บัลลังก์พญาหงส์ - บทที่ 459 อธรรม
นางเป็นเช่นนี้ ทำให้บรรดาบ่าวรับใช้ที่ดูแลข้างกายต่างตกใจ…รีบเร่งเชิญหมอหลวงสวีมา แต่หมอหลวงสวีนอกจากจะมั่นใจว่านี่เป็นอาการของโรคระบาดแล้ว ก็ไม่มีวิธีอะไรมารักษาได้อีก
ถาวจวินหลันยิ้มขมขื่นพลางสะบัดมือ “ต่อจากนี้ไปไม่ต้องเหน็ดเหนื่อยแล้ว แค่เพียงปวดหัวมากเท่านั้น ขอให้หมอหลวงสวีสั่งยาบรรเทาอาการมาก็พอแล้ว”
นางปวดหัวเช่นนี้ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องจัดงานพิธีศพของหลิวซื่อ แม้แต่ชีวิตประจำวันก็ยังยาก อีกทั้งการเดินทางครั้งสุดท้ายของหลิวซื่อ คงจะต้องมีคนไปจัดการดำเนินพิธี หากยังมีคนอื่นที่พึ่งพิงได้ก็แล้วไป แต่ในตอนนี้เมื่อกวาดตามองไปทั่วจวนอ๋อง กลับไม่มีใครออกหน้าแทนนางได้แม้แต่คนเดียว
เรื่องจิปาถะให้บ่าวรับใช้ของตนเองหรืออี๋เหนียงออกหน้าแทนได้ แต่เรื่องใหญ่เช่นนี้ หากนางยังทำเช่นนั้นต่อไป ก็จะดูไร้มารยาทไปหน่อยแล้ว ใช่ ตอนนี้นางเองก็ป่วยอยู่เช่นกัน ไม่ไปคิดเรื่องพวกนี้ก็ยังพูดผ่านไปได้ แต่เพราะในใจของนางยังวางแผนเรื่องอื่นอยู่ จึงไม่อาจไม่คิดเรื่องนี้
ไม่ว่าครั้งนี้นางจะทนต่อไปได้หรือไม่ แต่เหลือชื่อเสียงดีๆ เอาไว้ สุดท้ายแล้วก็จะมีประโยชน์เป็นอย่างมาก หากนางตายไป ชื่อเสียงดีๆ ของนางก็ยังพอปกป้องคุ้มครองลูกหญิงชายของตนเองได้ ต่อให้หลี่เย่ตบแต่งชายาเอกคนใหม่หรือชายารองคนใหม่เข้ามาก็ไม่กล้าละเลยลูกหญิงชายของตน หากนางมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ ก็จะยิ่งเกิดผลดีมากขึ้นอย่างคาดเดาได้
หมอหลวงสวีคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงพูดว่า “ได้ยินว่าในมือของชายารองถาวมียาปี้เซียวตาน ทานอันนั้นแล้วจะมีผลมากกว่ายาทั่วไปขอรับ”
จู่ๆ ถาวจวินหลันก็คิดได้ว่าสองวันมานี้นางไม่ได้กินยาปี้เซียวตาน…นางเป็นเช่นนี้ จึงไม่ได้ใส่ใจตัวเองมากนัก ทั้งยังไม่มีความทะเยอทะยาน เพราะอย่างไรนางก็ติดเชื้อโรคระบาดแล้ว ยังจำเป็นต้องกินยาเหล่านั้นอยู่อีกหรือ? กินไปก็สิ้นเปลืองมิใช่หรืออย่างไร? อีกทั้งชีวิตตกอยู่ในอันตราย นางเองไม่คิดจะไปบำรุงร่างกายอีก
ตอนนี้พอหมอหลวงสวีพูด ถาวจวินหลันก็พยักหน้า “ถ้าเช่นนั้นก็ทำตามที่หมอหลวงสวีบอก ไปเอายามา”
พอนางกินยาปี้เซียวตานเข้าไป แล้วนอนพักอีกครู่หนึ่ง ตอนที่ตื่นขึ้นมาก็รู้สึกว่าทั้งร่างนั้นเบาขึ้นมาไม่น้อย อย่างน้อยก็ไม่ได้ปวดหัวขนาดนั้นแล้ว
นางพยุงตัวเองลุกขึ้น แล้วเอ่ยปากเรียกปี้เจียวเข้ามา ถามนางว่า “เรื่องพิธีศพของพระชายาจัดเตรียมไปถึงไหนแล้ว?”
