บัลลังก์พญาหงส์ - บทที่ 441 เข้มงวด
ถาวจวินหลันเข้าใจความหมายที่หงหลัวต้องการสื่อ ความจริงแล้วนางเองก็เคยสงสัยเช่นนั้น เพียงแค่… “แม้ว่าจะสงสัย แต่ก็หาเหตุผลมารองรับไม่ได้ อย่างแรกฉ่ายยวนก็ต้องสัมผัสหลี่ว์หลิ่วมาก่อนแล้ว แต่คงไม่มีใครคิดหรอกว่าฉ่ายยวนจะยอมแบกความผิดแล้วลากข้าไปตายด้วย อย่างที่สองวันนี้ที่ฉ่ายยวนมาก็ถือว่าเป็นเรื่องสมเหตุสมผล ถ้าหากจะเอาเรื่องกับนาง นางก็จะไร้ข้อสงสัยแม้แต่น้อย”
หงหลัวเม้มปาก “แต่หากเป็นความจริง”
“ต่อให้เป็นความจริงข้าเองก็จนปัญญา” ถาวจวินหลันหัวเราะเฝื่อนๆ “ยามนี้ข้าถูกขังอยู่ในเรือนเฉินเซียง จะไปทำอะไรได้อีก? แม้ว่าจะคิดหาวิธีไปบอกท่านอ๋องได้ แต่ก็มีแต่ทำให้ท่านอ๋องยิ่งเป็นกังวลมากขึ้นเท่านั้นเอง”
หากเป็นแผนของฮองเฮา หลี่เย่รู้แล้วจะทำอะไรได้? ไม่มีหลักฐานเอาผิด หลี่เย่เองก็ไม่มีความสามารถมากพอจะทำได้ กลับยิ่งให้เขารู้สึกโมโหคิดแค้นอีกต่างหาก หากสูญเสียสติสัมปชัญญะและมารยาทไปเพราะเรื่องนี้ และทำเรื่องที่ไม่สมควรขึ้นมา ถ้าเช่นนั้นก็ยิ่งได้ไม่คุ้มเสีย
ต่อให้นางไม่พอใจมากเท่าไร คิดอยากจะแก้แค้นอย่างไร นั่นก็ยังต้องรอวันที่ได้ออกไป ไม่ต้องพูดว่าตอนนี้ออกไปไม่ได้ แค่คิดอยากจะถ่ายทอดข่าวสารออกไปก็ไม่ใช่เรื่องง่าย
อย่างไรทหารองครักษ์ที่เฝ้าอยู่ด้านนอกก็ไม่ได้กินหญ้าเป็นอาหาร คนภายในจวนออกไปไม่ได้ สิ่งของก็ส่งออกไปไม่ได้ ย่อมทำอะไรไม่ได้อยู่แล้ว
หงหลัวได้ยินเช่นนั้นก็กัดริมฝีปากอย่างหงุดหงิด
ถาวจวินหลันหลุบตาลง พูดว่า “ให้ห้องครัวเตรียมอาหารรสอ่อนเสียหน่อย ข้าเริ่มหิวแล้ว” ก่อนหน้านี้ยังไม่รู้สึก ตอนนี้อาจติดเชื้อโรคระบาดมาแล้ว นางกลับไม่สามารถปล่อยปะละเลยได้
หากสุขภาพย่ำแย่ แล้วหากโรคระบาดมาจริง นางจะสู้ไหวได้อย่างไรกัน? ไม่ว่าอย่างไรสุขภาพแข็งแรงถึงจะมีโอกาสต่อต้านมิใช่หรือ?
