บัลลังก์พญาหงส์ - บทที่ 457 จะตายแล้ว
หลี่เย่ย่อมไม่อาจยอมรับได้ และยิ่งไม่กล้าตอบถาวจิ้งผิง หากเขากล้าพาถาวจิ้งผิงไป ถาวจวินหลันจะมีท่าทีเช่นใด ไม่ต้องคิดเขาก็พอรู้
ดังนั้นในตอนนั้นจึงพูดปล่อยผ่านไป เพียงแค่พูดว่า “ตอนนี้สถานการณ์ยังดีอยู่ เจ้าไม่ต้องกังวล ทางด้านหมอเองก็กำลังเร่งคิดค้นเรื่องนี้อยู่”
ถาวจิ้งผิงแม้จะรู้ว่าหลี่เย่ไม่ยอม แต่ก็ไม่มีวิธีอื่น เพียงแค่เดินออกไปอย่างโมโหเล็กน้อย หลี่เย่เองก็ไม่สนใจ เพียงแค่ส่ายหัวเดินกลับไปยังห้องของตัวเองเพื่อเตรียมพักผ่อน
เพราะว่าได้เห็นหน้าแล้ว คืนนี้ถาวจวินหลันและหลี่เย่จึงได้หลับสนิทอย่างหาได้ยาก
แต่วันรุ่งขึ้น ถาวจวินหลันก็ได้ยินข่าวร้ายที่ชวนให้อารมณ์เสีย ภายในจวนมีคนออกอาการโรคระบาดขึ้นอีกสองคน และหลิวซื่อก็ใกล้จะตายแล้ว ก่อนหน้านี้ยังทานยาหรือของจำพวกอาหารเหลวได้บ้าง แต่ตอนนี้แม้แต่ยาก็ป้อนเข้าไปไม่ได้แล้ว
ตอนที่กำลังกินข้าวเช้าอยู่ ด้านนอกก็ส่งยาเม็ดเข้ามาจำนวนหนึ่ง บอกว่าหลังจากที่กินเข้าไปแล้วจะช่วยป้องกันการติดเชื้อโรคระบาด
เมื่อวานนี้ถาวจวินหลันได้พูดคุยกับหลี่เย่มาก่อน ก็รู้ว่าจะมีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้น แม้จะบอกว่าไม่ค่อยแปลกใจเท่าไรนัก แต่ก็ดีใจเป็นอย่างมาก “พูดอย่างนี้ก็หมายความว่า มีทางช่วยประชาชนที่อยู่นอกเมืองแล้ว” หากสามารถลดความน่าจะเป็นของคนที่ติดเชื้อโรคระบาดได้ ถ้าเช่นนั้นการแพร่กระจายของเชื้อก็ย่อมยากขึ้น นี่ถือเป็นเรื่องดี
หงหลัวหัวเราะขมขื่นตอบกลับมาจากนอกประตู “ยานี้ใช้วัตถุดิบราคาแพง และไม่อาจผลิตออกมาจำนวนมากได้ ดังนั้นจึงไม่สามารถให้ประชาชนธรรมดาทานได้เจ้าค่ะ คนในจวนของพวกเรามีมากขนาดนี้ ก็ยังส่งมาได้เพียงสองกล่องเท่านั้นเองเจ้าค่ะ ไม่พอทานอย่างแน่นอน”
ถาวจวินหลันได้ยินเช่นนี้ ก็อดถอนหายใจไม่ได้ มองดูยาเม็ดที่อยู่ในกล่อง ก็รู้สึกลำบากใจอย่างไม่มีเหตุผล คิดแล้วนางก็ถามหงหลัวว่า “แบ่งออกไปอย่างไรบ้าง?”
