บัลลังก์พญาหงส์ - บทที่ 450 ทรมาน
“สรุปแล้วชายาเอกเป็นอะไร?” หมอหลวงเงียบไปครู่หนึ่งไม่พูดจา ถาวจวินหลันก็ร้อนใจถามอาการ
หมอหลวงมองถาวจวินหลัน ก้มหัวพลางหัวเราะขมขื่น สีหน้าซีดขาว นิ้วมือก็กำเข้าหากันแน่น คำสองคำแทบจะดังออกมาจากช่องฟันที่กัดกระทบเข้าหากันแน่น “โรคระบาด”
ถาวจวินหลันตกใจเป็นอันมาก “อะไรนะ?” นางคิดว่าตัวเองฟังผิดไป
เจียงอวี้เหลียนก็ส่งเสียงร้องด้วยความตกใจ
“โรคระบาดขอรับ” หมอหลวงถอนหายใจ พูดด้วยเสียงแหบพร่า “แม้จะบอกว่าอาการไม่ได้เหมือนมากนัก แต่จากอาการที่เล่ามาแล้วก็ตัดสินได้ว่าเป็นโรคระบาดแน่นอน ตอนนี้ร่างกายรับไม่ไหวอีกแล้ว จึงแสดงอาการเช่นนี้”
ถาวจวินหลันเซไปทันที ก่อนจับราวที่อยู่ข้างๆ แน่นหนา ถึงบังคับตัวเองให้ยืนได้มั่นคงใหม่อีกครั้ง
มองเจียงอวี้เหลียนที่เร่งรีบเดินออกไปข้างนอก ถาวจวินหลันก็ตะคอกเสียงดัง “ยืนอยู่กับที่ให้หมด! ไม่ให้ใครออกจากเรือนทั้งนั้น!”
เจียงอวี้เหลียนกลับไม่สนใจ มุ่งเดินออกไปข้างนอก เดินไปพลางกรีดร้องเสียงแหลมไปพลาง “ไม่ออกไปแล้วจะอยู่ทำไมกัน? รอความตายหรืออย่างไร?”
ถาวจวินหลันกำมือแน่น เล็บจิกเข้าเนื้อเต็มแรง นางถามเจียงอวี้เหลียนทีละคำ “แล้วเจ้าจะออกไปทำร้ายคนอื่นหรืออย่างไร? พวกเราอยู่ที่นี่มานานขนาดไหนแล้ว? ตอนนี้ทั้งตัวของเจ้าคงเต็มไปด้วยเชื้อโรคแล้ว! เซิ่นเอ๋อร์ยังเด็ก เจ้าเป็นแม่ไม่คิดถึงเขาบ้างหรืออย่างไร!”
ฝีเท้าของเจียงอวี้เหลียนชะงักกึก จากนั้นก็เงียบสนิทเสมือนไม่มีชีวิต
ถาวจวินหลันกวาดตามองไปรอบห้อง “ไป จัดการปิดทั้งบริเวณในและนอกเรือนให้ข้าเดี๋ยวนี้! ไปประกาศด้านนอกเรือนที่อยู่ติดกัน ให้ท่านอ๋องและเซิ่นเอ๋อร์ออกจากจวนให้เร็วที่สุด! และกักตัวคนที่เคยสัมผัสชายาเอกหรือคนในเรือนชายาเอกให้หมด! ถ้ามีใครขัดขืน ให้โบยจนตายสถานเดียว!”
