บัลลังก์พญาหงส์ - บทที่ 443 ดอกเบี้ย
เวลาสามวันถาวจวินหลันรู้สึกเหมือนผ่านไปเป็นปี เปรียบได้กับความทรมานเพียงช่วงไม่กี่วันแรกที่ตระกูลถาวล่มสลาย
ไม่ใช่แค่เพียงทรมานทางใจ แต่ยังเป็นทางกายด้วย
สามวันมานี้ ไม่เพียงแค่ถาวจวินหลันหรือว่าหงหลัว แม้แต่คนอื่นที่อยู่ในเรือนเฉินเซียงต่างก็ใส่ใจสุขภาพร่างกายของนางทั้งนั้น ต่อให้จาม หรือว่าไอ ก็รีบเร่งไปเรียกหมอหลวงให้มาดูอาการ กลัวว่าอาการโรคระบาดจะกำเริบ
แม้จะบอกว่าผลออกมาปลอดภัยทุกครั้ง แต่ก็ยังไม่อาจรับความทรมานเช่นนี้ได้ ไม่เพียงแค่ถาวจวินหลันเท่านั้น แม้แต่หงหลัวก็ซูบผอมไปอย่างรวดเร็ว แม้ว่าจะบำรุงอยู่ทุกวัน แต่ก็ยังมิอาจทัดทานได้
ยังดีที่จดหมาของหลี่เย่ติดเข้ามากับหมอหลวงที่ส่งเข้ามาในจวนด้วย หากไม่มีจดหมายฉบับนี้คอยปลอบประโลม เกรงว่านางคงบ้าตายไปนานแล้ว ที่จริงต่อให้มีจดหมายฉบับนี้ นางเองก็แทบจะคลุ้มคลั่งไปหลายหน ถ้าไม่ใช่เพราะคิดถึงหลี่เย่และลูกหญิงชายอีกสองคน ไฉนเลยนางจะทนอยู่ได้?
ที่จริงแล้วถาวจวินหลันอยากให้เรื่องนี้จบๆ ไป ไม่ว่าจะดีหรือร้าย จะเป็นหรือจะตายก็ให้รู้เรื่องกันไปเลย ต้องทนทรมานเช่นนี้เหมือนกับมีมีดมาปาดคอ ทั้งลำบากและทรมานจนพูดไม่ออก
และในขณะเดียวกันที่ถาวจวินหลันรู้สึกไม่ดีนั้น เจียงอวี้เหลียนก็รู้สึกไม่ดีเช่นเดียวกัน รสชาติของการถูกกักเอาไว้ในเรือนนั้นไม่ได้ดี โดยเฉพาะเมื่ออยู่ในสถานการณ์ที่ต้องเป็นกังวลตลอดเวลา ก็ยิ่งไม่ดีเข้าไปใหญ่
เจียงอวี้เหลียนเคียดแค้นถาวจวินหลันมากจนพูดไม่ออก นางต้องเข้ามาข้องเกี่ยวเพราะถาวจวินหลัน มิเช่นนั้นแล้วนางจำต้องมาเผชิญความลำบากเช่นนี้หรือ? ด้านหนึ่งนางก็สับสน อีกด้านหนึ่งก็หวังว่าถาวจวินหลันจะปลอดภัย อย่างไรก็มีเพียงผลลัพธ์นี้ นางถึงไม่โดนลากเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย แต่อีกมุมหนึ่งนางก็หวังว่าครั้งนี้ถาวจวินหลันจะต้องมีอันเป็นไป เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ถือว่ากำจัดปัญหาใหญ่โดยที่ไม่ต้องใช้อาวุธด้วยซ้ำไป
แน่นอนว่าไม่มีใครรู้ความคิดเช่นนี้ของเจียงอวี้เหลียน
วันเวลาผ่านไปอีกสองวัน เมื่อถึงวันที่หก ถาวจวินหลันก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ทันที ผ่านห้าวันมาได้อย่างปลอดภัย ก็เหลือแค่ต้องดูอีกไม่กี่วันเท่านั้น ความเป็นกังวลในใจของนางหายไปกว่าครึ่ง