“นอกจากเจ้านายแล้ว ที่เหลือบ่าวก็คิดจะแบ่งให้กับบ่าวรับใช้และหญิงชราที่พอมีหน้ามีตาเหล่านั้นเจ้าค่ะ” หงหลัวตอบมา พลางถอนหายใจอีกครั้ง “แม้จะเป็นเช่นนี้ ก็ยังดูแลไม่ทั่วถึงอยู่ดีเจ้าค่ะ”
ถาวจวินหลันคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็ส่ายหน้าพูดว่า “ไม่ คนที่ไม่เคยไปมาหาสู่กับชายาเอกหรือว่าคนที่ไม่ได้ปรนนิบัติชายาเอกไม่จำเป็นต้องใช้ยานี้ คนที่เกิดอาการโรคระบาดแล้วก็ไม่จำเป็นต้องทานเช่นเดียวกัน ที่สำคัญก็คือทางด้านเรือนของชายาเอก เรือนของพวกเราเองและทางด้านเรือนชิวอี๋”
หงหลัวลังเลอยู่ครู่หนึ่ง “ถ้าหากไม่ให้เลย ทางด้านอี๋เหนียงสองคนนั้น”
“พวกเขาถูกแยกห่างออกไปแล้ว โอกาสติดเชื้อย่อมมีน้อย แต่คนของพวกเราสามเรือนนี้กลับมีความเป็นไปได้สูง ถ้าจะเอาไปสิ้นเปลืองที่ด้านนั้น ก็ไม่สู้ว่าเอามาใช้ในสิ่งที่จำเป็นจะดีกว่า” ถาวจวินหลันรู้อยู่แก่ใจว่าคำก่นด่าย่อมต้องมีอย่างแน่นอน แต่นางก็ยังตัดสินใจเช่นนี้ ไม่มีทาง คงไม่อาจมองคนตายไปต่อหน้าต่อตา
ดังนั้น แม้ว่าจะคำว่ากล่าวแต่นั่นก็เป็นเรื่องในอนาคต ไม่ว่าอย่างไรตอนนี้นางก็ไม่ได้ยิน
จำต้องพูดเลยว่า ยานี้เห็นผลได้ชัดอย่างมาก ไม่ต้องพูดว่าจะเกิดผลหรือไม่ พูดแค่ว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงบรรยากาศก็ถือว่าได้ผลดีอย่างถึงที่สุด บรรยากาศอึมครึมหมดอาลัยตายยากก่อนหน้านี้ ในตอนนี้ก็สามารถมองเห็นรอยยิ้มได้เล็กน้อย ความรู้สึกหวาดกลัวหวาดหวั่นนั้นก็ถือว่าลดน้อยลงไปเสียหน่อย
ถาวจวินหลันเองก็ลอบถอนหายใจเบาๆ ที่จริงแล้วสองวันมานี้นอกจากติดเชื้อโรคระบาดแล้ว ก็ยังมีบ่าวรับใช้คนหนึ่งรอความตายเช่นนี้ไม่ไหว ได้ฆ่าตัวตายไปก่อนแล้ว อีกอย่าง ยังมีคนจำนวนมากที่ไม่มีอารมณ์ทำงาน เกิดขี้เกียจขึ้นมา ในตอนนี้เมื่อมียาชนิดนี้ กลับดีขึ้นมาในทันใดเลยทีเดียว
แต่ทางด้านเจียงอวี้เหลียนนั้นก็ยังทำให้คนปวดหัวอยู่ดี นี่เป็นยาเม็ดที่ช่วยป้องกันการระบาดชัดๆ แต่เมื่อเจียงอวี้เหลียนได้ยินแล้วนั้นกลับต้องการเอาไปกินบ้าง เหตุผลนั้นก็มีพร้อม ในเมื่อสามารถป้องกันได้ ถ้าเช่นนั้นก็ต้องมีผลในการยับยั้งอยู่บ้างเล็กน้อย ไม่แน่ว่าสามารถยืดเวลาไปได้อีกช่วงหนึ่ง
เจียงอวี้เหลียนนั้นกลัวตายจริงๆ
ถาวจวินหลันเข้าใจความรู้สึกนี้ จึงไม่อยากถกเถียง และแบ่งเป็นขวดเล็กๆ ให้คนนำไปให้ เมื่อเป็นเช่นนี้ถึงได้เบาใจลงไปบ้าง ไม่ได้ก่อให้เกิดเรื่องอะไรอีก