ด้วยประสบเรื่องนี้กับตนเองมาแล้ว นางจึงคิดวิธีรับมือได้อย่างคล่องแคล่วง่ายดาย อย่างน้อยครั้งนี้ก็สงบนิ่งกว่าครั้งที่แล้วมากนัก
พอถ่ายทอดคำสั่งไป บางคนในห้องก็มีห้ามน้ำตาไม่ได้ ทุกคนต่างหวาดกลัว ดังนั้นหลังจากมีเสียงร่ำไห้เสียงแรกดังออกมาแล้ว ก็มีเสียงที่สอง เสียงที่สามตามมาอย่างรวดเร็ว สุดท้ายก็ดังไปทั่วทั้งบริเวณ
เจียงอวี้เหลียนก็ร้องไห้เช่นเดียวกัน ไม่สนใจภาพลักษณ์ของตนเองแม้แต่น้อย ใบหน้าที่ประณีตวิจิตรก็เต็มไปด้วยน้ำตาผสมไปกับเครื่องประทินโฉมจนเป็นก้อน มองดูแล้วช่างน่าเวทนายิ่งนัก
แต่ตอนนี้ไม่มีใครสนเจียงอวี้เหลียนอีกแล้ว แม้แต่ตัวถาวจวินหลันเองก็แค่เหลือบมองทีเดียวแล้วก็เบือนหน้าหนี ในห้องนี้มีเพียงเจียงอวี้เหลียนที่ร้องไห้หนักที่สุด และมีผลกระทบกับผู้อื่นมากที่สุด นางฟังแล้วก็ยังอยากร้องไห้ตามด้วยเช่นกัน
ใครบ้างไม่กลัวตาย? ทุกคนล้วนกลัว โดยเฉพาะถาวจวินหลันที่อยากจะร้องไห้ออกมา เพิ่งจะหลุดพ้นความหวาดกลัว และดีใจได้เพียงไม่กี่วันเท่านั้น ใครจะรู้ว่าฉับพลันก็ต้องมาจมปลักกับเรื่องนี้อีก แถมครั้งนี้ยังสิ้นความหวังอย่างถึงที่สุด
ถ้าจะพูดถึงตอนหลี่ว์หลิ่ว นางยังรู้สึกโชคดีอยู่บ้าง แต่ครั้งนี้นางกลับคิดผลดีไม่ได้เลย นางอยู่ในห้องมานานเท่าไร? อย่างน้อยก็คงจะครึ่งชั่วยาม อยู่มานานขนาดนี้ ทั้งยังมีระยะห่างไม่เยอะ ถ้าไม่ติดก็ถือว่าปาฏิหาริย์แล้ว
ถาวจวินหลันจิกฝ่ามือแน่น ตั้งสติเตือนตัวเอง และมองหมอหลวงอีกครั้ง “ตอนนี้นอกจากกักบริเวณออกห่างแล้ว พวกเรายังทำอะไรได้อีกหรือไม่? ชายาเอกต้องมีเทียบยาอะไรหรือไม่?”
ประโยคสุดท้ายนั้นถามตามมารยาทเท่านั้น ตอนนี้ยังไม่พบยาที่ยับยั้งโรคระบาดได้ นางรู้เรื่องนี้ดี อีกทั้งหมอหลวงคนนี้ก็ยังดูอายุไม่เยอะ ประสบการณ์ยังน้อย ก็คงเพราะกรมหมอหลวงไม่สามารถส่งคนฝีมือดีมาได้ นางยิ่งไม่หวังว่าหมอหลวงหนุ่มผู้นี้จะมีวิธีอื่น
แต่ก็คงไม่อาจนั่งดูหลิวซื่อตายไปได้
มีคำกล่าวว่า ทำให้สุดความสามารถ ที่เหลือก็ฟังลิขิตสวรรค์ สถานการณ์นี้ก็เช่นกัน
ถาวจวินหลันถามแล้วก็ต้องแค่นหัวเราะ
หมอหลวงเองก็เรียกท่าทีสงบนิ่งกลับคืนมาได้ พูดว่า “ตอนนี้พวกเราอาจยังไม่ได้รับเชื้อเสมอไป ข้าตรวจครบแล้วรอบหนึ่ง คนที่มีอาการปรากฏแล้วก็ให้กักเอาไว้ที่เดียวกัน ส่วนคนที่ยังไม่มีอาการก็ให้แยกกักอีกที่ แล้วก็ให้คนไปเตรียมปูนขาว โกฐจุฬาลัมพา สะระแหน่และกระเทียมจำนวนมากเอาไว้ ข้าสามารถเปิดเทียบยาให้ได้ชั่วคราวเทียบหนึ่งเท่านั้น”
