บัลลังก์พญาหงส์ - บทที่ 445 รบกวน
คิดดูก็รู้ได้ว่าหลังจากพักรักษาตัวไปหลายเดือนนั้น จวงอ๋องคงจะสูญเสียโอกาสแย่งชิงตำแหน่งองค์รัชทายาทแล้ว
ใจของถาวจวินหลันกระตุกวูบ อดถามไม่ได้ว่า “ท่านว่าครั้งนี้จะมีคนคิดยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวหรือไม่?”
หลี่เย่ไม่ได้เอ่ยปฏิเสธอะไร ไม่ว่าจะเป็นยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวก็ดี หรือว่าถูกลากเข้าไปเกี่ยวก็ดี อย่างไรจวนตวนชินอ๋องต้องเสียเปรียบก็เป็นเรื่องจริง
เขารู้สึกหวาดกลัวเล็กน้อย ถึงขั้นไม่กล้าจินตนาการ หากตอนนั้นฮองเฮาไม่ได้ใช้วิธีโรคระบาด แต่ใช้การวางยาพิษแทนเล่า? หากวางใจไปนั้นตอนนี้จะมีผลลัพธ์เช่นใดกัน?
เมื่อคิดเช่นนี้ เขาก็หันไปกำชับกับถาวจวินหลันอย่างจริงจัง “ไม่ว่าอย่างไรต่อจากนี้ไปของที่ถูกส่งมาจากวังหลวงก็ดี หรือจะเป็นคนมาหาก็ดี เจ้าจะต้องระวังให้ดี อย่าสะเพร่าเป็นอันขาด”
ถาวจวินหลันหัวเราะขมขื่น “ไฉนเลยข้าจะกล้าสะเพร่าได้อีก ต่อจากนี้ข้าจะหลบยังไม่ทันเสียด้วยซ้ำไป?” ด้วยพลาดไปครั้งหนึ่ง ก็รู้ทันมากขึ้น ครั้งนี้ถือว่านางเสียเปรียบเป็นอันมาก อย่างอื่นไม่ต้องพูดถึง แค่ที่ตกใจนางเองก็ตกใจมากพอรับไหวแล้ว
หากมีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นอีกครั้ง เกรงว่านางคงเป็นคนแรกที่รับไม่ไหว
เมื่อเห็นว่าถาวจวินหลันได้รับบทเรียนแล้ว หลี่เย่ก็เก็บท่าทีนิ่งขรึมไป แล้วพูดอย่างลุแก่โทษ “เพราะว่าข้าไม่ได้ดูแลเจ้า” หลายวันมานี้เขามัวแต่สนใจเรื่องภายนอก กลับละเลยเรื่องราวภายในจวนไป ถึงทำให้คนอื่นฉกฉวยช่องว่างหาผลประโยชน์
ถาวจวินหลันหัวเราะ พลางถามเขาอย่างออดอ้อนว่า “ดูท่านพูดเข้า จะเป็นโจรนั้นง่ายมาก แต่ป้องกันในระยะยาวกลับทำได้ยากยิ่ง ไม่ใช่หรือเพคะ? หากฮองเฮาคิดจะลงมือจริง แล้วท่านจะป้องกันได้อย่างไร? ถ้าจะให้ข้าพูด วิธีการป้องกันที่ดีที่สุดก็คือการโจมตี ขอแค่ให้นางตั้งตัวไม่ทัน แล้วทำให้นางไม่อาจหาเวลามาจัดการเรื่องเหล่านี้ได้ ถึงจะวางใจได้จริงเพคะ”
หลี่เย่ได้ยินเช่นนั้นก็มองถาวจวินหลันอย่างแปลกประหลาด ตอนนี้เขาควรพูดว่าสามีภรรยามีใจดวงเดียวกัน หรือควรพูดว่าวีรบุรุษมักมีความคิดเห็นคล้ายคลึงกันดี?