บางทีอาจจะเป็นเพราะว่ามีเรื่องมากเกินไป หลังจากทานอาหารกลางวันแล้วถาวจวิหลันก็รู้สึกไม่สบาย ปวดหัวเป็นอย่างมาก จึงพักผ่อนอยู่ครู่หนึ่ง แต่เมื่อตื่นขึ้นมากลับพบว่าอาการยิ่งแย่ลงเรื่อยๆ ใจก็กระตุกวูบ หรือว่า…
ถาวจวินหลันรู้สึกเสียงตัวเองสั่นเครืออยู่หลายส่วน “ไป ไปเชิญหมอหลวงสวีมาตรวจชีพจรให้ข้า”
พอสวมใส่เสื้อผ้า และจัดการหน้าตาเรียบร้อย ถาวจวินหลันก็นั่งอยู่บนเก้าอี้อย่างสง่าเพื่อรอหมอหลวงสวีมา ในใจกลับสับสนวุ่นวาย ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ได้ข้อสรุป และก็เหมือนว่ามีคนกำลังพูดคุยกับนางอยู่ในหัว อื้อๆ อึงๆ ทำให้นางรำคาญเป็นอย่างมาก
ปี้เจียวมองดูถาวจวินหลันที่มีท่าทีเช่นนี้ ทันใดนั้นก็อดกำมือแน่นไม่ได้ แผ่นหลังเหนียวเหนอะหนะไปด้วยหยาดเหงื่อ
แค่พริบตาเดียวบรรยากาศในเรือนเฉินเซียงก็กดดันจนคนรู้สึกไม่สบายใจ
ตอนที่หมอหลวงสวีมาถึง และได้สัมผัสได้ถึงบรรยากาศนี้ ในใจนั้นก็ดิ่งต่ำลงเช่นเดียวกัน สุดท้ายแล้วก็ถอนหายใจเบาๆ และยังคงก้าวเท้ายาวและเร็วเข้าไปในห้อง
ด้วยครั้งนี้ต้องจับชีพจร ดังนั้นจึงไม่ได้ตั้งฉากกั้น อีกอย่างหมอหลวงสวีก็กินยาแล้ว ยิ่งไม่จำเป็นจะต้องหลีกเลี่ยง
หมอหลวงสวีสอบถามอาการ และจับชีพจรอีกครั้ง สุดท้ายแล้วก็พยักหน้าอย่างขมขื่น “เป็นโรคระบาดจริงขอรับ”
แม้ว่าจะคาดการณ์เอาไว้แล้ว แต่ถาวจวินหลันก็ยังคงรู้สึกหน้ามืดตามัว หากไม่นั่งอยู่บนเก้าอี้ เกรงว่านางคงจะยืนไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว
หมอหลวงสวีไม่ได้พูดอะไรมาก อย่างไรตอนนี้ยังจะพูดอะไรได้อีก ไม่มีวิธี แม้แต่วิธีที่ได้ผลเขาเองก็ไม่มีเลย ถาวจวินหลันทำได้แค่เพียงให้สวรรค์ลิขิตแล้ว ยังจะพูดอะไรได้อีก?
ปี้เจียวก็นิ่งไปสักพักกว่าจะตั้งสติขึ้นมาได้ เม้าริมฝีปากแน่นไม่พูดอะไรออกมา
“ช่างเถิด” ถาวจวินหลันเรียกเสียงของตัวเองกลับมา พยายามบังคับตัวเองให้สงบลง แม้กระทั่งพยายามฝืนหัวเราะออกมา “หมอหลวงสวีท่านกลับไปทำงานต่อเถิด”
หมอหลวงสวีอ้าปากค้าง สุดท้ายแล้วก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาแม้แต่น้อย แล้วจากไปด้วยท่าทีหมดอาลัยตายอยาก
ถาวจวินหลันมองหมอหลวงสวีเดินออกจากประตูไป พลางนั่งนิ่งๆ อยู่ครู่หนึ่ง รู้สึกว่าตัวเองเริ่มมีแรงขึ้นมา แล้วถึงมองไปยังปี้เจียวทีหนึ่ง พูดเสียงเบาว่า “ปิดเรื่องนี้เอาไว้”
ปี้เจียวตะลึงไป “จะเป็นไปได้อย่างไรเจ้าคะ!”
