของฉ่ายยวนขึ้นมา ก่อนยิ้มเฝื่อนๆ หันไปสั่งว่า “ไปเรียกโจวอี้มาพบข้า”
เพียงไม่นานโจวอี้ก็เข้ามาในจวน
ถาวจวินหลันพูดขึ้นหลังจากที่โจวอี้ทำความเคารพนางเสร็จแล้ว “เจ้ายังมีคนสนิทอยู่ภายในวังหลวงหรือไม่? ก่อนหน้านี้ตอนที่ข้าอยู่ในวังหลวงมีนางกำนัลคนหนึ่งที่มีบุญคุณต่อข้าล้มป่วยลง ข้าอยากจะฝากคนดูแลนางสักหน่อย ไม่รู้ว่าเจ้ามีวิธีหรือไม่?”
โจวอี้ตกใจเล็กน้อย แล้วก็ถามกลับมา “ไม่ทราบว่าเป็นใครขอรับ?”
“ชื่อว่าหลี่ว์หลิ่ว เคยอุ้มเชื้อสายมังกรมาก่อน แต่สุดท้ายก็ไม่ได้คลอดออกมา ตำแหน่งเหมือนจะเป็นขั้นผิน” ที่จริงแล้วถาวจวินหลันก็ไม่ได้รู้อาการของหลี่ว์หลิ่วละเอียดนัก เพียงแค่พูดสิ่งที่ตนเองรู้ทั้งหมดออกไป แต่พักอยู่ที่วังไหนกลับไม่รู้เลยจริงๆ
โจวอี้นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วจึงพูดว่า “ข้าจะลองดูขอรับ แต่ในเมื่อเป็นถึงผิน พื้นฐานแต่เดิมก็คงจะไม่เลวร้ายมาก อาจไม่ต้องใช้ความช่วยเหลือจากพวกเรานะขอรับ”
ถาวจวินหลันถอนหายใจออกมา “ลองดูเถิด ต่อให้ช่วยไม่ได้มากนัก ก็ช่วยหาหมอหลวงฝีมือดีไปดูอาการเท่านั้นก็ยังดี มิเช่นนั้นก็แอบซื้อของบำรุงหรือว่าทำสิ่งที่นางอยากทานก็ย่อมได้ อย่างไรก็ถือว่าเป็นน้ำใจของข้า”
หากเป็นไปได้ ที่จริงแล้วนางก็อยากจะไปดูด้วยตนเอง แต่ต่อให้ตอนนี้นางเข้าวังหลวงไป ก็เกรงว่าคงจะไม่ได้เจอหลี่ว์หลิ่ว อย่างไรวังส่วนในก็ไม่ใช่สถานที่ที่นางเดินเล่นไปมาตามใจชอบได้ นอกจากไปสถานที่ที่ไปทำความเคารพแล้ว นางก็ไม่อาจไปวังของสนมคนอื่นได้
อีกทั้งร่างกายของนางก็ยังไม่หายดี คงไม่ดีเท่าไรหากจะเข้าไปในวังหลวง
โจวอี้รับปากเรื่องนี้
ถาวจวินหลันพูดอีกว่า “รอจนรู้ว่าสถานการณ์ของนางเป็นอย่างไร เจ้าก็ค่อยมาบอกข้า”
ส่วนวัตถุดิบและถุงเครื่องหอมที่ฮองเฮาประทานมาให้ ถาวจวินหลันเพียงแค่ให้หงหลัวหากล่องมาบรรจุลงไป ปิดฝากล่องให้เรียบร้อย ถ้าจะให้ใช้นางคงไม่กล้าใช้เป็นแน่ เพียงแต่ตอนนี้จะเอาไปทิ้งก็ไม่ดี ดังนั้นจึงทำได้แค่ปิดเอาไว้ก่อน แล้วค่อยเอาไปทิ้งทีหลังก็ย่อมได้
เพราะเรื่องของหลี่ว์หลิ่ว ถาวจวินหลันจึงรู้สึกไม่สบายใจทั้งวัน หงหลัวจับสังเกตได้ แม้จะบอกว่าร้อนรนแต่ก็จนปัญญา หลี่ว์หลิ่วและถาวจวินหลันมีความสัมพันธ์เช่นใดนางเองก็ไม่รู้ ย่อมไม่รู้ว่าจะต้องเริ่มโน้มน้าวจากที่ไหน
แต่หงหลัวก็ให้คนบอกถาวซินหลัน อย่างไรตอนนี้หลี่เย่ไม่อยู่ คนที่เกลี้ยกล่อมถาวจวินหลันได้ก็มีเพียงถาวซินหลันแล้ว
แม้ไปบอกถาวซินหลันทั้งอย่างนี้จะไม่ค่อยเหมาะสมนัก แต่ถ้าถาวจวินหลันเป็นเช่นนี้ต่อไป นางเองก็รู้สึกว่าไม่เหมาะ อย่างไรร่างกายก็ยังไม่ทันหายดี แล้วยังต้องมาเสียใจเหน็ดเหนื่อยเพียงนี้ แล้วร่างกายจะรับไหวได้อย่างไรกัน?
