บัลลังก์พญาหงส์ - บทที่ 448 ป่วยหนัก
ชื่อเสียงก็เหมือนกับน้ำ น้ำรองรับเรือได้ และยังล่มเรือได้ ชื่อเสียงเองก็เช่นกัน เมื่อไม่ดี เกรงว่าจะกลายเป็นยาพิษที่เร่งเอาชีวิตไปเร็วขึ้น
องค์หญิงแปดก็คิดได้เพราะคำพูดนี้ของนางเช่นกัน รอยยิ้มก็ดิ่งลงไปหลายส่วน คิ้วงามขมวดเข้าหากันเล็กน้อย แต่จากนั้นก็พูดว่า “ท่านใจดี ทำเรื่องเหล่านั้นถึงได้มีชื่อเสียง แม้ว่าจะหาเรื่องจริง แล้วใครจะกล้าพูดอะไร?”
ถาวจวินหลันหัวเราะขมขื่น ทันใดนั้นพอคิดถึงคำพูดของไทเฮา ฉับพลันก็รู้สึกตกใจเล็กน้อย ไทเฮาพูดเช่นนั้นก็ด้วยตั้งใจจะเตือนด้วยใช่หรือไม่?
เมื่อคิดเช่นนี้ นางก็นั่งไม่ติดทันที รู้สึกใจไม่ดีเลยแม้แต่น้อย
ไม่ว่าจะไม่สบายใจอย่างไร เรื่องก็เกิดไปแล้ว แก้ไขอะไรไม่ได้อีก ถาวจวินหลันก็ทำได้แค่ไม่ไปคิดถึงเรื่องนี้อีก
เมื่อไปถึงวังของอิงผิน นั่งอยู่ครู่หนึ่งจนถึงเวลาสมควร ถาวจวินหลันจึงลองถามสถานการณ์ของหลี่ว์หลิ่วและฉ่ายยวน
อิงผินก็ไม่ได้ปิดบัง และยังพูดตรงๆ กลับเป็นถาวจวินหลันที่ได้ยินว่าหลี่ว์หลิ่วเหลือเวลาอีกไม่กี่วันแล้วก็รู้สึกโศกเศร้า
อิงผินพูดเพียงถึงฉ่ายยวนเพียงเล็กน้อยเท่านั้น “ตอนนี้ยังไม่มีวิธีรักษา ก็มีเพียงแค่จุดจบเดียวเท่านั้น”
ถาวจวินหลันครุ่นคิด และไม่ได้ถามอะไรอีก ไม่ว่าฉ่ายยวนจะถูกคนเล่นงานก็ดี หรือว่าจะเป็นเพราะอย่างอื่นก็ดี ฉ่ายยวนก็เต็มใจช่วยฮองเฮาจัดการธุระ ทางเดินที่นางเลือกเอง จะโทษใครได้อีกเล่า?
ตกดึกถาวจวินหลันก็นำเรื่องที่องค์หญิงแปดพูดมาบอกกับหลี่เย่อย่างเป็นกังวล พลางพูดอีกว่า “ท่านว่า จะมีผลกระทบอะไรหรือไม่เพคะ?”
หลี่เย่รู้เรื่องนี้นานแล้ว และเพราะเดาได้ว่าถาวจวินหลันจะเป็นกังวล ถึงไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้ เมื่อถาวจวินหลันเอ่ยถึง จึงรีบยิ้มและพูดว่า “จะมีผลกระทบอะไรกัน? ชื่อเสียงดีถือเป็นเรื่องเลวร้ายอะไรกัน? อีกทั้งเรื่องเหล่านั้นที่เจ้าทำก็ได้รับการตอบแทนเหล่านี้จะถือเป็นอะไรกัน?”