โรคระบาดจะออกอาการอย่างรวดเร็ว ผ่านไปห้าวันแล้วยังไม่เกิดอะไรขึ้น นั่นก็เห็นได้ว่านางไม่ได้รับเชื้อมา
ไม่เพียงแค่ถาวจวินหลันเท่านั้นที่สบายใจ คนอื่นๆ ที่อยู่ภายในจวนก็สบายใจเช่นเดียวกัน
แน่นอนว่าหลี่เย่ที่อยู่นอกจวนก็สบายใจเช่นเดียวกัน พอวางใจได้แล้ว หลี่เย่ก็มีสมาธิไปจดจ่อกับเรื่องเรียกดอกเบี้ยกลับคืนมา
เรื่องนี้ย่อมเกี่ยวข้องกับฮองเฮา อย่างไรแล้วฉ่ายยวนก็เป็นคนของฮองเฮา เรื่องนี้ไม่สามารถบิดเบือนได้
แม้นจะไม่มั่นใจว่าองค์รัชทายาทข้องเกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วยหรือไม่ แต่ฮองเฮาเป็นมารดาผู้ให้กำเนิดของเขา ย่อมต้องวางแผนแทนเขาอย่างไม่ต้องสงสัย
คนที่ฮองเฮาใส่ใจก็มีเพียงองค์รัชทายาทและจวนเหิงกั๋วกงเท่านั้น
หลี่เย่เรียกพบหลิวเอิน แค่นหัวเราะกำชับว่า “ตอนนี้หลานสาวคนเล็กของเหิงกั๋วกงอายุสิบห้าปีแล้วใช่หรือไม่? ตั้งแต่สมัยโบราณ หากพี่สาวไม่สามารถให้กำเนิดลูกชายสืบสกุลกับสามีได้ เรื่องให้น้องสาวแต่งงานออกเรือนไปช่วยก็ใช่ว่าจะไม่มี แม้จะบอกเป็นลูกสาวชายาเอกของจวนเหิงกั๋วกง แต่แต่งงานไปเป็นเหลียงตี้*ของรัชทายาทก็ถือว่าไม่เลว”
หลิวเอินนิ่งตะลึง จากนั้นก็ขมวดคิ้วแน่น “เกรงว่าเหิงกั๋วกงคงจะไม่พอใจเท่าไรพ่ะย่ะค่ะ ได้ยินมาว่าหลานสาวคนเล็กได้รับความเอ็นดูอย่างมาก หน้าตารูปลักษณ์ก็โดดเด่น…” ที่สำคัญที่สุดก็คือจวนเหิงกั๋วกงมีพระชายาองค์รัชทายาทแล้ว ไม่จำเป็นต้องส่งอีกคนหนึ่งไป
“ได้รับความเอ็นดูถึงจะดี” หลี่เย่ยิ้มบางๆ ในดวงตานั้นลึกล้ำ “ถ้าไม่ได้รับความเอ็นดู เมื่อออกเรือนไปแล้วจะไปสู้กับพระชายาองค์รัชทายาทได้อย่างไร” เขาหยุดไปครู่หนึ่ง พลางพูดขึ้นอีกว่า “ถ้าไม่ยินยอมออกเรือนไปกับองค์รัชทายาทก็ไม่เป็นไร ข้าจำได้ว่าตอนนี้เฝินหยางโหวกำลังดูตัวอยู่ จุดประสงค์ของพวกเขาแต่แรกก็คือการแต่งงานเชื่อมความสัมพันธ์ ถ้ายิ่งใกล้ชิดกันเพราะการแต่งงานก็ไม่มีอะไรที่ไม่ดี”
หลิวเอินได้ยินเช่นนี้ก็เข้าใจความหมายของหลี่เย่ เขาต้องการบีบให้จวนเหิงกั๋วกงตัดสินใจ คุณหนูจากชายาเอกคนนั้นทำได้เพียงแต่งงานเข้ามาในวังหลวงแล้ว
“อีกอย่างองค์รัชทายาทก็เกี้ยวพาราสีนางกำนัลคนหนึ่งแล้วไม่ใช่หรืออย่างไร? ย้ายนางกำนัลคนนั้นไปเป็นนางกำนัลหญิงข้างกายเสด็จพ่อ จากนั้นก็ค่อยปล่อยเรื่องนี้ออกไป” หลี่เย่พูดจบ ตัวเองก็อดยิ้มอย่างนึกสนุกไม่ได้ ลูกชายมีความเกี่ยวข้องลึกล้ำกับผู้หญิงข้างกายบิดา ไม่รู้ว่าครั้งนี้เสด็จพ่อจะมีท่าทีเช่นใด?