ด้วยถาวซินหลันมีเวลาว่างอยู่แล้ว ดังนั้นจึงมาอย่างรวดเร็ว พอมาถึงแล้วหงหลัวก็ลากถาวซินหลันไปพูดต้นสายปลายเหตุของเรื่องนี้รอบหนึ่ง รอจนเข้าใจสถานการณ์อย่างชัดเจนแล้วถึงได้ปล่อยให้ถาวซินหลันไปพบถาวจวินหลัน
ถาวซินหลันย่อมจำได้ว่าครั้งพวกนางเพิ่งเข้าไปที่หน่วยงานซักล้าง หลี่ว์หลิ่วช่วยเหลือพวกนางอย่างไรบ้าง แต่ตอนนี้…นางถอนหายใจจออกมา “สุดท้ายแล้วทุกสิ่งทุกอย่างก็เปลี่ยนไปตามกาลเวลา หลี่ว์หลิ่วชอบเอาชนะมากเกินไป ถึงได้พบจุดจบเช่นนี้ ท่านพี่เองก็ไม่ต้องเป็นกังวลมากเกินไป ตอนที่อยู่ในวังหลวง ข้าเองก็ตอบแทนบุญคุณนางไปไม่น้อย ตอนนี้ท่านเองก็วานให้คนไปช่วยนาง สิ่งที่พวกเราพอทำได้ก็ทำหมดแล้ว ถือว่าไม่ได้ทำสิ่งที่ต้องละอายแก่ใจแล้วนะเจ้าคะ”
ถาวจวินหลันหัวเราะขมขื่น “ข้าเพียงรู้สึกโศกเศร้าแทนนางก็เท่านั้น” นางยังไม่ถึงขั้นละอายใจ นางถามตัวเองแล้วแม้จะบอกว่าช่วยอะไรหลี่ว์หลิ่วไม่ได้ แต่ก็ไม่เคยทำอะไรไม่ดีต่อหลี่ว์หลิ่ว ต่อให้ตอนแรกปฏิเสธที่จะร่วมมือกับหลี่ว์หลิ่ว ตอนนี้นางเองก็ไม่รู้สึกเสียดาย
ถาวซินหลันดึงตัวถาวจวินหลันพูดคุยเรื่องอื่นอีกครู่หนึ่ง พอปลอบถาวจวินหลันพอสมควร และรั้งตัวอยู่ทานอาหารกลางวันด้วยกันแล้วถึงได้กลับไป
ตกดึก ถาวจวินหลันก็ได้รับข่าวที่สอง เป็นข่าวที่ถ่ายทอดมาจากสวนน้ำพุร้อนข้างพระราชฐาน เป็นข่าวที่มีความเกี่ยวข้องกับคนที่อยู่ในพระราชฐาน
อี๋เฟยคลอดแล้ว ให้กำเนิดบุตรชาย ให้กำเนิดออกมาเมื่อวันที่ยี่สิบห้าเดือนเจ็ด เด็กสุขภาพแข็งแรงอย่างมาก
เมื่อคำนวณดูแล้ว วันที่อี๋เฟยคลอดบุตรก็เร็วกว่ากำหนดหนึ่งเดือนเต็ม ถือว่าคลอดก่อนกำหนด คิดไม่ถึงว่าเด็กจะแข็งแรงอย่างมาก ไม่รู้จริงๆ ว่าเป็นลิขิตสวรรค์หรือว่าอี๋เฟยมีโชคจริงๆ
แม้จะบอกว่าระยะทางระหว่างเมืองหลวงและพระราชฐานต้องใช้เวลาเดินเท้าสองวันเต็ม แต่หากม้าเร็วก็ใช่เวลาหนึ่งวัน แต่ตอนนี้ข่าวยังถ่ายทอดมาไม่ถึงวังหลวง อย่างน้อยตอนนี้ก็ยังไม่มีใครพูดถึง ไม่รู้ว่าภายในวังหลวงรู้แล้วแต่ตั้งใจปิดบังเอาไว้ หรือว่ายังไม่ได้รายงานเลย?