“ด้วยเตรียมพร้อมไว้หมดแล้ว ดังนั้นอย่างช้าที่สุดพรุ่งนี้ก็เผาได้แล้วเจ้าค่ะ” ปี้เจียวเห็นท่าทีของถาวจวินหลัน ก็อดถอนหายใจไม่ได้ ในใจทั้งสงสารและโมโห สุดท้ายแล้วก็อดพูดเตือนไม่ได้ “ชายารองอย่ามัวแต่สนใจคนอื่นซีเจ้าคะ ท่านควรจะคิดถึงตัวเองบ้าง”
ถาวจวินหลันสะบัดมืออย่างไม่สนใจ “อืม” แต่ดูจากท่าทีนั้นแล้ว เหมือนว่าไม่ได้เอาคำพูดไปใส่ใจเลยสักนิด
ปี้เจียวคิดอยากจะเกลี้ยกล่อมอีกเล็กน้อย แต่ถาวจวินหลันกลับไม่เปิดโอกาสให้นาง “เอาเถิด ข้าหิวแล้ว ตั้งโต๊ะสำรับเถิด”
เมื่อได้ยินว่าถาวจวินหลันหิว ปี้เจียวก็ไม่คิดสนใจเรื่องอื่นอีกต่อไป รีบออกไปยกข้าวมาตั้งโต๊ะ
ถาวจวินหลันแม้ว่าจะปิดบังทุกคนเรื่องตนเองติดเชื้อโรคระบาด แต่เรื่องที่หลิวซื่อเสียชีวิตก็ไม่อาจชักช้าได้ จึงรีบส่งข่าวออกไปทันที โดยเฉพาะทางด้านหลี่เย่ นางกำชับว่าต้องเตือนหลี่เย่ไม่ให้คิดโกรธแค้นเรื่องก่อนหน้านี้ จะต้องจำฐานะของหลิวซื่อไว้ให้แม่นมั่น
หลิวซื่อจากไปแล้ว ถ้าหลี่เย่ไม่สะทกสะท้าน คนอื่นจะคิดว่าเขาเป็นคนไร้ความรู้สึก ดังนั้นต่อให้เป็นการเสแสร้งแกล้งทำ ก็ต้องแสดงท่าทีโศกเศร้าให้เห็นบ้าง
ตกดึกถาวจิวนหลันคิดจะไปเยี่ยมเจียงอวี้เหลียน นางไม่คิดอยากให้เจียงอวี้เหลียนเดินตามรอยเท้าของหลิวซื่อไป อีกทั้งเจียงอวี้เหลียนก็เป็นชายารองเหมือนกัน ที่จริงแล้วก็ควรต้องออกหน้าบ้าง
อาการของเจียงอวี้เหลียนไม่น่าดูนัก…เวลาเพิ่งจะผ่านไปกี่วัน ผู้หญิงที่รูปร่างหน้าตาสวยงามหุ่นสะโอดสะองคนนั้นก็แทบไม่เห็นแม้แต่เงา เจียงอวี้เหลียนผมเผ้ากระเซิง เสื้อผ้ายับยู่ยี่ มองดูแล้วไฉนเลยจะมีท่าทีชายารองแห่งจวนตวนชินอ๋องอีก?