“แท้จริงแล้วหลี่ว์หลิ่วไปติดโรคระบาดมาได้อย่างไรเพคะ? นางอยู่ส่วนลึกของวังหลวง และไม่ได้สัมผัสแตะต้องกับผู้อื่น คงไม่ใช่ว่าอยู่ดีๆ แล้วจะไปติดโรคมาได้” ในใจของถาวจวินหลันยังคงคิดเรื่องอื่นอยู่ กลับไม่ได้สังเกตอาการท่าทีของหลี่เย่ เพียงแค่พูดความสงสัยในใจของตนออกมา “ท่านว่านางถูกคนอื่นใช้เป็นหมากหรือไม่เพคะ?”
“อืม” เห็นว่านางยังคาใจเรื่องนี้อยู่ คิดว่าต่อให้ไม่พูดนางก็คงไม่ปล่อยวาง ดังนั้นหลี่เย่จึงยอมรับทันที
ถาวจวินหลันนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ถามอีกว่า “ถ้าเช่นนั้นตอนนี้นางเป็นอย่างไรบ้าง?”
“ใกล้ตายเต็มทีแล้ว” หลี่เย่ยังคงพูดตามความจริง ไม่ได้ปิดบังอะไรแม้แต่น้อย “ตอนนี้กรมหมอหลวงก็ยังคิดหาวิธีแก้ไม่ได้ แม้ว่าจะใช้ยาบรรเทาอาการป่วย แต่ก็ยังต้องทนทรมาน”
ยามนี้หลี่ว์หลิ่วเหลือเพียงแค่ลมหายใจเฮือกสุดท้ายเท่านั้น แม้แต่สติก็ยังไม่ค่อยจะเต็มที่นัก พูดได้ว่าเป็นตะเกียงที่น้ำมันใกล้หมด
“หากเป็นไปได้ท่านเองก็ช่วยเหลือนางแทนข้าด้วยเถิด ให้นางได้รับความยุติธรรมเสียหน่อย แม้ว่าในอนาคตจะจากไป ก็ยังถือว่าสมเกียรติ” ถาวจวินหลันถอนหายใจ แล้วคิดถึงเรื่องตอนที่อยู่ในหน่วยซักล้าง “ถ้าไม่ได้นางช่วยเหลือข้าและซินหลันเอาไว้ตอนแรก ก็ไม่รู้ว่าพวกข้าสองพี่น้องจะตกอยู่ในสภาพเช่นใด”
หลี่เย่รู้เรื่องนี้อยู่แล้ว ตอนแรกที่รู้จักกับถาวจวินหลัน เขาเองก็เคยให้คนไปสืบเรื่องของถาวจวินหลันมาก่อน
และด้วยรู้ว่าหลี่ว์หลิ่วมีบุญคุณต่อถาวจวินหลัน เขาจึงได้มีคำสั่งลงไปนานแล้ว ตอนนี้เมื่อถาวจวินหลันเอ่ยขึ้นมาอีก เขาก็พูดเพียงแค่สองคำเท่านั้น “วางใจเถิด”
ถาวจวินหลันได้ยินก็วางใจ พูดตามความจริงแล้ว หากเป็นไปได้นางเองก็ยังอยากพบหน้าหลี่ว์หลิ่วอีกสักครั้ง ถามนางดูว่ายังต้องการอะไรอีกหรือไม่ ถ้าหากนางทำได้ก็จะช่วยเหลือ
แต่สถานการณ์ในตอนนี้เห็นได้ชัดว่าเป็นไปไม่ได้ แต่ในใจของนางก็พอรู้ความปรารถนาของหลี่ว์หลิ่ว หลี่ว์หลิ่วรังเกียจฮองเฮาเป็นที่ยิ่ง ไม่อย่างนั้นหลี่ว์หลิ่วคงจะไม่มาหานางตอนแรก คิดอยากให้นางลงมือกับฮองเฮา
เรื่องจัดการฮองเฮานั้นเห็นได้ชัดว่าไม่ง่าย อีกอย่างก็ไม่รู้ว่าจะต้องรออีกนานเท่าไร อย่างน้อยคิดว่าหลี่ว์หลิ่วคงจะรอต่อไม่ไหวแล้ว
เมื่อคิดเช่นนี้ก็รู้สึกโศกเศร้า อดคิดไม่ได้ว่า มีความคิดสูงกว่าท้องฟ้า แต่ชีวิตเบาบางยิ่งกว่ากระดาษ