ถาวจวินหลันส่ายหน้า ยังคงมีท่าทีไม่อยากเชื่อ “พวกเราก็เพียงใช้เงินเล็กน้อยเท่านั้นเอง”
“เท่านั้นก็ไม่เลวแล้ว เจ้าจะต้องรู้ว่าบรรดาตระกูลใหญ่เก่าแก่เหล่านั้นมีพร้อมทุกสิ่ง ทำไมจะทำใจจ่ายเงินเพียงเล็กน้อยแค่นี้ไม่ได้เล่า? แม้ว่าจะบริจาคอาหารด้วยเช่นกัน แต่ก็เพียงทำให้จบๆ ไปเท่านั้น ไหนคือความจริงใจเล่า?” หลี่เย่หัวเราะเยาะ มีแววดูถูกและเกลียดชัง คำพูดที่เขาพูดนี้เป็นความจริง แม้ว่าเขาจะจับธุรกิจการค้าทางทะเล แต่จะเทียบกับบรรดาตระกูลใหญ่ที่รุ่งเรืองมาหลายร้อยปีได้อย่างไร?
ดังนั้น ไม่ใช่ว่าไม่มี แต่ทำใจไม่ลง แต่เพียงแค่คิดมากเกินไป และไม่ยอมทุ่มเทใจเท่านั้น
“ข้าก็ทำเพื่อชื่อเสียงเท่านั้น” พอคิดถึงความซาบซึ้งในบุญคุณของคนเหล่านั้น และคิดถึงแรงกระตุ้นของตัวเอง ถาวจวินหลันก็ยิ่งใจฝ่อ รู้สึกว่าไม่ถูกต้อง
หลี่เย่ยิ้ม น้ำเสียงแจ่มใสสงบนิ่ง “เพียงแค่ต่างคนต่างความต้องการเท่านั้นเอง ไม่จำเป็นต้องรู้สึกผิด สิ่งที่เจ้าให้มากกว่าสิ่งที่เจ้าเอาไปเท่านั้นเอง” ผู้ประสบภัยเหล่านั้นถือว่าเป็นคนไร้ที่นาคาที่อยู่จริงๆ การจัดการเหล่านั้นที่ถาวจวินหลันทำ ไม่ใช่ว่าเป็นโอกาสให้พวกเขาได้พลิกชีวิตตัวเองกลับมาใหม่หรืออย่างไร? ซาบซึ้งในบุญคุณก็ถือเป็นเรื่องสมควร
หลี่เย่พูดด้วยเหตุผล เหมือนว่าเรื่องนี้เป็นสัจธรรมที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ เป็นเรื่องที่ปกติ เพียงไม่นานถาวจวินหลันก็รู้สึกสงบใจ ถึงขั้นรู้สึกว่าสิ่งที่ทำลงไปควรเป็นเช่นนั้น จิตใจจึงนิ่งสงบ อย่างน้อยความใจฝ่อก็ลดน้อยลงไปมาก
ถาวจวินหลันเล่าเรื่องเฝินหยางโหวที่ได้ฟังจากองค์หญิงแปดให้หลี่เย่รับรู้ แล้วก็อดส่ายหัวไม่ได้ “อะไรเรียกว่าหมาวัดเด็ดดอกฟ้า เห็นได้อย่างชัดเจนแล้ว”
หลี่เย่เลิกคิ้วยิ้มน้อยๆ ไม่ได้พูดว่าเป็นฝีมือของตน เพียงแค่ยิ้มและถามว่า “เจ้าคิดว่าอย่างไรบ้าง?”
ถาวจวินหลัวตะลึงไป “อะไรอย่างไรเพคะ?”