ต่อให้อยากมีชีวิตต่อเพื่อออกไปพบหลี่เย่และลูกๆ หรือออกไปแก้แค้นก็ดี นางจะไม่ยอมล้มอยู่ที่นี่
ในเมื่อต้องการมีสุขภาพแข็งแรง เช่นนั้นอาหารการกิน การบำรุงในแต่ละวันก็ไม่อาจละเลยเหมือนก่อนหน้านี้ได้
ไม่รู้ว่าทำไมถาวจวินหลันพลันนึกถึงฮองเฮาได้ ตอนนั้นฮองเฮาถูกฮ่องเต้ริบอำนาจดูแลวังหลวงไป และให้ตัวนาง ‘รักษาร่างกาย’ อยู่ในวังหลวงครู่หนึ่ง ทุกคนล้วนพูดว่าครั้งนี้ฮองเฮาคงจะต้องรามือไปแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าฮองเฮากลับใช้โอกาสนี้บำรุงรักษาร่างกายใหม่ ตอนที่ปรากฏตัวมาอีกครั้งกลับดูกระฉับกระเฉงมากกว่าเดิม
หงหลัวสั่งผ่านประตูออกไป จากนั้นก็กลับมาเห็นสีหน้าครุ่นคิดของถาวจวินหลัน จึงไม่ได้ส่งเสียงรบกวน เพียงแค่นั่งนิ่งอยู่กับที่ ก่อนหน้านี้ยังมีเรื่องที่ทำไม่เสร็จ ตอนนี้ถูกกักอยู่ภายในห้อง นางกลับรู้สึกโหวงเหวง ไม่รู้ว่าควรจะทำอะไร
ในใจยังแอบคิดว่า หากใกล้ตายจริงแล้วจะทำเรื่องนั้นอยู่ทำไม? ยังมีความหมายอะไรอีกหรือ?
ที่จริงแล้วแม้ปากจะพูดอย่างง่ายดาย แต่ในความเป็นจริงแล้วในใจของหงหลัวก็รู้สึกหวาดกลัวอย่างมาก ด้วยยังจำภาพสถานการณ์ตอนเป็นเด็กได้ ดังนั้นนางจึงยิ่งขลาดกลัวมากกว่าเดิม แต่เมื่อเห็นท่าทีเช่นนั้นของถาวจวินหลัน นางจะกล้าแสดงท่าทีขลาดกลัวได้อย่างไร? ไม่เพียงแค่ไม่กล้าแสดงออกมา แล้วยังทำได้แค่ฝืนยิ้มปลอบประโลมถาวจวินหลัน ถาวจวินหลันจะได้ฮึดสู้ใหม่
ไม่ใช่ว่านางหมดหวังหรือคิดว่าตนเองโชคร้าย แต่ก่อนจะรู้ผลแน่ชัด เกรงว่านางคงจะต้องทนอย่างนี้ต่อไป
หงหลัวแอบคิดอย่างมืดมนว่า ถ้าจะต้องทนทรมานเช่นนี้ ไม่สู้ตัดใจไปให้เร็ว จะได้สบายใจเสียหน่อย
ตอนที่ถาวจวินหลันและหงหลัวไม่พูดไม่จาครุ่นคิดเรื่องของตนเองอยู่นั้น หลี่เย่ก็ไปเข้าเฝ้าไทเฮา
ไม่รู้ว่าไทเฮาสับสนหรืออย่างไร เมื่อได้ยินเสียงรายงานก็ผ่อนคลายลงทันที รีบพูดว่า “รีบให้ตวนชินอ๋องเข้ามา”
