บัลลังก์พญาหงส์ - บทที่ 454 โหดร้าย
ถาวจวินหลันย่อมไม่รู้เรื่องภายนอกจวน นางไม่รู้ว่าความเสี่ยงที่นางเจอครั้งนี้ มีผลให้หลี่เย่ทำทั่วทั้งเมืองหลวงวุ่นวาย และนางยิ่งไม่รู้ว่าเพียงชั่วข้ามคืนหมอที่มีชื่อเสียงทั้งหมดในเมืองหลวง ต่างถูกพามารวมตัวกันอยู่ในบ้านที่ห่างไกลแห่งหนึ่ง ถูกคนควบคุมจนขาดอิสรภาพ และนางยิ่งไม่รู้ว่าคนที่ติดเชื้อโรคระบาดนอกเมืองคนหนึ่งถูกแอบถ่ายเลือดออกมากาหนึ่ง แล้วแอบส่งเข้ามาในภายในเมือง
สุดท้ายเลือดกานั้นก็ถูกส่งเข้ายังจวนเหิงกั๋วกง ผ่านการสลับสับเปลี่ยนจนไปถึงหัวเตียงของบ่าวอุ่นเตียงของคุณชายสามแห่งจวนเหิงกั๋วกง
ถาวจวินหลันกำลังขมวดคิ้วครุ่นคิดเรื่องคนติดโรคที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ยังไม่ทันถึงเวลากลางวัน บรรดาบ่าวรับใช้ที่ปรนนิบัติข้างกายหลิวซื่อก็เริ่มออกอาการแล้วสองคน ไม่เพียงแค่บ่าวรับใช้ข้างกาย แต่หญิงชราคนหนึ่งก็ออกอาการเช่นกัน
เรื่องนี้ทำให้คนทั้งจวนหวาดกลัวมากอย่างไม่ต้องสงสัย
ยังดีที่หงหลัวมีความสามารถมากพอ มิเช่นนั้นนางคนต้องจัดการเรื่องนี้เองจนยุ่งไปหมด
ถาวจวินหลันเรียกหมอหลวงสวีอายุน้อยคนนั้นมา หมอหลวงสวีคนนี้ เพิ่งจะมีอายุครบยี่สิบปีเท่านั้น และเพิ่งแต่งงานเมื่อเดือนที่แล้ว เข้ามาในกรมหมอหลวงได้ไม่ถึงครึ่งปี
หมอหลวงสวีแม้จะบอกว่าอายุน้อย แต่ก็เป็นคนสุขุม แค่จุดนี้ถาวจวินหลันก็รู้สึกว่าในอนาคตเขาจะต้องเป็นคนหนุ่มที่มากความสามารถ นางยังจำปฏิกิริยาของหมอหลวงสวีเมื่อวานนี้ได้ แม้จะบอกว่าสู้หมอหลวงชราไม่ได้ แต่ก็ถือว่าตั้งสติได้ดีในยามเกิดเรื่อง
ถาวจวินหลันและหมอหลวงสวีนั่งโดยมีฉากกั้นกลาง อย่างแรกเพื่อหลีกเลี่ยงการแพร่กระจายโรคของแต่ละฝ่าย อย่างที่สองก็เพื่อเลี่ยงข้อสงสัย
“หมอหลวงสวี ท่านบอกข้ามาตามตรง แท้จริงแล้วชายาเอกเหลือเวลาอีกเท่าไรกันแน่” แม้จะบอกว่าหลิวซื่อยอมกินข้าวกินยาแล้ว แต่ถาวจวินหลันก็เข้าใจดีว่าเป็นแค่การยืดเวลาออกไปเท่านั้น ดังนั้นสิ่งของที่ควรจะต้องเตรียมก็ต้องจัดไว้ให้พร้อม ที่ถามเช่นนี้ก็เพื่อเตรียมใจเท่านั้น