“เรื่องนี้เจ้าคิดว่าเป็นอย่างไร?” หลี่เย่ถามอีกครั้ง
ถาวจวินหลันถึงได้สติกลับมา “ข้าคิดว่า…ใช้ได้เลยเพคะ เฝินหยางโหวทำเช่นนี้ ถือว่าเป็นปฏิปักษ์กับจวนเหิงกั๋วกงและฮองเฮา อีกทั้งถึงเวลานั้น จวนเหิงกั๋วกงก็ทำได้แค่มอบคุณหนูคนนั้นให้องค์รัชทายาทอย่างเดียว เมื่อเป็นเช่นนี้พี่น้องทั้งสองคนก็คงไม่ถูกกัน องค์รัชทายาทก็คงได้ตกที่นั่งลำบาก ฮองเฮาเองก็เช่นกัน”
ยิ่งพูดดวงตาของนางก็ยิ่งเป็นประกายแกร่งกล้า เรื่องนี้มีผลดีไม่น้อยเลยทีเดียว โดยเฉพาะกับจวนตวนชินอ๋องแล้ว อีกทั้งยังทำให้ฮองเฮาไม่พอใจมากด้วย
พอคิดถึงว่าฮองเฮาจะไม่พอใจ นางก็สดชื่นขึ้นมาเล็กน้อย แม้จะบอกว่าเป็นการซ้ำเติม แต่ไม่ถือว่ามากเกินไปก็พอแล้ว
หลี่เย่เห็นถาวจวินหลันมีท่าทางเช่นนี้ ก็รู้ว่าตัวเองทำถูกต้องแล้ว แต่ก็ยังคงไม่พูดว่าเป็นฝีมือของตนเองอยู่ดี
“ท่านว่า ฮองเฮากล้าสัมผัสโรคระบาดนี้ได้อย่างไร แล้วยังกล้าเอาสิ่งนี้มาทำร้ายคนอื่น” ถาวจวินหลันไม่ค่อยเข่าใจเรื่องนี้ “หรือนางจะไม่กลัวฮ่องเต้บันดาลโทสะ?”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ รอยยิ้มของหลี่เย่ก็หายไปหลายส่วน ดูเย็นชาไปเล็กน้อย “นางจะต้องกลัวอะไร? ตอนนี้เป็นช่วงเวลาที่จวนเหิงกั๋วกงเจริญรุ่งโรจน์ ส่วนลูกชายของนางก็กลายเป็นองค์รัชทายาท ยังจะมีใครกล้าพูดว่านางเป็นคนทำ? ไม่มีหลักฐานก็ถือว่าใส่ร้ายเท่านั้น ทำไมนางจะต้องลงมือผ่านทางฉ่ายยวน? จุดประสงค์ก็เพื่ออธิบายว่าตนเองไม่รู้เรื่องนี้ได้ง่ายขึ้นเท่านั้นเอง อย่างไรอาการป่วยเช่นนี้ใครจะกล้าเข้าใกล้?
ถาวจวินหลันอดตัวสั่นสะท้านไม่ได้ นางถือว่าได้สัมผัสถึงความเ**้ยมโหดของฮองเฮาแล้ว นั่นไม่เพียงแค่โหดเ**้ยมต่อคนอื่น แล้วยังโหดเ**้ยมต่อตัวเองมากกว่า เพราะอย่างไรถ้าเรื่องนี้จัดการได้ไม่ดี แล้วติดต่อโรคขึ้นมา นั่นก็เป็นไปได้ที่จะเป็นตัวฮองเฮามิใช่หรือ?
“นางไม่กลัวว่าโรคระบาดจะเกิดขึ้นจริงหรืออย่างไร ถึงเวลานั้นในเมืองหลวงคงรักษาความสงบเช่นนี้ไว้ไม่ได้อีกไม่ใช่หรือ?” เพียงแค่คิดถึงภาพนั้น ถาวจวินหลันก็รู้สึกว่าปลายเท้าเย็นเฉียบ
หลี่เย่เลิกคิ้ว “กลัวอะไร? หากมีวันนั้นจริง คนที่ตายไปเยอะที่สุดก็คือศัตรูของนาง นางดีใจแทบไม่ทันเสียด้วยซ้ำไป”
คำพูดนี้มีแฝงความโกรธเคืองแบบเด็กๆ เอาไว้ ถาวจวินหลันเอียงคอมองหลี่เย่ แล้วอดหัวเราะไม่ได้ “ช่างเถิด ไม่พูดเรื่องเหล่านี้แล้ว ยิ่งพูดตัวเองก็ยิ่งไม่สบายใจ”
นางพบว่า เรื่องใดก็ตามที่เกี่ยวข้องกับฮองเฮา หลี่เย่ที่สุขุมนุ่มลึกก็ยังฉุนเฉียว ดังนั้นนางคิดว่าหากพูดถึงฮองเฮาขึ้นมา เขาก็จะคิดถึงเรื่องไม่พอใจเหล่านั้น ดังนั้นจึงตัดสินใจไม่พูดถึงเลย
หลี่เย่เองก็ยิ้ม เหมือนจะรู้สึกได้ว่าตนเองผิดปกติไป พูดว่า “ดี ไม่พูดแล้ว จะไปพูดถึงนางทำไมกัน? พูดไปก็อารมณ์เสีย”
ทั้งสองคนพูดเรื่องจิปาถะภายในจวนอยู่ครู่หนึ่ง บรรยากาศก็ค่อยๆ กลับมาเป็นเช่นเดิม
ตอนที่กำลังพูดคุ ยกัน ฉับพลันนั้นก็มีบ่าวรับใช้เข้ามารายงาน “ชายาเอกป่วยเพคะ เมื่อครู่นี้สลบไปแล้วเพคะ!”