ถาวจวินหลันลอบขมวดคิ้ว จากนั้นก็พูดกับเจียงอวี้เหลียนว่า “พระชายาเสียชีวิตแล้ว เจ้าเป็นชายารอง อย่างน้อยก็ควรต้องออกหน้าบ้าง อย่าได้เสียมารยาท” มิเช่นนั้น คนที่จะถูกเอามานินทานั้นจะไม่ใช่แค่เพียงแจียงอวี้เหลียน แล้วยังมีจวนตวนชินอ๋อง
ในความเป็นจริงแล้ว คนที่นั่งหัวเราะเยาะจวนตวนชินอ๋องลับหลังนั้นก็มีไม่น้อย…ภรรยาเอกของท่านอ๋องและองค์ชายคนอื่นนั้นมีใครบ้างที่ไม่ใช่คนที่ชื่อเสียง ตำแหน่งโดดเด่น? หลิวซื่อแต่เดิมนั้นก็ไม่อาจสู้ชายาเอกคนอื่นได้แล้ว ตระกูลหลิวเองก็ใกล้จะล่มสลาย แม้แต่ชายารองทั้งสองคน คนหนึ่งก็ได้ชื่อนางกำนัลลูกสาวขุนนางนักโทษ อีกคนก็เป็นลูกกำพร้า
ถ้านับไปแล้ว ก็ไม่มีใครโดดเด่นเลย
เจียงอวี้เหลียนเอ่ยปฏิเสธทันควัน “จะไปทำไม? เจ้าจะไปก็ไปเอง อย่าได้ลากข้าเข้าไปด้วย ข้ายังอยากมีชีวิตอยู่ต่อ”
ในตอนนี้เจียงอวี้เหลียนเห็นหลิวซื่อเหมือนกับสัตว์ร้ายหรือน้ำหลากก็มิปาน
พอได้ยินคำพูดที่แฝงความหมดอาลัยตายอยากของเจียงอวี้เหลียน ถาวจวินหลันก็ขมวดคิ้วแน่นทันที “ยังไม่ทันจะเป็นอะไรเลย เจ้าปล่อยตนเองให้ตกต่ำเช่นนี้จะไปมีประโยชน์อะไร? เจ้าคิดว่าเจ้าจะตายแล้ว ทำไมเจ้าไม่คิดบ้างว่าถ้าหากอดทนผ่านไปได้เล่า? ควรจะต้องคิดถึงเรื่องในอนาคตเอาไว้บ้าง ควรเชิดหน้าชูตาท่านอ๋องบ้าง”
เจียงอวี้เหลียนลังเลอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายแล้วก็หัวเราะเสียงเย็นเอ่ย “ทนไปได้? เจ้าพูดง่ายเสียจริง”
ถาวจวินหลันมองดูท่าทีไม่สนใจอะไรทั้งนั้น ก็รู็สึกปวดขมับปวดหัว สุดท้ายแล้วนางก็คร้านจะคุยต่อไป พูดแค่ว่า “เจ้าปล่อยตัวเองเช่นนี้ก็ไร้ประโยชน์ ไม่สู้เรียกสติกลับคืนมา ต่อให้มีชีวิตอยู่ได้อีกแค่สองสามวันนี้จริง ก็อย่าใช้ชีวิตเละเทะเช่นนี้เลย”
พอพูดจบนางเองก็ไม่รั้งตัวอยู่ต่อ เพียงแค่เดินหมุนออกจากเรือนไป จากนั้นก็ไปที่โถงวิญญาณครู่หนึ่ง…แม้จะบอกว่าพรุ่งนี้จะเป็นพิธีเผา แต่วันนี้ตอนกลางคืนก็ยังจะต้องเฝ้าวิญญาณ รอจนถึงพรุ่งนี้เถ้ากระดูกออกมา ก็ยังจะต้องทำพิธีสะกดวิญญาณไว้ทุกข์อีกต่อไปเช่นเดิม
ข่าวหลิวซื่อเสียชีวิตไปถึงในวังหลวง ฮ่องเต้ก็ไปยังวังของไทเฮา ความหมายของฮ่องเต้ยังคงเหมือนกับประชาชนทั่วไป ในเมื่อติดเชื้อโรคระบาดแล้วก็ควรเผาศพ ไม่สามารถเก็บร่างเอาไว้ได้ แต่นั่นก็เป็นถึงชายาเอกตวนชินอ๋อง ดังนั้นฮ่องเต้จึงยังลังเลอยู่บ้าง
ไทเฮามองฮ่องเต้วูบหนึ่ง พูดว่า “เรื่องนี้ตวนชินอ๋องพูดไว้นานแล้ว ว่าไม่เก็บร่างเอาไว้”
ฮ่องเต้ตะลึงไป ทำตัวไม่ถูกเล็กน้อย “ปกติแล้วเจ้ารองก็เป็นคนรู้ความ ไม่เคยทำให้เป็นกังวล”
ไทเฮาพยักหน้า “ไม่ใช่คนที่ทำให้สบายใจอะไรหรอก หลายวันมานี้เขาไม่ได้เข้ามาในวังหลวง แม้แต่ลูกชายก็ไม่กล้ามาพบ ก็ไม่ใช่เพราะว่ากลัวคนเอาเรื่องไปนินทา กลัวว่าจะส่งผลกระทบไปถึงคนอื่นอย่างนั้นหรือ? เขาเองก็น่าสงสาร ต้องลำบากตั้งแต่เด็กไม่เท่าไร โตขึ้นมาแล้วจะมีหน้ามีตาหน่อยก็ไม่ง่ายดาย ต้องมาเกิดเรื่องบ่อยนัก คราวนี้คงกลายเป็นพ่อม่ายเสียแล้ว! หลิวซื่อตายไปเพราะโรคนี้ ต่อจากนี้จะตบแต่งอีกก็คงไม่ง่าย!”