หมอหลวงสวีเป็นคนซื่อตรง แม้ว่าจะยังระมัดระวัง เก้ๆ กังๆ ไปบ้าง แต่น้ำเสียงก็หนักแน่นเฉียบขาด “อย่างมากก็ไม่เกินสิบห้าวันขอรับ นอกจากจะคิดค้นวิธีรักษาได้ก่อนเวลานั้น แต่ต่อให้มีวิธี ดูจากอาการของชายาเอกตอนนี้แล้วเกรงว่าคงไม่เกิดผลนักขอรับ”
“หากไม่นับเรื่องติดเชื้อโรคระบาด อาการป่วยของชายาเอกเป็นอย่างไรบ้าง?” ถาวจวินหลันขมวดคิ้วน้อยๆ สิบห้าวัน ก็ไม่ได้ถือว่านาน ถือว่าใกล้เข้ามาทุกทีแล้ว
ใบหน้าของหมอหลวงสวีเริ่มขึ้นสีแดงระเรื่อ พูดอย่างยากลำบากว่า “อาการป่วยของชายาเอกเป็นโรคของหญิงตั้งครรภ์ อาการป่วยรุนแรงเป็นอันมาก คิดว่าชายารองถาวท่านคงได้กลิ่นในห้องนั้นแล้ว ต่อให้ไม่มีโรคระบาดหรือบำรุงร่างกายดีเพียงใด ชายาเอกก็อยู่ได้มากสุดสองสามปีเท่านั้น อวัยวะภายในล้มเหลวแล้ว ไม่ว่าจะบำรุงอย่างไรก็เป็นแค่การซื้อเวลาเท่านั้น”
ถาวจวินหลันตกใจเล็กน้อย แล้วไม่พูดถึงอาการป่วยของหลิวซื่ออีก เพียงแค่ถามว่า “ไม่ทราบว่าหมอหลวงสวีเข้าใจเรื่องโรคระบาดมากน้อยเพียงใด?”
หมอหลวงสวีตะลึงไป จากนั้นก็ส่ายหน้า “เข้าใจเพียงเล็กน้อยขอรับ โรคระบาดคราวนี้ไม่เหมือนกับครั้งก่อน ดังนั้นเพียงเวลาสั้นๆ ไม่มีใครทำความเข้าใจได้ถ่องแท้หรอกขอรับ”
“ท่านคงรู้สถานการณ์ในจวนตวนชินอ๋องแล้ว” ถาวจวินหลันนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยปากพูดช้าๆ ว่า “ถ้าเป็นเช่นนี้ต่อไป เกรงว่าจวนตวนชินอ๋องคงเหลือคนรอดชีวิตไม่กี่คนเท่านั้น ตามความคิดของข้า ท่านควรรีบหาวิธีรักษาโดยเร็ว ทดลองหลายๆ แบบ ต่อให้ฤทธิ์ยาแรงไปหน่อยก็ไม่เป็นไร” ตอนนี้ในจวนมีคนออกอาการป่วยเพิ่มขึ้นแล้ว หากต้องใช้ทดลองยาด้วยก็ถือว่ามีเพียงพอ
ไม่ใช่ว่านางใจร้าย แต่ในเมื่อติดเชื้อโรคระบาดแล้ว ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องตาย ไม่สู้หาทางสู้กันจนตายไปข้างหนึ่ง ต่อให้รักษาไม่หายหรือถูกพิษจนตาย นั่นก็เป็นเพียงเลื่อนเวลาตายให้เร็วขึ้นเท่านั้นเอง
พูดไปแล้ว หากหาวิธีรักษาได้เล่า? นั่นไม่ใช่เพียงแค่ช่วยคนในจวนตวนชินอ๋อง แต่ยังช่วยผู้ประสบภัยได้อีกมาก! ต่อให้ต้องแบกรับคำดุด่า นางก็ยินยอม!
หากพูดว่านางไม่เห็นแก่ตัวก็คงไม่ใช่ นางจะตัดใจจากหลี่เย่ได้อย่างไร จะละทิ้งลูกหญิงชายทั้งสองคนของตนเองได้อย่างไร? เพียงสิ่งเหล่านี้ต่อให้นางต้องทดลองยาเองนางก็ยินยอม!