ประโยคนี้เขียนถึงชีวิตของหลี่ว์หลิ่วอย่างแท้จริง สิ่งที่หลี่ว์หลิ่วคาดหวังมาตลอดทั้งชีวิตนั้น พูดไปแล้วคือต้องการเดินขึ้นไปสู่จุดสูงกว่าเดิมเท่านั้นเอง ซึ่งไม่ได้เป็นความผิดใหญ่หลวงอะไร เพียงแต่นางไม่มีโชคในเรื่องนี้เองต่างหาก ในชาตินี้ตอนที่รุ่งเรืองที่สุดกลับเป็นเพียงช่วงเวลาสั้นๆ ชวนให้คนรู้สึกโศกเศร้าเสียใจเป็นอย่างมาก
พี่น้องร่วมห้องเมื่อวันวาน ตอนนี้กลายเป็นเช่นนี้ ไม่ต้องพูดถึงฉ่ายยวน ยามนี้นางไม่มีความทรงจำดีๆ และความอาลัยต่อฉ่ายยวนแม้แต่น้อย ส่วนเหวินซิ่งก็ไม่ได้ยินข่าวคราวอะไรมาหลายปีแล้ว อีกทั้งหลี่ว์หลิ่วก็ถือว่ากระจัดกระจายไปคนละทิศคนละทาง
แต่อารมณ์เศร้าสร้อยนี้ก็ถูกพัดพาหายไปเพราะหลี่เย่ที่ตั้งใจบีบมือนางไว้ นางมองหลี่เย่อย่างกล่าวโทษเล็กน้อย แต่กลับตัดใจดึงมือออกมาไม่ได้ เพียงแค่ถามว่า “ทำอะไรเพคะ?”
“อย่าคิดเรื่องเหล่านั้นอีกเลย มีเวลาก็ไปหาเสื้อผ้ามาเปลี่ยนให้ข้าหน่อย” หลี่เย่ก้มหน้ามองเสื้อผ้าของตน ก่อนถอนหายใจ “หลายวันมานี้สวมใส่เสื้อผ้าที่ทำสำเร็จในวังหลวง ด้วยงานเร่งรีบจึงหลวมไปบ้าง”
ถาวจวินหลันได้ยินเช่นนั้นก็รีบก้มมองดูหลี่เย่อย่างละเอียด ทันใดนั้นก็ขมวดคิ้ว “หลวมจริงเพคะ ตอนนี้วังหลวงไม่ใส่ใจรายละเอียดไปใหญ่แล้ว”
นางไม่กล้าชักช้าอีก รีบลุกขึ้นไปหยิบเสื้อผ้าให้หลี่เย่ด้วยตนเอง
พอเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้ว หลี่เย่ก็บอกว่าหิว ถาวจวินหลันจึงไปจัดการเรื่องสำรับอาหาร เมื่อเริ่มยุ่งจึงไม่มีเวลาไปเศร้าโศกเสียใจอีก
กลับเป็นหลี่เย่ที่เห็นถาวจวินหลันยุ่งอย่างนี้แล้วแอบหัวเราะ เขารู้สึกชอบใจเป็นอย่างมาก พยักหน้าลอบคิดว่า ใช่แล้ว แบบนี้ถึงจะถูกต้อง
ตอนที่ถาวจวินหลันกำลังยุ่งวุ่นวาย เจียงอวี้เหลียนกลับค่อยๆ มาหาอย่างเนิบนาบ แต่กลับไม่ยอมอยู่ใกล้ถาวจวินหลันมากเกินไป ทำความเคารพหลี่เย่โดยยืนอยู่ไกลๆ
ถาวจวินหลันมองเห็นอย่างชัดเจน และรู้อยู่แก่ใจว่าเจียงอวี้เหลียนกลัวอะไร คงไม่มีอะไรเกินไปกว่าโรคระบาดหรอก นางจึงลอบแค่นหัวเราะ ยามนี้นางกลายเป็นสัตว์พิษที่ใครเห็นก็ต้องหนีไปเสียแล้ว
แต่เจียงอวี้เหลียนก็ถือว่าขี้ขลาดจริง หลายวันผ่านไปขนาดนี้แล้ว หมอหลวงก็มั่นใจแล้วว่าไม่มีปัญหาอะไร ยังจะต้องหลบหลีกอะไรอีก?