ถาวจวินหลันตกใจ มองไปทางหลี่เย่ตามสันชาตญาณ ลังเลอยู่ครู่หนึ่งถึงถามเขาว่า “เกรงว่าข้าจะต้องไปดูเสียหน่อย ท่านจะไปพร้อมกันหรือไม่เพคะ?”
คำตอบของหลี่เย่นั้นเหมือนที่ถาวจวินหลันคาดเดาเอาไว้ จึงส่ายหน้าทันที
ถาวจวินหลันรู้อยู่แก่ใจว่าชาตินี้หลี่เย่คงจะไม่ยอมพบหน้าหลิวซื่ออีก จึงไม่พูดโน้มน้าวอะไรอีก พูดตามจริงแล้วนางเองก็ไม่อยากให้หลี่เย่ไปหาหลิวซื่อ ไม่ใช่เพราะหึงหวง แต่เป็นเพราะสถานการณ์ของหลิวซื่อไม่ค่อยดีเท่าไร บรรยากาศภายในห้องคนที่ป่วยมานานมักจะถูกย้อมด้วยกลิ่นอายชวนให้รู้สึกไม่ดี หลี่เย่แม้ว่าดูแล้วไม่น่ากังวลอะไร แต่ร่างกายก็ไม่ได้ถือว่าดีมากนัก ตอนที่โดนยาพิษครั้งนั้นและอีกหลายครั้งที่ได้รับบาดเจ็บ มีครั้งไหนบ้างที่จะไม่ส่งผลถึงสุขภาพ? ดังนั้นนางจึงกลัวว่าเขาจะได้รับเชื้อโรค อีกทั้งพอไปดูแล้วก็จะทำให้หลี่เย่คิดถึงเรื่องไม่น่าอภิรมย์ขึ้นมา
ถ้าเช่นนั้นยังมีความจำเป็นอะไร? ไม่สู้ว่าไม่ไปเลยจะดีกว่า
ด้วยหลิวซื่อป่วย ดังนั้นนอกจากถาวจวินหลันจะต้องไปแล้ว เจียงอวี้เหลียนก็ต้องไปดูด้วยเช่นกัน เพราะอย่างไรก็มีฐานะตำแหน่ง จึงต้องให้เกียรติและเคารพอยู่บ้าง
ถาวจวินหลันบังเอิญพบเจียงอวี้เหลียนที่ด้านนอกเรือนของหลิวซื่อ นางไม่ได้รู้สึกแปลกใจอะไร แต่เมื่อมองท่าทีไม่ชอบใจและสีหน้าไม่ยินยอมพร้อมใจของเจียงอวี้เหลียน กลับอดส่ายหัวไม่ได้
ไม่อยากมาก็ไม่ต้องมา จะใช้เซิ่นเอ๋อร์เป็นข้ออ้างก็ย่อมได้ แต่ในเมื่อมาแล้ว ทำไมจะต้องแสดงท่าทีเช่นนี้อีก? ไม่ได้ก่อเรื่องแล้วยังให้คนมานั่งหาเรื่องได้อีก
แน่นอนว่ากล่าวโทษไม่ได้ อย่างที่สองเกรงว่าพูดไปแล้วคนอื่นจะมองว่าตนเองจงใจหาเรื่อง
แม้จะบอกว่าไม่ได้ไปหาสู่กับเจียงอวี้เหลียนมากนัก แต่นางก็พอจะรู้นิสัยของเจียงอวี้เหลียน
จากนิสัยของเจียงอวี้เหลียนแล้ว สามารถทำความหวังดีให้กลายเป็นมุ่งร้ายได้เป็นแน่
เจียงอวี้เหลียนไม่สนใจนาง เพียงทำเป็นมองไม่เห็น แล้วเดินตรงเข้าไปในเรือน
ถาวจวินหลันยิ้มพลางส่ายหัว ตัดสินใจเว้นระยะห่างช่วงหนึ่ง คิดว่าเข้าไปหน้าคนหลังคนจะได้ลดความไม่พอใจซึ่งกันและกัน
ถาวจวินหลันฉวยโอกาสในตอนนี้ เอียงหน้าถามบ่าวรับใช้ “ได้ไปตามหมอหลวงมาแล้วหรือยัง?”