หลี่เย่ไม่รอให้นางกำนัลถ่ายทอดคำพูด ก็ก้าวเข้าไปอย่างรวดเร็ว ดูมีท่าทีคล้ายกับซวนเอ๋อร์ ซวนเอ๋อร์นอกจากไปที่วังของฮองเฮาแล้ว ปกติก็จะวิ่งพุ่งเข้าไป ไม่เคยรอให้นางกำนัลเอ่ยรายงาน
แต่เห็นได้ชัดว่าไทเฮาไม่มีแรงมาสนใจเรื่องนี้ นางมองพิจารณาหลี่เย่อย่างพิถีพิถัน จากนั้นก็พยักหน้าถอนหายใจโล่งอก “ข้ากลัวว่าเจ้าจะใจร้อนทำเรื่องพลีพลาม ดูท่าทางจะยังทัน”
เมื่อได้ยินไทเฮาพูดเช่นนี้หลี่เย่ก็เข้าใจทันที เขาก็รู้ว่าไทเฮาต้องมีเอี่ยวเรื่องทหารองครักษ์ไม่ให้เขาเข้าจวนแน่ เขาจึงเอ่ยปากถามไทเฮาด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “ทหารองครักษ์ห้ามข้าเอาไว้ เป็นคำสั่งของเสด็จย่าหรือพ่ะย่ะค่ะ?” เขาร้อนใจ น้ำเสียงจึงไม่ได้ดีนัก แม้ว่านิสัยยังดูอ่อนโยน แต่ก็แตกต่างจากปกติมากนัก
ไทเฮาได้ยินเช่นนั้นก็หน้าดำคล้ำทันที น้ำเสียงเย็นขึ้นหลายส่วน “เป็นคำสั่งของข้าเอง”
หลี่เย่เอ่ยปาก แต่เดิมตั้งใจจะถามไทเฮาว่าทำไปเพราะเหตุใด แต่เมื่อมองสายตาเย็นเยียบของไทเฮา เขากลับเหมือนคนถูกสาดน้ำเย็นเข้าอย่างจัง คำพูดที่เหลือหายกลับเข้าไปในลำคอ
ที่จริงแล้วไม่จำเป็นต้องถาม เขาเองก็รู้ดีแก่ ไม่มีอะไรมากไปกว่าความปลอดภัยของเขาเอง ไทเฮากลัวว่าเขาจะบุ่มบ่ามมุทะลุบุกเข้าจวนอ๋องไป ไม่เพียงแค่เสี่ยงอันตราย แล้วยังทำให้คนไม่ชอบใจด้วย
ไทเฮาทำเช่นนี้ก็ถือว่าเป็นการคิดเผื่อเขา ด้วยเขารู้ดีแก่ใจ ดังนั้นจึงไม่พูดคำพูดที่เหลือออกมา จะถามทำไม? ถามไปก็ยังคงเป็นเหมือนเดิม กลับยิ่งทำลายน้ำใจของไทเฮาด้วย
หลี่เย่หัวเราะขมขื่น ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรออกมา เขาตัดสินใจนั่งลงไป ยกชาขึ้นมาจิบช้าๆ สงบจิตใจ ที่จริงแล้วเขาไม่ได้มาไล่ถามใคร ถามไปให้ได้อะไรขึ้นมา ยังไงเรื่องราวก็ยังคงไม่เปลี่ยนจากเดิม
“ที่จริงแล้วถาวซื่อก็ปิดประตูเรือนของตนเองก่อนแล้ว และจัดการเรื่องทุกอย่างเหมาะสม ที่ส่งทหารองครักษ์ไปดูจะโดดเด่น และดึงดูดสายตาไปหน่อยพ่ะย่ะค่ะ” หลี่เย่พูดช้าๆ
ไทเฮาเห็นว่าเขายอมลงให้ จึงอ่อนลงหลายส่วน “แต่ไม่ทำเช่นนี้พวกเขาจะขัดขวางเจ้าได้อย่างไร?”