แต่คิดไปแล้ว สุดท้ายองค์รัชทายาทคงต้องถูกทิ้งเป็นแน่
เขาจะทำเรื่องนี้ในกรณีที่ถาวจวินหลันไม่มีปัญหาอะไร แต่หากถาวจวินหลันเป็นอะไรไป วิธีการของเขาต้องไม่ใช่เท่านี้แน่นอน อย่างน้อยความลำบากที่ถาวจวินหลันได้รับ องค์รัชทายาทเองก็ต้องได้รับเช่นเดียวกัน! ต่อให้โรคระบาดจะต้องแพร่กระจายไปทั้งเมืองหลวง เขาเองก็ต้องให้องค์รัชทายาทประสบกับเคราะห์กรรมนั้น ให้ฮองเฮาได้รู้ว่าอะไรคือกรรมตามสนอง!
แม้ว่าหลี่เย่จะไม่ได้พูดมาก แต่ความเย็นเยียบในสายตากลับทำให้หลิวเอินสั่นสะท้าน
หลิวเอินเข้าใจนิสัยของหลี่เย่ และยิ่งรู้ว่าเจ้านายที่ดูอ่อนหวานอ่อนโยน แต่ความเป็นจริงแล้วเป็นคนที่โหดเ**้ยม ถ้ากล้าหาเรื่องเจ้านายคนนี้ หลี่เย่ก็จะให้คนผู้นั้นได้ลิ้มรสตายดีกว่ามีชีวิตอยู่
หลิวเอินไม่คิดว่าหลี่เย่ทำเกินไป หากเทียบกับสิ่งที่ฮองเฮาทำกับหลี่เย่แล้ว ตอนนี้ก็ถือเป็นแค่เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น สำหรับคนที่ต้องพาลโดนไปด้วยเพราะองค์รัชทายาท…
หลิวเอินก็ไม่คิดสงสาร ฝ่ายตรงข้ามได้ขึ้นเรือขององค์รัชทายาทไปแล้ว ถ้าเช่นนั้นก็ควรต้องล่มจมไปกับองค์รัชทายาท ใครใช้ให้เขาขึ้นเรือลำเดียวกับองค์รัชทายาทเล่า?
นี่เรียกว่าสวรรค์มีทางเดินไม่ยอมเดิน นรกไม่มีประตูแต่กลับจะเข้าไป โทษคนอื่นไม่ได้
แต่หลิวเอินก็คิดว่าองค์รัชทายาทกล้าหาญชาญชัยมาก แม้ว่าตอนนี้จะมีฐานะสูงส่งเป็นองค์รัชทายาท และอาศัยอยู่ภายในวังหลวง แต่นางกำนัลภายในวังหลวงล้วนเป็นคนของฮ่องเต้ นอกจากนางกำนัลในวังไทเฮาเหล่านั้นแล้ว คนอื่นๆ ก็ถือว่าเป็นคนของฮ่องเต้ทั้งนั้น
ลูกชายคิดจะจับต้องผู้หญิงของพ่อถือเป็นเรื่องไม่ควรอย่างมาก แต่องค์รัชทายาทกลับไม่คิดว่าเป็นเรื่องใหญ่ ถือเป็นการเปิดโอกาสให้เล่นงาน และรู้สึกว่าหากไม่ฉวยโอกาสตอนนี้ก็น่าเสียดายยิ่งนัก
เพื่อให้เจ้านายของตนอารมณ์ดีขึ้น หลิวเอินจึงยิ้มพลางพูดกับหลี่เย่ว่า “มากที่สุดก็ต้องใช้เวลาประมาณสองสามวันพ่ะย่ะค่ะ คิดว่าตอนนั้นท่านอ๋องก็น่าจะกลับจวนได้แล้ว ถึงตอนนั้นก็ไปหาชายารองถาวได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อหลี่เย่ได้ยินหลิวเอินพูดพลันก็ดีใจ จึงแย้มยิ้มเอ่ย “ใช่แล้ว ข้าจำได้ว่าครั้งที่แล้วออกทะเลไปได้ไพฑูรย์มาเม็ดหนึ่ง เจ้าเอาไปทำเครื่องประดับให้ชายารองใส่เถิด”
หลิวเอินเห็นว่าหลี่เย่รับสั่งเรื่องนี้ ก็ถอนหายใจโล่งอก ยิ้มพลางรับคำ พูดแค่ว่าตนเองจะต้องจัดการเรื่องนี้ให้ดีเป็นแน่