อีกอย่างในเมื่อหวาดกลัวถึงเพียงนี้ ก็ไม่สู้อยู่แต่ในเรือนตนเอง มาถึงตรงนี้แล้วกระทำเช่นนี้คิดจะทำให้ใครดูกัน? นางอยากจะดูนักว่าเจียงอวี้เหลียนมีเรื่องสำคัญอะไรกันแน่ ถึงต้องมาพูดคุยเวลานี้
หากเจียงอวี้เหลียนยังคงรู้จักกาลเทศะอยู่อย่างนี้ และไม่กระทำเช่นนี้อีก ถาวจวินหลันคงจะให้อภัย แล้วหลีกทางให้ แต่ยิ่งเจียงอวี้เหลียนเป็นเช่นนี้ นางก็ยิ่งไม่ชอบใจ ย่อมต้องไม่มีความหวังดีนั้นแล้ว
ถาวจวินหลันยังไม่รู้สึกว่าที่นางเป็นเช่นนี้มีท่าทีใช้อารมณ์อยู่เล็กน้อย แต่เมื่อทำเช่นนี้นางก็อารมณ์ดีขึ้นไม่น้อย โดยเฉพาะตอนที่เห็นว่าเจียงอวี้เหลียนคิดอยากจะหลบแต่ก็ต้องฝืนบังคับท่าทีของตน นางก็ยิ่งชอบใจมากขึ้น
จนถึงขั้นที่นางเองยังนั่งนิ่งสบายใจ ยิ้มน้อยๆ พูดกับเจียงอวี้เหลียน “หลายวันมานี้ไม่ได้เจอชายารองเจียงสบายดีหรือไม่?”
เจียงอวี้เหลียนเอาผ้าเช็ดหน้าปิดปากและจมูกเอาไว้ ฝืนยิ้มออกมา “ไม่ใช่ว่าใช้ชีวิตเหมือนเดิมหรอกหรือเจ้าคะ? แต่ก็น่าตกใจเสียจริง ท่านว่าเซิ่นเอ๋อร์ยังเล็กนัก ถ้าหากเป็นอะไรขึ้นมาแล้วจะทำอย่างไรเล่า”
ถาวจวินหลันมองหลี่เย่ทีหนึ่ง ยิ้มพลางชิงพูดก่อนหลี่เย่ “เรื่องนี้ถูกแล้ว ก่อนหน้านี้ข้าบอกให้เจ้าส่งเซิ่นเอ๋อร์ออกไป เจ้าเองตัดใจไม่ลง ตอนนี้ก็ได้รับบทเรียนเสียแล้ว” พูดเช่นนี้ก็ดูเหมือนจงใจเอาเรื่องเก่ามาเล่าใหม่ แต่เดิมแล้วก็ถูก ตอนแรกนางพูดเกลี้ยกล่อมไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง และเคยเตือนแล้วหลายรอบ เจียงอวี้เหลียนกลับจะให้เซิ่นเอ๋อร์อยู่ในจวน คราวนี้ยังเอาเรื่องความปลอดภัยของเซิ่นเอ๋อร์มาเป็นหัวข้อสนทนา ไม่ตลกเกินไปหน่อยหรืออย่างไร?