หมอหลวงสวีได้ยินก็ตกตะลึงไป… ผ่านไปครู่ใหญ่ถึงได้กระอึกกระอักเอ่ยว่า “นี่…”
“ท่านไม่กล้าหรืออย่างไร?” ถาวจวินหลันเลิกคิ้วขึ้น แฝงแววเยาะเย้ยอยู่หลายส่วน ด้วยตั้งใจใช้วิธีกระตุ้นเขา
หมอหลวงสวีส่ายหน้า “ไม่ใช่ว่าไม่กล้า แต่ความสามารถของข้ามีจำกัด แม้ว่าจะมีคนยอมใช้ยา แต่โอกาสก็ริบหรี่เหลือเกินขอรับ”
“ไม่ว่าจะริบหรี่เพียงใด ก็ต้องลองดูสักตั้ง” ถาวจวินหลันถอนหายใจ “ในเมื่อหมอหลวงสวีไม่กลัว ถ้าเช่นนั้นก็ควรจะคิดถึงฮูหยินที่เพิ่งตั้งครรภ์เสียก่อน พูดไม่น่าฟังก็คือรังที่พลิกตกย่อมีไข่แตกมิใช่หรือ? หากโรคระบาดแพร่กระจายจริงๆ ใครจะไปหนีได้? ในเมื่อเป็นเช่นนั้นก็ไม่สู้ลองทำให้สุดแรงจะดีกว่า”
หมอหลวงสวีลังเลอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายแล้วก็กัดฟันพูดว่า “ในเมื่อชายารองถาวเชื่อข้าถึงเพียงนี้ ข้าก็จะลองสักตั้งขอรับ!”
ถาวจวินหลันพลันแย้มยิ้ม พูดเสียงดังว่า “ดี หมอหลวงสวียินยอมก็พอแล้ว ไม่ต้องพูดถึงอย่างอื่น หากเกิดเรื่องอะไร จวนตวนชินอ๋องจะรับผิดชอบเอง! ท่านสนใจเพียงการทดลองก็พอแล้ว!”
และหากจะพูดถึงหน้าที่รับผิดชอบ ที่จริงแล้วก็ไม่มีอะไรมาก อย่างไรคนในจวนตวนชินอ๋องต่างก็เป็นบ่าวที่ขายถูกพ่อแม่หรือขายตัวเองเข้ามา พูดไม่น่าฟังก็คือ ต่อให้ตายไป ก็ไม่มีใครไปขุดคุ้ยขึ้นมา แล้วหากยิ่งติดเชื้อโรคระบาดด้วยแล้วล่ะ?
เพื่อความหวังที่จะมีชีวิตรอด ถาวจวินหลันยินยอมเป็นคนเลวสักครั้ง แต่สุดท้ายก็ไม่ยอมละเลยคนเหล่านั้น กำชับหงหลัวพูดว่า “มอบเงินสองชั่งให้ครอบครัวของทุกคนที่ยอมทดลองยา อีกทั้งหากเสียชีวิต จวนตวนชินอ๋องจะออกค่าโลงให้อีกยี่สิบชั่ง!”
หงหลัวได้ยินเช่นนั้น ก็ยิ้มน้อยๆ พลางพูดว่า “ชายารองโปรดวางใจ ต่อให้ไม่ให้เงินพวกเขาก็ยินยอมเจ้าค่ะ” อย่างไรตอนนี้ดูแล้วก็เหลือเวลาอีกไม่กี่วันแล้ว ใครจะไม่ยินยอมจับโอกาสครั้งนี้เอาไว้? ไม่ต้องพูดถึงการทดลองยา ต่อให้พวกเขาต้องแล่เนื้อ พวกเขาก็ยินยอมเป็นแน่! แม้แต่มดยังรักชีวิต แล้วมนุษย์เล่า?