บ่าวรับใช้ส่ายหน้าอย่างขลาดกลัว “ไม่มีป้ายแล้วจะออกนอกจวนได้อย่างไรเจ้าคะ?”
ถาวจวินหลันถึงนึกได้ว่าภายในจวนมีกฎเช่นนี้จริง จึงรีบสั่งหงหลัว “เจ้ารีบไปตามหมอหลวงมา อย่างเร็วที่สุด”
หงหลัวรีบไป เหลือเพียงแค่ปี้เจียวที่เข้าไปในเรือนพร้อมถาวจวินหลัน
ภายในเรือนมีสภาพหน้าตาทรุดโทรมเหมือนที่เคยเป็นมา แม้ว่าจะอยู่ช่วงต้นฤดูใบไม้ร่วง เป็นฤดูกาลที่ผลหมารากไม้ออกผลดีที่สุด อีกทั้งภายในเรือนก็ทำความสะอาดอย่างเรียบร้อย แต่ก็ยังคงมีกลิ่นทรุดโทรมสะท้อนออกมาเหมือนกับเจ้าของของมัน แม้ว่าภายนอกจะดูงดงาม แต่ภายในกลับเริ่มเน่าเละอ่อนแอแล้ว
ถาวจวินหลันถอนหายใจ หลุบตาลงไม่มองต่อ ก่อนรีบเร่งฝีเท้าเดินเข้าไปในห้อง ไม่รู้ว่าทำไม ภาพสถานการณ์ในวันนี้ทำให้นางรู้สึกว่ามีบางอย่างแปลกๆ
พอเข้าไปภายในห้องแล้ว ถาวจวินหลันก็ต้องอุดจมูกอย่างอดไม่ได้ จะพูดอย่างไรดี ภายในห้องมีกลิ่นแปลกๆ ไม่ถือว่าเหม็นหรือฉุน แต่ก็ให้คนรู้สึกไม่สบาย
ถาวจวินหลันขมวดคิ้ว กำชับบ่าวรับใช้ “ห้องอับขนาดนี้ ทำไมถึงไม่เปิดหน้าต่างระบายอากาศ?” ถ้าไม่ใช่เพราะไม่เปิดระบายอากาศเป็นเวลานาน แล้วจะเป็นเช่นนี้ได้อย่างไร?
บ่าวรับใช้รีบไปเปิดหน้าต่างพลางรีบอธิบายว่า “ชายาเอกไม่ยอมให้เปิดหน้าต่างเจ้าค่ะ บอกว่าลมพัดจนปวดหัว ไม่ว่าใครจะพูดอะไรก็ไม่มีประโยชน์เจ้าค่ะ”
ถาวจวินหลันจะไปโทษบ่าวว่าไม่ละเอียดอีกก็ไม่ได้ แต่แค่สงสัยว่า ทำไมอารมณ์ของหลิวซื่อถึงแปลกเช่นนี้ แค่เปิดหน้าต่าง ไม่ได้หมายความว่าจะต้องมานั่งตากลมที่หน้าต่างไม่ใช่หรืออย่างไร? ใช้ฉากกั้นบังเอาไว้ย่อมไม่โดนลม แต่ก็ยังระบายอากาศได้
ถาวจวินหลันรวบรวมความกล้าเพื่อย่างกรายเข้าไปในห้อง ด้านนอกยังเป็นถึงขนาดนี้ แล้วภายในห้องจะมีกลิ่นดีได้ที่ไหนกัน