แม้จะบอกว่าเปิดเทียบยา แต่ถาวจวินหลันก็เห็นท่าทีไม่ค่อยดีของหมอหลวงอย่างชัดเจน เห็นได้ชัดว่าหมอหลวงคนนี้คิดว่าสถานการณ์ของหลิวซื่อไม่ค่อยดีเท่าไรนัก เปิดเทียบยาไปก็เหนื่อยเปล่าเท่านั้น
ถาวจวินหลันไม่ได้พูดขัด เพียงแค่พยักหน้าและพูดว่า “แต่ตอนนี้ต้องลำบากท่านหมอหลวงให้รั้งตัวอยู่ในจวนตวนชินอ๋องแล้ว ท่านหมอหลวงก็ลองเขียนเทียบยาควบคุมอาการโรคระบาดดูก่อน ต้องการวัตถุดิบอะไรก็ขอให้บอก หากจวนตวนชินอ๋องหามาให้ได้ ก็ไม่มีทางขี้เหนียวอย่างแน่นอน”
เมื่อตอนนี้เริ่มมีความหวังส่วนหนึ่ง ก็ไม่อาจละทิ้งไปได้ บางทีหมอหลวงอายุน้อยประสบการณ์ไม่มากคนนี้ อาจลองเดาสุ่มจนได้เทียบยาดีก็ได้ นางไม่ยินยอมพลาดเรื่องนี้เป็นอันขาด
พอข่าวนี้ถูกถ่ายทอดไปถึงเรือนเฉินเซียง หลี่เย่ที่กำลังเขียนพู่กันได้ยินก็มือสั่นทันที เส้นตวัดเอียงข้างจนเป็นลายเส้นรูปตะขอเอียงๆ งอๆ ทำให้ทั้งภาพนั้นพัง
แต่ตอนนี้ย่อมไม่ใช่เวลาที่หลี่เย่จะมาสนใจเรื่องนี้ เขากำพู่กันแน่น พลางตะโกนเสียงดัง “พูดอีกรอบ!”
หงหลัวน้ำตาอาบหน้า น้ำเสียงสะอื้นไห้ “ชายาเอกติดเชื้อโรคระบาดเพคะ ตอนนี้ชายารองออกคำสั่งปิดเรือนแล้ว และยังให้บ่าวรับใช้มาถ่ายทอดสารกับท่านอ๋อง ขอให้ท่านอ๋องพาคุณชายเซิ่นเอ๋อร์ออกจากจวนโดยด่วนเพคะ”
“ข้าไม่เชื่อ!” หลี่เย่ขนกรามแน่น เสียงรอดไรฟันออกมา ก่อนเขวี้ยงพู่กันออกไปบนโต๊ะอย่างไม่สนใจ เขาก้าวเท้ายาวและเร็วออกไปด้านนอก “ข้าจะไปดู! หมอหลวงคนไหนตรวจพบโรคนี้ ท่านหมอหลวงชราทั้งสามในกรมหมอหลวง หรือว่าหมอหลวงหม่า?” หมอหลวงทั้งสองคมนี้เป็นหมอหลวงชราของกรมหมอหลวง ฝีมือการแพทย์สูงเป็นอย่างยิ่ง ด้วยเกิดโรคระบาดในคราวนี้ ฮ่องเต้จึงสั่งให้สามคนนี้คิดค้นยารักษา
หงหลัวไม่กล้าดึงหลี่เย่ เพียงแค่หมุนตัวไปบังประตูเอาไว้ นั่งคุกเข่าลงไปบนพื้นเสียงดัง โขกหัวลงกับพื้น “ท่านอ๋องได้โปรดออกจากจวนโดยเร็วเถิดเพคะ! ชายารองบอกแล้วว่าจวนตวนชินอ๋องจะผ่านพ้นภัยอันตรายครั้งนี้ได้หรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับตัวท่านอ๋องแล้วเพคะ! หากท่านอ๋องเอาแต่ใช้อารมณ์ไม่คิดถึงผลที่ตามมา ก็ยิ่งเป็นดั่งเทพแห่งความตาย ได้แต่คร่าชีวิตผู้คนเร็วขึ้นเท่านั้นเพคะ!”