ถาวจวินหลันย่อมต้องรู้อยู่แล้ว จึงส่ายหน้าเอ่ยว่า “พวกเขายินยอมก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง นี่เป็นสิ่งที่พวกเขาควรได้รับ” ทำเช่นนี้ไม่เพียงแค่นางรู้สึกสบายใจ ที่สำคัญกว่านั้นก็คือไม่ให้คนอื่นมาหาเรื่องได้ และเพื่อกระตุ้นคนอื่น อย่างไรทุกคนต่างก็รู้อยู่แก่ใจว่า เพียงเวลาสั้นๆ ต้องมีคนออกอาการตามมาอีกไม่น้อย
หงหลัวจัดการเรื่องทดลองยา ส่วนถาวจวินหลันหลับตารักษาสมาธิ
ด้วยร่างกายของตนเองอ่อนแอ ดังนั้นนางจึงทานยาปี้เซียวตานทุกวัน นางเคยถามหมอหลวงสวี รู้ว่าไม่ได้มีผลกระทบอะไรกับอาหารบำรุงที่นางกินในหลายวันนี้ ดังนั้นจึงทานต่ออย่างไร้กังวล
พอลืมตาขึ้นมา ถาวจวินหลันก็เห็นปี้เจียวนั่งทำงานเย็บปักถักร้อยอยู่ข้างๆ คำพูดที่ว่า ‘ปักไปเดี๋ยวก็ต้องเผาทิ้ง เจ้าจะทำให้เสียเวลาทำไม’ ก็ต้องกลืนลงคอไปทันที
แต่ยามนี้มีเรื่องให้ทำก็ดี อย่างน้อยก็ทำให้คนไม่คิดฟุ้งซ่านได้
ถาวจวินหลันคิดวิธีให้หมอทดลองยานี้ออกมา หลี่เย่เองก็คิดได้เช่นกัน แต่หลี่เย่โหดเ**้ยมกว่าถาวจวินหลันอยู่สักหน่อย หลี่เย่เอาบรรดาหมอธรรมดาเหล่านั้นไปปล่อยไว้นอกเมือง
เมื่อกระทำเช่นนี้ย่อมไม่ต่างจากการตัดหนทางหนีของหมอเหล่านั้น จะต้องรู้ว่า ถ้ายังไม่มีวิธีรักษา ตอนที่พวกเขาติดเชื้อโรคระบาดนั้นก็ถือว่าหมดปัญญาแล้ว ต่อให้เรียกใครมาก็ช่วยไม่ได้ทั้งนั้น
ไม่เพียงเท่านี้ หลี่เย่ยังเอาวิธีนี้ไปอ้อมค้อมบอกเรื่องนี้ต่อหน้าฮ่องเต้ ต้องพูดเลยว่าวิธีนี้แม้ว่าจะโหดร้าย แต่ต้องผลลัพธ์แน่นอน
เพิ่งจะเข้าวันที่สาม หมอเหล่านั้นที่เขาส่งออกไปก็คิดหาวิธีหลีกเลี่ยงการแพร่กระจายของโรคระบาดได้ดีกว่าเดิม แม้จะบอกว่าผลลัพธ์ไม่เห็นผลอย่างสมบูรณ์แบบ แต่ก็มีผลกว่าเจ็ดส่วนแล้ว อย่างน้อยชีวิตของบรรดาหมอก็ไร้กังวล
หลังจากที่หลี่เย่ได้รับคำรายงานนี้แล้ว ก็ส่งวิธีนี้ไปยังจวนตวนชินอ๋องในทันที และยังมอบให้กับฮ่องเต้ด้วย
ที่จริงแล้วฮ่องเต้ก็หวาดกลัวว่าในวังหลวงจะเกิดการแพร่กระจายของโรคระบาดเช่นกัน ดังนั้นเมื่อได้วิธีนี้มาจึงสนใจมาก และประทานรางวัลให้หลี่เย่ไม่น้อย แม้แต่เรื่องกักบริเวณหมอก็ยังไม่เอามากล่าวโทษหลี่เย่เช่นกัน