ถาวจวินหลันส่ายหัวน้อยๆ “เรื่องนี้ไม่อาจให้ท่านอ๋องรู้ได้ และไม่อาจให้คนอื่นรู้ได้เช่นกัน มิเช่นนั้นคนภายในจวนก็จะมีจิตใจวุ่นวาย ถึงเวลาแล้วจะยิ่งยากไปกันใหญ่”
ที่ไม่ให้หลี่เย่รู้เรื่องนี้ จุดประสงค์หลักก็เป็นเพราะว่ากลัวหลี่เย่จะบุกเข้ามาในจวนอีกครั้ง หากไม่มีเรื่องที่ไม่กี่วันก่อนหน้านี้หลี่เย่ได้บุกแอบเข้ามาหานางตอนกลางคืน นางเองคงไม่ถึงขั้นที่ต้องปิดบังทุกคนด้วยความเป็นกังวลในทุกเรื่อง
เมื่อคิดถึงเรื่องที่หลี่เย่แอบเข้ามาในจวนไม่กี่วันมานี้ ในใจของถาวจวินหลันก็กระตุกวูบ หลี่เย่คงไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่? วันนั้นแม้จะบอกว่าไม่ได้ห่างกันไกลมากนัก แต่ยังดีที่ไม่ได้ใกล้เกินไป…
แต่เมื่อคิดเช่นนี้ ถาวจวินหลันก็ยังคงรู้สึกไม่สบายใจ และกังวลเป็นอย่างมาก นางไม่มีเวลามานั่งเป็นกังวลเกี่ยวกับสภาพร่างกายของตนเอง อย่างน้อยก็ยังถือว่ามีอะไรมาเบี่ยงเบนความสนใจได้
และตอนที่ถาวจวินหลันรู้สึกไม่สบายใจอยู่เต็มไปหมดนั้น ทางด้านหลิวซื่อก็ส่งคนมาแจ้งข่าว บอกว่าหลิวซื่อฟื้นแล้ว อยากพบหน้าถาวจวินหลัน มีเรื่องอยากพูดคุยด้วย
ปี้เจียวกล่าวปฏิเสธโดยไม่ยั้งคิด “ชายารองร่างกายไม่แข็งแรง ไม่สะดวกที่จะไป?”
กลับเป็นถาวจวินหลันที่ได้ยินแล้วคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงพูดว่า “ไม่เป็นอะไร ข้าไปสักครั้งเถิด ให้คนหลบไป ข้าจะออกไปเดี๋ยวนี้”
คราวนี้ปี้เจียวก็เริ่มร้อนใจ พูดเกลี้ยกล่อมว่า “ชายารองจะไปได้อย่างไรเจ้าคะ? ชายาเอกในตอนนี้นาง…” ถาวจวินหลันเข้าใจความหมายของปี้เจียว จึงแค่นหัวเราะเอ่ย “ถ้าข้าไม่ได้ติดเชื้อก็คงไม่เป็นอะไร แต่ตอนนี้ข้าก็…จะไปหรือไม่ไปก็ไม่มีอะไรแตกต่างกัน ในเมื่อนางส่งคนมาถ่ายทอดความ ถ้าข้าไม่ไปก็จะดูละเลยนาง อีกอย่างนางเองก็ถือว่าเป็นไฟที่มอดดับเพราะน้ำมันหมดแล้ว จะทำเช่นนี้ไปทำไม? ไปฟังดูว่านางจะอยากพูดอะไรกันแน่ดีกว่า”
หลิวซื่อเร่งรนจนส่งคนมาเชิญนางไป แท้จริงแล้วอยากจะพูดอะไรกันแน่ เรื่องนี้นางแปลกใจยิ่งนัก
ตอนที่ย่างกรายเข้าไปในเรือนหลิวซื่ออีกครั้ง ถาวจวินหลันก็อดถอนหายใจไม่ได้ เจ้านายคนนี้เหลือเวลาไม่เยอะแล้ว เจ้านายคนต่อไปจะเป็นใครกัน?