แน่นอนว่าถ้าไม่ใช่เพราะเจียงอวี้เหลียนแสดงท่าทีเช่นนี้ออกมา นางเองก็คงไม่ทำเช่นนี้
เจียงอวี้เหลียนสะอึกไป แล้วมองดูถาวจวินหลันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนทอดสายตามองไปทางหลี่เย่ หลังจากถอนหายใจแล้วก็พูดเสียงอ่อนว่า “ข้ารู้ว่าผิดไปแล้ว ตอนนั้นน่าจะเชื่อฟังคำพูดของชายารองถาว แต่ข้าคิดว่าเซิ่นเอ๋อร์ยังเล็กนัก ไฉนเลยจะอยากจากมารดาไป? อีกทั้งท่านอ๋องยังอยู่ในเมืองหลวง และภายในจวนก็ควรจะต้องปลอดภัย ถึงไม่ได้ส่งเซิ่นเอ๋อร์ออกไป ใครจะรู้ว่า…ข้าเองก็ตกใจเช่นกัน หลายวันมานี้กินไม่ได้นอนไม่หลับ กลัวว่าจะเป็นอะไรไป”
เจียงอวี้เหลียนพูดจากใจจริง จึงให้คนรู้สึกคล้อยตาม นางพูดเช่นนี้กลายเป็นว่าไม่ดีถ้าจะพูดต่อ
แน่นอนว่าถาวจวินหลันเองก็ไม่ได้ตั้งใจเป็นศัตรูกับเจียงอวี้เหลียนตั้งแต่แรก จึงเม้มปากยิ้ม ไม่พูดอะไรออกมา เพียงแค่รอดูว่าสุดท้ายแล้วเจียงอวี้เหลียนต้องการพูดอะไรกับหลี่เย่เป็นแน่
หลี่เย่อมยิ้มมองถาวจวินหลันทีหนึ่ง คาดเดาความคิดของนาง เขาไม่ได้คิดมากกับความจงใจเล็กๆ น้อยๆ ของถาวจวินหลัน ไม่ต้องพูดว่าเขาลำเอียง พูดแค่เพียงว่าเจียงอวี้เหลียนทำตัวล้ำเส้นเกินไป ท่าทีหลบหลีกแทบไม่ทันนั้นก็โจ่งแจ้งเกินไป อีกทั้งคำพูดที่พูดออกมาก็บิดพลิ้วความเป็นจริง
เขายุ่งจนไม่มีเวลามาดูแลเรื่องราวเหล่านี้ภายในจวน แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่รู้ความจริงอะไรเลย ทำไมเจียงอวี้เหลียนถึงไม่พาเซิ่นเอ๋อร์ไปจากจวน เรื่องนี้เขารู้ดีแก่ใจ
“เมื่อพูดอย่างนี้เจ้ารู้สึกผิดหวังแล้วอย่างนั้นหรือ” หลี่เย่จิบชา มองไปยังเจียงอวี้เหลียน แม้สีหน้าจะยังอบอุ่น แต่ไม่ได้หมายความว่าอ่อนหวาน แต่กลับแฝงไว้ด้วยความเย็นเยียบ ทำให้คนไม่กล้าเข้าใกล้
เจียงอวี้เหลียนพูดมาถึงตรงนี้แล้ว แม้ว่าจะรู้สึกประหม่าแต่ก็ทำได้เพียงก้มหน้ายอมรับเสียงเบาเท่านั้น
“ถ้าเช่นนั้นตอนนี้เจ้าคิดจะทำอะไร?” หลี่เย่ถามอีก พร้อมเลิกคิ้วเล็กน้อย “คิดจะให้ข้าส่งพวกเจ้าสองคนแม่ลูกออกไปนอกเมืองหลวงอย่างนั้นหรือ?”
เจียงอวี้เหลียนพยักหน้าอีกครั้ง แต่ศีรษะกลับยิ่งก้มต่ำลงไป
หลี่เย่หัวเราะเบาๆ ไม่รู้ว่าเยาะเย้ยหรือสบายใจเจียงอวี้เหลียนยอมเข้าใจเสียที จากนั้นก็พูดว่า “ไม่ใช่ว่าจะทำไม่ได้ แต่ออกไปแล้วก็ไม่รู้ว่าจะกลับมาได้เมื่อไรอีก อีกทั้งตอนที่เดินทางผ่านประตูเมือง อย่างไรก็ถือว่าอันตราย”
เจียงอวี้เหลียนกัดฟัน ถามหลี่เย่อีกครั้ง “ถ้าเช่นนั้นท่านอ๋องคิดว่าตอนนี้ควรจะทำอย่างไรดีเพคะ? เซิ่นเอ๋อร์ยังเล็กนัก ข้าจะกล้าเสี่ยงอันตรายได้อย่างไร? ขอแค่เขาปลอดภัย ข้ายอมทำทุกอย่างเพคะ”
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็ปิดเรือนตั้งแต่วันนี้ เช่นนี้ก็ตัดขาดจากโลกภายนอกได้ และไม่ต่างกับอยู่ที่บ้านพัก” หลี่เย่พูดเสียงอ่อนโยน ไม่รู้ว่ารู้สึกอย่างไรกันแน่