คำพูดนี้ทั้งโหดร้ายและไร้เยื่อใย พูดแทงใจดำเต็มๆ แม้ว่าหลี่เย่จะร้อนรนดั่งไฟแผดเผา แต่ก็ต้องหยุดฝีเท้าตามสันชาตญาณ
เมื่อพบเจอเรื่องแบบนี้มาแล้วครั้งหนึ่ง ตอนที่เผชิญหน้ากับเรื่องเหล่านี้อีกครั้งหนึ่งก็ย่อมสงบนิ่งมากขึ้น
แต่เมื่อคิดว่าครั้งนี้ถาวจวินหลันใกล้ชิดกับคนติดเชื้อ หลี่เย่ก็รู้สึกเจ็บปวดใจเหมือนถูกคนบีบอย่างแรง ทั้งอึดอัดและเจ็บปวด จนแทบจะหายใจไม่ออก
หงหลัวโขกหัวซ้ำๆ ติดกัน จนหน้าผากเริ่มบวมแดง แต่นางกลับไม่สนใจ นางเข้าใจมากกว่าใครๆ ว่าถาวจวินหลันมีความสำคัญต่อหลี่เย่มากเพียงใด และยิ่งเข้าใจความคิดของถาวจวินหลันมากกว่าคนอื่น และด้วยเข้าใจดี นางถึงไม่สามารถควบคุมอาการสะอึกสะอื้นและน้ำตาที่ไหลได้
ยามนี้หงหลัวเปี่ยมไปด้วยความโกรธแค้น นางไม่เข้าใจว่าทำไมเรื่องนี้ถึงไม่จบสักที! แท้จริงแล้วถาวจวินหลันไปหาเรื่องใครกันแน่! และไปทำเรื่องโหดร้ายไร้ซึ่งมนุษยธรรมมากเพียงใด ถึงต้องมาพบเจอกับเรื่องเช่นนี้?
ครั้งแรกไม่พอ ยังต้องมาทรมานอีกเป็นครั้งที่สอง!
หงหลัวโกรธแค้นจนถึงคิดอยากจะฆ่าคน นางรู้ดีว่าเรื่องโรคระบาดครั้งนี้มีคนอยู่เบื้องหลังอย่างแน่นอน และด้วยเหตุนี้ นางถึงคิดอยากจะฆ่าคน
เมื่อเห็นหงหลัวขอร้องติดต่อกัน และเสียงที่ดังออกมาก็ยิ่งเร่งรีบร้อนรนเรื่อยๆ สุดท้ายหลี่เย่ก็ตัดสินใจ “ให้คนไปพาเซิ่นเอ๋อร์และแม่นมของเขาไปด้วย บอกคนเฝ้าประตูให้เตรียมรถ”
คิดอยู่ครู่หนึ่งก็กลับมาหน้าโต๊ะหนังสืออีกครั้ง ม้วนกระดาษใบเมื่อครู่นี้ หยิบพู่กันด้ามใหม่และกระดาษจดหมายมาอีกใบหนึ่ง ตั้งสติครุ่นคิด แล้วถึงจรดปลายพู่กันเขียนลงไปสองสามตัวอักษร ก่อนพับใส่ไปในซองจดหมายอย่างระมัดระวัง และมอบให้หงหลัวพลางพูดว่า “เอาสิ่งนี้ให้ชายารอง”
หงหลัวรีบมารับไว้ทันที แต่ก็ต้องหยุดตะลึงไป คราวนี้ไม่รู้ว่านางจะยังไปปรนนิบัติเบื้องหน้าถาวจวินหลันได้หรือไม่? เกรงว่าคงทำไม่ได้แล้ว? คราวที่แล้วนางมีโอกาสติดเชื้อจึงอยู่รับใช้ข้างกายได้ แต่ดูจากนิสัยของถาวจวินหลันแล้ว ครั้งนี้คงไม่ยอมให้นางอยู่ข้างกายเป็นแน่