อย่างน้อยไม่ว่าจะเป็นแบบไหนก็ชวนให้คนแปลกใจทั้งนั้น แม้ว่าตอนนี้สถานการณ์จะไม่ดีนัก จึงไม่ควรป่าวประกาศเรื่องนี้ แต่ก็ไม่จำเป็นต้องปิดบัง แล้วยิ่งไม่กลับมารายงานก็ยิ่งไม่มีเหตุผลไปใหญ่ นี่เป็นบุตรของฮ่องเต้ เป็นเรื่องดี ฮ่องเต้ทราบเรื่องก็จะต้องประทานรางวัลแน่นอน อีกทั้งจะต้องรับอี๋เฟยและลูกกลับวังหลวงเป็นแน่ แล้วเหตุใดถึงไม่รายงาน?
ถาวจวินหลันยังไม่ทันคิดตก ทางด้านโจวอี้กลับเข้ามารายงานข่าวเรื่องหนึ่งด้วยสีหน้าไม่ดีนัก
หลี่ว์หลิ่วป่วยหนักใกล้ตายแล้วจริงๆ แต่ไม่ใช่อาการโรคที่พบเห็นได้ทั่วไป แต่เป็นโรคระบาด
ถาวจวินหลันได้ยินอย่างนั้นก็นิ่งตะลึงงันไปทันที ผ่านไปครู่ใหญ่ถึงถามด้วยเสียงสั่นว่า “เป็นโรคระบาดจริงหรือ?”
สีหน้าของโจวอี้นิ่งขรึม พูดด้วยน้ำเสียงมั่นใจว่า “นี่เป็นผลที่หมอหลวงทั้งสี่คนตรวจได้ขอรับ”
เมื่อพูดเช่นนี้ก็คงเป็นโรคระบาดจริง ถาวจวินหลันกำนิ้วแน่น รู้สึกว่าทั่วทั่วทั้งร่างเย็นเฉียบ เย็นจนนางเริ่มตัวสั่นสะท้านอย่างควบคุมไม่อยู่
โรคระบาด คิดไม่ถึงว่าจะเป็นโรคระบาด ตอนนี้กรมหมอหลวงยังไม่สามารถคิดค้นเทียบยาที่รักษาโรคระบาดได้ เกรงว่าหลี่ว์หลิ่วคงมีความหวังไม่เยอะ แต่หลี่ว์หลิ่วไปติดโรคระบาดมาได้อย่างไร? นางอาศัยอยู่ในส่วนลึกของวังหลวง แล้วจะไปติดต่อมาได้อย่างไรกัน?
โรคระบาดนี้ถ้าหากว่าไม่มีคนถ่ายทอด แล้วจะเป็นได้อย่างไร? และภายในส่วนลึกของวังหลวงก็แทบจะตัดขาดการติดต่อกับผู้คน จะไปมีโรคระบาดได้อย่างไรกัน?
“หลี่ว์หลิ่วเป็นอย่างไรบ้าง?” ผ่านไปครู่ใหญ่ ถาวจวินหลันก็ถามอีกเล็กน้อย
โจวอี้ถอนหายใจออกมา พูดเสียงเบา “ปิดวังกั้นส่วนไปแล้วขอรับ แม้แต่คนที่ปรนนิบัติรับใช้ข้างกาย และคนที่พบหน้าสองสามวันมานี้ แม้แต่หมอหลวงสี่คนนั้นก็ถูกจัดให้อยู่ห้องที่ห่างออกไปขอรับ”
ถาวจวินหลันพยักหน้า “ก็ควรแยกออกไป ไม่อาจให้โรคระบาดแพร่กระจายได้อีก คนในวังหลวงมีมาก หากแพร่กระจายออกไปจริง ไม่ว่าใครก็คงจะยอมรับเรื่องนี้ไม่ได้”
โจวอี้มองถาวจวินหลันทีหนึ่ง อยากพูดแต่ก็หยุดไป
ถาวจวินหลันกลับเข้าใจความหมายของโจวอี้ จึงยิ้มออกมาน้อยๆ แม้จะบอกว่ามือเท้ายังเย็น ร่างกายยังสั่นควบคุมไม่ได้ นางก็ยังพูดอย่างเด็ดขาดว่า…