จากที่ฮ่องเต้ดูแล้ว เวลานี้ไม่ใช่เวลามานั่งคำนึงถึงกฎเกณฑ์ทุกกระเบียดนิ้วแล้ว จะเป็นแมวบ้านหรือแมวป่า ขอแค่จับหนูได้ถึงจะถือว่าเป็นแมวตัวจริง ขอเพียงแค่ผลออกมาดี ขั้นตอน…จะอย่างไรก็ไม่สำคัญ
ฮ่องเต้ไม่เอาเรื่อง แต่กลับมีคนอื่นคิดจะเอาเรื่องแทน เหิงกั๋วกงส่งฎีกาสั่งปลดหลี่เย่ บอกว่าหลี่เย่โหดเ**้ยมไร้ความรู้สึก ใช้อำนาจขู่เข็ญคน และบอกว่าหลี่เย่หลงใหลคลั่งไคล้ผู้หญิงจนโงหัวไม่ขึ้น แม้แต่ความผิดถูกก็ยังแยกไม่ออก
ผู้หญิงคนนี้ย่อมหมายถึงถาวจวินหลัน แต่เมื่อสั่งปลดเช่นนี้ นอกจากจะทำให้เหมือนหลี่เย่สติปัญญาไม่สมประกอบแล้ว ก็ยิ่งทำให้เห็นว่าถาวจวินหลันเป็นนางจิ้งจอกด้วย
หลังจากไทเฮารู้เรื่องนี้ ก็รู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก นึกกล่าวโทษถาวจวินหลันอยู่หลายส่วน
ฮ่องเต้ครุ่นคิดแล้วก็เห็นจุดประสงค์แอบแฝงในเรื่องนี้ เพื่อถาวจวินหลันคนนี้ หลี่เย่ถึงกับยอมทุ่มเทเวลาและความคิดไปมาก แม้จะบอกว่ามีอารมณ์ลึกซึ้งไม่ใช่เรื่องไม่ดี แต่เมื่อถูกสตรีล่อลวง นั่นถือว่าเป็นเรื่องเลวร้าย
ถาวจวินหลันจึงกลายเป็นหญ้าแพรกที่แหลกเหลว แต่แม้ว่านางจะถูกทำให้เสียหาย แต่นางก็ไม่มีทางรู้อยู่ดี และยิ่งไม่มีทางไปเปลี่ยนแปลงอะไร แม้แต่หลี่เย่ก็ไม่ได้สนใจเช่นเดียวกัน
ไม่ว่าอย่างไร ก็ต้องรอดไปให้ได้ก่อน ถึงค่อยสนใจเรื่องอื่น
ตอนนี้นอกจากวิธีรักษาแล้ว หลี่เย่ก็ยังไม่มีของอย่างอื่นอีก หลังจากเขารู้เรื่องคำสั่งปลดตนเองของเหิงกั๋วกงก็เพียงแค่ยิ้มเท่านั้น ผ่านไปอีกสองสามวัน เกรงว่าเหิงกั๋วกงคงจะยิ้มไม่ออก ไม่แน่ว่าถึงตอนนั้นคงต้องมาแย่งหมอกับเขาด้วยซ้ำไป
ตอนกลางวันยังดี เพราะมีเรื่องมากมายมารัดพันตัวเอาไว้จึงไม่มีเวลาไปคิดถึงเรื่องอื่น แต่ตกดึกเมื่อทุกอย่างเงียบลง หลี่เย่ก็คิดถึงถาวจวินหลันขึ้นมา ไม่เพียงแค่คิดถึงถาวจวินหลัน แต่ยังคิดถึงซวนเอ๋อร์และหมิงจูด้วย
ทุกวันในเวลานี้ เขาก็อดกลัวขึ้นมาไม่ได้ กลัวว่าครั้งนี้เขาและถาวจวินหลันจะต้องแยกจากกันคนละฟากฟ้า กลัวว่าเขาจะไม่ได้พบนางอีก ยิ่งเวลาผ่านไป ความกลัวของเขาก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น เหมือนมีป้ายหินหนักกดทับเขาเอาไว้จนแทบจะหายใจไม่ออก
กลางดึกคืนนี้หลี่เย่ควบคุมความคิดถึงถาวจวินหลันไม่ได้ อารมณ์หวาดกลัวก็ยิ่งรุนแรงขึ้น จนกระทั่งเขาอยากจะไปพบหน้าถาวจวินหลันให้ได้