พอออกมาจากจวนตวนชินอ๋องแล้ว หลี่เย่ก็มองดูประตูใหญ่ของจวนตวนชินอ๋องค่อยๆ ปิด เขารู้สึกสับสนวุ่นวายปนเปกันไปหมด หลี่เย่กำมือแน่น ดวงตามืดดำพูดเสียงแหบแห้ง “เข้าวัง” ตอนนี้ทำได้แค่ฝากเซิ่นเอ๋อร์ไว้กับไทเฮา เขาถึงจะวางใจได้ อีกทั้งเขาเองก็มีเรื่องอยากจะขอให้ไทเฮาช่วยเหลือพอดี
เขาเองก็ต้องไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้สักครั้งเช่นเดียวกัน
เวลานี้หลิวซื่อเพิ่งจะฟื้นขึ้นมาด้วยการฝังเข็มของหมอหลวง อย่างไรก็เป็นชีวิตมนุษย์ ก็คงจะต้องใช้วิธีที่เกิดผลมาใช้ทั้งหมด
ถาวจวินหลันย่อมไม่สนใจข้อห้ามอะไรอีกแล้ว อย่างไรก็อยู่ในห้องเดียวกันเป็นเวลานาน แล้วอยู่นานขึ้นอีกครู่หนึ่งจะเป็นอะไรไป
แต่นางก็คิดได้ว่าจะต้องอยู่ให้ไกลเสียหน่อย และใช้ผ้าชุบน้ำขิงมาอุดจมูกเอาไว้ นี่ก็เป็นวิธีของหมอหลวงเช่นเดียวกัน แม้จะบอกว่าไม่ได้ผลชะงัดนัก แต่ก็ป้องกันได้บ้างเล็กน้อย
ยามนี้เจียงอวี้เหลียนนั้นหวาดกลัวจนร้องไห้เพียงอย่างเดียว ถาวจวินหลันจึงให้เจียงอวี้เหลียนไปพักที่เรือนรับรอง และไม่ได้เรียกนางมา ที่จริงแล้วนางรู้ดีว่าต่อให้เรียก เจียงอวี้เหลียนก็คงไม่มา
หลิวซื่อได้สติแล้วก็งุนงงอยู่ครู่หนึ่ง ผ่านไปสักพักถึงได้สติกลับมาเต็มที่
หมอหลวงเห็นว่าเริ่มมีสติแล้วก็ขอตัวกลับไปก่อน เหลือเพียงถาวจวินหลันที่พูดคุยกับหลิวซื่อ สำหรับเรื่องที่หลิวซื่อติดเชื้อโรคระบาดนี้ ถาวจวินหลันคิดไปคิดมาแล้ว สุดท้ายก็มีเพียงแค่ตนเองเพียงคนเดียวเท่านั้นที่เหมาะสม
ดังนั้นนางจึงกดอารมณ์ความรู้สึกเหล่านั้นลงไปในใจ มาอยู่ดูแลหลิวซื่อ พูดตามจริงแล้วนางเองก็ไม่รู้ควรจะเอ่ยปากอย่างไรถึงดีที่สุด อีกทั้งไม่รู้ว่าหลิวซื่อรู้สถานการณ์ของตนเองแล้วจะมีปฏิกิริยาเช่นไร?
แต่ต่อให้ไม่รู้ว่าจะต้องเอ่ยปากพูดอย่างไร ก็ยังต้องจำใจก้าวขึ้นไปข้างหน้า
แต่คิดไม่ถึงว่าหลิวซื่อกลับเอ่ยปากพูดก่อน แม้แต่น้ำเสียงก็ยังฟังแฝงไว้ด้วยรอยยิ้ม “เป็นเจ้า”