หลี่เย่ถึงได้โบกมือไล่พลางพูดว่า “ไปเถิด”
เวลาผ่านไปอีกสองวัน ถาวจวินหลันก็สบายใจอย่างถึงที่สุด จนถึงตอนนี้นางก็ยังไม่รู้สึกถึงความผิดปกติอะไร และยิ่งไม่มีอาการป่วยแม้แต่น้อย
ถาวจวินหลันคิดว่าภายในสองวันนี้ ล้ว้ทหารองครักษ์ที่อยู่ด้านนอกนทหารองครักษ์ที่อยู่ด้านนอกก็คงจะทยอยออกไปแล้ว
ด้วยนางไม่มีอาการป่วย จึงออกมาจากห้อง แล้วถือโอกาสตอนหัวค่ำที่แสงแดดไม่ค่อยร้อนออกมาเดินเล่นอยู่สักพักหนึ่ง หลายวันที่นั่งอึดอัดอยู่ในห้อง ทำให้ร่างกายอ่อนแอปวกเปียกไปหมด ได้ตากแดดก็รู้สึกดีขึ้นไม่น้อย
เมื่ออารมณ์ดีขึ้นมากแล้ว นางก็มีกะจิตกะใจสนเรื่องอื่น “ตอนนี้แต่ละที่ภายในจวนเป็นอย่างไรบ้าง?”
หลายวันมานี้มีปี้เจียวคอยดูแลเรื่องต่างๆ ยิ้มและตอบว่า “ไม่มีเรื่องอะไรเจ้าค่ะ นอกจากปิดประตูใช้ชีวิตของแต่ละคนไป ทางด้านเรือนชิวอี๋กลับระมัดระวังทุกด้านเป็นพิเศษ ส่วนอี๋เหนียงสองคนกลับหละหลวมไปเล็กน้อยเจ้าค่ะ”
“พวกนางอยู่ห่างจากพวกเรามากนัก” ถาวจวินหลันยิ้ม “ไม่มีอะไรต้องกลัว ส่วนเรือนชิวอี๋ก็ถือเป็นเรื่องปกติ อย่างไรก็ละเลยเซิ่นเอ๋อร์ไม่ได้ ใช่แล้ว ทางด้านชายาเอกเล่า?”
ปี้เจียวกลับส่ายหน้า “เรื่องนี้ไม่ทราบแล้วเจ้าค่ะ เงียบกริบไร้ข่าวคราวเหมือนปกติเจ้าค่ะ”
ถาวจวินหลันพยักหน้า แล้วไม่ถามอะไรอีก แต่นางไม่มีปัญหาอะไร คิดว่าทางด้านหลิวซื่อเองก็คงจะไม่มีปัญหาอะไรเช่นกัน เพียงแต่ไม่รู้ว่าสถานการณ์ด้านนอกเมืองเป็นอย่างไรบ้าง แล้วยังไม่รู้ข่าวคราวทางด้านถาวซินหลันอีกด้วย
นางรู้ดีแก่ใจ รอครั้งนี้ผ่านไปและได้ออกไปอีกครั้ง เกรงว่าคงไม่มีเวลาสงบสุขเช่นตอนนี้อีกแล้ว เรื่องนี้เห็นได้ชัดว่าเป็นฝีมือของฮองเฮา ถ้าเช่นนั้นไม่ว่าจะเป็นนางหรือหลี่เย่ หรือว่าตระกูลถาวย่อมต้องไม่นิ่งดูดายเป็นแน่
ที่จริงนางเองก็แอบหงุดหงิดเล็กน้อย หากรู้ว่าฮองเฮาจะใช้วิธีเช่นนี้ นางก็ควรชิงลงมือเสียก่อน มิเช่นนั้นคงไม่ต้องมาเจอเรื่องที่น่าตกใจเช่นนี้
แต่จะว่าไปก็น่าแปลก ในเมื่อฮองเฮาลงมือแล้ว ทำไมนางถึงหนีเคราะห์กรรมครั้งนี้พ้น? ฮองเฮาคงไม่ลงมือโดยไม่หวังผลสำเร็จ หรือจะบอกว่าถ้าฮองเฮาไม่มั่นใจเต็มร้อย ก็ไม่มีทางลงมือเด็ดขาด มิเช่นนั้นก็แหวกหญ้าให้งูตื่นแล้ว
ตอนนี้ฮองเฮาและพระชายารัชทายาทกำลังร่วมโต๊ะสำรับอาหารเดียวกัน ท่าทีของทั้งสองคนไม่ค่อยดีนัก บรรยากาศภายในห้องก็อึมครึมอยู่เล็กน้อย
ฮองเฮามองพระชายารัชทายาททีหนึ่ง พลางพูดว่า “ซูเฟยสืบไปถึงไหนแล้ว?”