หลี่เย่เห็นไทเฮามีท่าทีเช่นนี้ เขาก็รู้สึกเจ็บปวดใจขึ้นมา แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาพูดเรื่องเหล่านี้ จึงพูดแค่เพียงประเด็นหลักเท่านั้น “ในเมื่อถาวซื่อปิดเรือน ก็คงไม่ยอมออกมาเจอข้าแน่พ่ะย่ะค่ะ ต่อให้ข้าเข้าไปในจวนก็เสียเปล่า พูดไปแล้ว ข้ายังเด็ดขาดสู้นางไม่ได้ด้วยซ้ำ เวลานี้ไม่รู้ว่าสถานการณ์ของนางเป็นเช่นไร ดังนั้นข้าถึงอยากให้เสด็จย่าช่วยเชิญหมอหลวงไปดูนางพ่ะย่ะค่ะ”
เชิญหมอหลวงไปดูอาการไว้ นี่เป็นสิ่งเดียวที่เขาทำให้นางได้ และสิ่งที่จวนขาดแคลนมากที่สุดก็คือหมอ แต่หมอธรรมดาไฉนจะสู้หมอหลวงได้? แม้จะรู้ว่าหมอหลวงก็ไม่มีเวลาว่างเช่นกัน แต่เขาสนใจคนอื่นที่ไหนกัน? ขอแค่ถาวจวินหลันปลอดภัย ต่อให้คนอื่นตายไปเป็นหมื่นเป็นแสน เขาเองก็ไม่สนใจ แม้ว่าจะเป็นบาป แต่ให้เขาแบกไว้เพียงคนเดียวก็พอแล้ว
ไทเฮาเม้มปากไม่พูดจา เพียงแค่มองหลี่เย่นิ่ง นางค่อนข้างผิดหวังในตัวหลี่เย่ คนเป็นย่าเห็นหลานตนเองคิดคำนึงถึงผู้หญิงคนหนึ่งขนาดนี้ ถึงขั้นไม่สนใจหน้าที่การงานของตนเพราะผู้หญิงคนนี้ นางจะไม่รู้สึกผิดหวังได้อย่างไร?
แม้ว่าไทเฮาจะไม่ได้แสดงอาการออกมา แต่มองไทเฮาเพียงแวบเดียว หลี่เย่ก็เข้าใจความคิดของไทเฮา เขาบอกไม่ถูกว่าในใจรู้สึกอย่างไร เพียงแค่สูดลมหายใจเข้าเฮือกใหญ่ ก่อนเอ่ยปากอย่างเรียบนิ่ง “ในจวนยังมีเซิ่นเอ๋อร์อยู่พ่ะย่ะค่ะ แม้จะบอกว่าซวนเอ๋อร์ถูกส่งไปแล้ว แต่ข้าจะกล้าปล่อยให้เซิ่นเอ๋อร์ตกอยู่ในอันตรายได้อย่างไร? อีกทั้งถาวซื่อก็เป็นคนมีคุณธรรม หากตอนนี้ข้าไม่สนใจ เกรงว่าเสด็จพ่อจะต้องคิดว่าข้าเลือดเย็น ไร้เยื่อใย แม้แต่ประชาชนและผู้ลี้ภัยเหล่านั้นก็เห็นถาวซื่อเป็นคนดีนะพ่ะย่ะค่ะ หากข้าทำดีกับนาง ในอนาคตชื่อเสียงของข้าก็ต้องดีเป็นแน่พ่ะย่ะค่ะ”
ไทเฮาได้ยินหลี่เย่พูดเช่นนี้ก็ผ่อนคลายลง ความผิดหวังที่อยู่ในใจก็หายไปเล็กน้อย ใช่แล้ว นางคิดแค่เพียงหลี่เย่ต้องการช่วยถาวซื่อ แต่กลับลืมว่าในจวนก็ยังมีเซิ่นเอ๋อร์อยู่ แม้เซิ่นเอ๋อร์จะสู้ซวนเอ๋อร์ไม่ได้ แต่อย่างไรก็เป็นสายเลือดของหลี่เย่ เขามีลูกชายอยู่แค่สองคน เขาเป็นพ่อย่อมไม่ยอมให้ทั้งสองคนเกิดเรื่องขึ้นเป็นแน่
อีกทั้งถูกแล้วที่ไม่อาจทำผิดพลาดต่อหน้าฮ่องเต้ได้ และจิตใจของประชาชนก็สำคัญมากเช่นเดียวกัน
สุดท้ายแล้วหลี่เย่ก็ยังไม่สูญสิ้นสติสัมปชัญญะไป ไทเฮาพยักหน้าอย่างพอใจ “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็จะให้กรมหมอหลวงส่งคนฝีมือดีไปสักคนหนึ่ง”