ถาวจวินหลันรู้ดีว่า ถ้าหากหลิวซื่อตายไปอย่างนี้ หลี่เย่จะต้องถูกแต่งตั้งชายาเอกตวนชินอ๋องอย่างรวดเร็วเป็นแน่ แต่เพียงแค่ไม่รู้ว่าจะเป็นใคร? อีกอย่างก็ยิ่งไม่รู้ว่าถึงเวลานั้นนางจะอยู่ไหน ไม่แน่ว่านางอาจจะไม่ได้เห็นภาพนั้นก็เป็นได้
ถ้าหากเป็นเช่นนั้นจริง นางก็หวังแค่ให้หลี่เย่ปกป้องลูกหญิงชายไม่ให้รับความไม่ยุติธรรมได้ก็พอ
ละทิ้งความคิดวุ่นวายสับสนในหัวออกไป ถาวจวินหลันย่างเท้าเข้าไปในห้อง ภายในห้องนั้นยังคงมีกลิ่นเหมือนคราวที่แล้ว แต่เพราะว่าเปิดหน้าต่างและเคี่ยวยาจึงทำให้กลิ่นบางลงไปมาก ไม่ดมให้ดีก็จะไม่ได้กลิ่นอะไรออกมา
คนที่คอยอยู่ปรนนิบัติหลิวซื่อในตอนนี้นั้นคือชุนฮุ่ยและชิงอวิ๋น ทั้งสองคนเห็นถาวจวินหลันก็รีบเดินขึ้นไปทำความเคารพ ชุนฮุ่ยพูดเสียงเบาว่า “ชายาเอกตื่นขึ้นมาไม่บ่อยนักเจ้าค่ะ เมื่อครู่นี้ตอนที่รอชายารองก็หลับไปอีกรอบหนึ่งแล้วเจ้าค่ะ”
ความหมายของชุนฮุ่ยคือหลิวซื่อใกล้จะตายแล้ว
ถาวจวินหลันพยักหน้า “ถ้าเช่นนั้นก็เข้าไปเลยเถิด”
อาการของหลิวซื่อแย่มากอย่างที่คาดเอาไว้ หาเทียบกับคราวที่แล้ว ครั้งนี้ก็ยิ่งซูบเซียวเ**่ยวแห้งมากขึ้น คราวที่แล้วอย่างน้อยก็ยังพูดได้โดยที่ไม่ได้ดูเหนื่อยเท่าไรนัก ครั้งนี้แค่เพียงการหายใจเข้าออกแต่ละครั้งก็ดูเหน็ดเหนื่อยมากแล้ว
ถาวจวินหลันนั่งลงบนเก้าอี้ที่อยู่ข้างเตียง มองดูชุนฮุ่ยเดินไปปลุกหลิวซื่อ
ความจริงแล้วหลิวซื่อไม่ได้ยิน เสียงฝีเท้าของพวกนางหลายคนที่เดินเข้ามา แม้แต่ปฏิกิริยาก็ยังไม่มี ถ้าไม่ใช่เพราะว่ายังหายใจอยู่ นางก็แทบจะสงสัยว่าหลิวซื่อคงตายไปแล้ว
หลิวซื่อลืมตาขึ้นมา ผ่านไปครู่หนึ่งถึงได้กลอกลูกตามองไปรอบด้านรอบหนึ่ง แล้วขยับนิ้วเล็กน้อย พูดว่า “ออกไปให้หมด”
ชุนฮุ่ยลังเลอยู่ครู่หนึ่ง มองไปยังถาวจวินหลันอีกครั้งแล้วพูดว่า “ชายาเอกอยากพูดคุยกับชายารองเพียงลำพังเจ้าค่ะ”
ตอนนี้หลิวซื่อมีสภาพเป็นเช่นนี้แล้ว จะพูดคุยโดยลำพังก็ไม่ได้มีอะไรน่ากลัว ถาวจวินหลันพยักหน้า “ถ้าเช่นนั้นพวกเจ้าก็ออกไปเถิด”
เพียงไม่นาน บรรดาบ่าวรับใช้ก็พากันเดินออกไป ในห้องเหลือเพียงแค่เสียงลมหายใจของนางและหลิวซื่อ ถาวจวินหลันถอนหายใจเบาๆ แล้วเขยิบเข้าไปใกล้ “มีอะไร ท่านพูดมาเถิด”
หลิวซื่อมองถาวจวินหลันนิ่ง ริมฝีปากขยับอย่างอ่อนแรง ปรากฏท่าทีคล้ายหัวเราะขมขื่นออกมา “ข้าจะตายแล้ว”