พระชายารัชทายาทกลับสงบนิ่ง พูดว่า “ร่องรอยขาดไปเพคะ ย่อมต้องสืบอะไรไม่ได้เป็นแน่ ขอแค่ฉ่ายยวนกัดฟันให้แน่นก็จะไม่มีเรื่องอะไรเป็นแน่เพคะ”
ฮองเฮานิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง วางตะเกียบลงหยิบผ้าขึ้นมาเช็ดปากที่ไม่ได้สกปรก กำชับออกมาเนิบๆ “รีบจัดการเสียเถิด เก็บเอาไว้ก็ยิ่งไม่สบายใจ ทางที่ดีอย่าให้ใครรู้เรื่องนี้อีก”
พระชายารัชทายาทพยักหน้ารับคำ วางตะเกียบลงเช่นกัน “เสด็จแม่วางพระทัยเถิดเพคะ”
ฮองเฮาขมวดคิ้ว มีท่าทีกล่าวโทษแอบแฝงอยู่ “จะให้ข้าวางใจได้อย่างไร? ครั้งนี้ลากองค์รัชทายาทเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย ถ้าสืบพบอะไร…”
“เป็นหม่อมฉันที่ผิดพลาดเองเพคะ” พระชายารัชทายาทก้มหน้าลง พลางถอนหายใจออกมา “ใครก็คิดไม่ถึงว่าจะตรวจพบอการป่วยของหลี่ว์หลิ่วในช่วงสำคัญเช่นนี้ หม่อมฉันเองก็คิดไม่ถึงว่าถาวจวินหลันจะรู้เรื่องภายในวังหลวง
ฮองเฮามองพระชายารัชทายาทที่มีท่าทีสงบนิ่งทีหนึ่ง ขยับปากแต่กลับไม่ได้พูดอะไรออกมามาก เพียงแค่กำชับว่า “ต่อจากนี้จะทำอะไรก็ต้องระวัง อย่าได้สะเพร่าเช่นนี้อีก”
พระชายารัชทายาทพยักหน้า “หม่อมฉันรับทราบเพคะ”
“เจ้าเองก็ต้องใส่ใจรัชทายาทเสียหน่อย” ฮองเฮายังคงอดทนต่อหลานสาวแท้ๆ ของตนอยู่มาก พลางสั่งสอนอย่างตั้งใจ “ข้าได้ยินว่าตอนนี้รัชทายาทเทียวไปเทียวมาที่ห้องของหยวนซื่อหลายครั้งแล้ว เจ้าเป็นถึงพระชายารัชทายาท ทำไมถึงปล่อยให้คนข้ามเส้นไปได้อีก? อีกอย่างสองปีมานี้เจ้าก็ไม่มีทีท่าจะตั้งครรภ์เลย อย่างไรก็ต้องเป็นลูกที่คลานออกมาจากท้องของตัวเองถึงจะดีที่สุด คนอื่นคลอดออกมาก็ยังไม่สนิทสนมใกล้ชิดเท่าลูกตนเอง”
พระชายารัชทายาทยิ่งก้มหน้าต่ำลง นิ้วมือที่ขาวซีดกำเข้าหากันแน่นจนเป็นสีเขียว น้ำเสียงก็เบาเหมือนเสียงยุง “หม่อมฉันทราบเพคะ”
*เหลียงตี้ คือตำแหน่งชายารองในองค์รัชทายาท