หลี่เย่ได้ยินเช่นนั้น ก็รู้สึกโล่งใจไปเปราะหนึ่ง เขายังกลัวอยู่ว่าจะพูดกล่อมไทเฮาไม่ได้ แม้ว่าเขาจะเป็นชินอ๋อง แต่ในช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้ เขาก็ไม่อาจสั่งย้ายหมอหลวงได้ มิเช่นนั้นเขาก็คงไม่ต้องมาขอร้องไทเฮา
ไทเฮาเหลือบมองหลี่เย่ทีหนึ่ง ครุ่นคิดพลางพูดว่า “ข้าเองก็รู้ว่าถาวซื่อเป็นคนใช้ได้ เรื่องที่ควรทำนางก็ทำอย่างดี ถือว่าเป็นคนมีคุณธรรม แต่เจ้าจะละเลยภาพรวมเพียงเพราะนางไม่ได้ เจ้าลองคิดดู หากเจ้าเป็นเช่นนี้ ไม่ยิ่งทำลายน้ำใจของคนที่สนับสนุนเจ้าหรืออย่างไร? เจ้าคงไม่อาจเอาชีวิตของคนมากมายไปแลกกับผู้หญิงที่เจ้าโปรดปรานเพียงคนเดียวได้ สิ่งที่เจ้าอดทนมานานหลายปีนี้ หรือเจ้าจะยอมละทิ้งสิ่งที่สั่งสมมาแต่ก่อนไปเปล่าๆ เพื่อผู้หญิงคนเดียวอย่างนั้นหรือ?”
ไทเฮาพูดออกมาตรงๆ อย่างโหดร้าย หลี่เย่ค่อยๆ ก้มหน้าลง พูดว่า “ไทเฮาพูดถูกพ่ะย่ะค่ะ เป็นหลานเองที่เลอะเลือน”
หลี่เย่ยอมรับความผิดอย่างง่ายดาย ไทเฮาก็ไม่อาจพูดต่อได้ เพียงแค่ถามอีกว่า “ช่วงนี้เจ้าคิดจะไปพักที่ใดกัน? มีที่ไปหรือไม่? ถ้าไม่มีที่ไป ก็กลับมาพักในวังหลวงได้”
“ข้ามีที่ไปพ่ะย่ะค่ะ เสด็จย่าไม่ต้องกังวล” หลี่เย่ยิ้ม ดูเหมือนท่าทีอ่อนโยนเชื่อฟังในวันก่อนได้กลับมาอีกครั้ง
ไทเฮายิ่งมองยิ่งรู้สึกพอใจ พูดว่า “ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นเด็กรู้ความตั้งแต่เด็ก วันนี้ก็เพียงเพราะมุทะลุเท่านั้น แต่ต่อจากนี้ไปเจ้าจะต้องจำเอาไว้ อย่าได้เป็นเช่นนี้อีก”
หลี่เย่รับปากหนักแน่น สุดท้ายก็พูดอีกว่า “ตอนนี้สถานการณ์ภายในวังหลวงเป็นอย่างไรบ้างพ่ะย่ะค่ะ? ได้ยินว่าเรื่องนี้เกิดจากนางสนมคนหนึ่งติดโรคระบาด แท้จริงแล้วเกิดอะไรขึ้นกันแน่พ่ะย่ะค่ะ? คนที่มารายงานพูดไม่ค่อยละเอียดนัก น่าสับสนยิ่งนักพ่ะย่ะค่ะ”
ไทเฮาเห็นหลี่เย่ถามเรื่องนี้ ทันใดนั้นก็ขมวดคิ้วเข้าหากัน ถอนหายใจพลางพูดว่า “ไม่รู้ว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร อยู่ๆ วังหลวงก็เกิดโรคระบาดนี้ ก่อนหน้านี้คนที่ไปตรวจก็เป็นคนไม่ค่อยมีฝีมือ ตรวจแล้วไม่พบอะไร คิดว่าเป็นเพียงไข้หวัดธรรมดา ผลที่ออกมา… ยังดีที่นางสนมคนนั้นไม่ได้รับความโปรดปราน มิเช่นนั้นตอนนี้ก็ไม่รู้ว่าจะเป็นเช่นใด ตอนนี้ปิดวังนั้นไปแล้ว และจับตาดูคนที่ไปมาหาสู่กับนาง จึงยังวางใจได้บ้าง”