ไทเฮาพูดใส่อารมณ์ สุดท้ายแล้วก็มีน้ำตาไหลลงมาด้วย “กลับเป็นข้าที่ทำผิดต่อแม่ของเขา แม่ของเขาฝากฝังเขาเอาไว้ก่อนตาย แต่ข้ากลับไม่ได้ดูแลเขาให้ดีเลย”
“เสด็จแม่!” ฮ่องเต้ที่ปลายผมกลายเป็นสีขาว พอได้ยินคำพูดนี้ของไทเฮาแล้ว ก็เริ่มคล้อยตาม อดตะโกนออกมาไม่ได้ แต่เมื่อตะโกนออกไปแล้ว ฮ่องเต้กลับต้องสะอึกอยู่ในลำคอ พูดอะไรไม่ออก
ฮ่องเต้คิดถึงภาพของกุ้ยเฟย และคำพูดเหล่านั้นที่กุ้ยเฟยพูดก่อนตาย ฉับพลันก็รู้สึกละอายใจ ผ่านไปครู่หนึ่งถึงพูดว่า “เป็นข้าที่ทำผิดต่อกุ้ยเฟย”
“หลังจากข้าตายไปแล้ว ก็ไม่รู้ว่าเขาจะถูกใครรังแกหรือไม่” ไทเฮาไม่มองฮ่องเต้แม้แต่น้อย เพียงแต่ทอดถอนหายใจ
ฮ่องเต้รีบพูดว่า “นี่จะเป็นไปได้อย่างไร? เขาเป็นชินอ๋อง ใครจะกล้า?”
ไทเฮาหัวเราะเสียงเย็น แต่กลับไม่พูดอะไรออกมา
ฮ่องเต้เข้าใจความหมายของไทเฮา…องค์รัชทายาทไม่ได้เอ็นดูรักหลี่เย่ หากต่อจากนี้องค์รัชทายาทขึ้นครองราชย์ วันเวลาของหลี่เย่จะต้องไม่ได้ดีเหมือนตอนนี้อย่างแน่นอน
“ช่างเถิดๆ เรื่องมาจนถึงตอนนี้ก็ไม่มีอะไรพูดได้แล้ว จะดีหรือไม่ก็ถือเป็นโชคชะตาทั้งนั้น” ไทเฮาลูบตา ถอนหายใจอีกครั้ง “ไม่รู้ว่าซวนเอ๋อร์และหมิงจูเป็นอย่างไรบ้าง ยังดีที่ส่งออกไปก่อนจะเกิดเรื่อง ในตอนนั้นข้ายังคิดว่าถาวซื่อตีตนไปก่อนไข้ ตอนนี้ดูท่าว่าข้าจะเลอะเลือนไปเสียแล้ว”
ไทเฮาพูดเช่นนี้ ฮ่องเต้ก็คิดถึงซวนเอ๋อร์และหมิงจูขึ้นมา และพาลไปนึกถึงถาวจวินหลัน ก่อนเอ่ยถามว่า “ตอนนี้ถาวซื่อเป็นอย่างไรบ้าง?”
ไทเฮามองฮ่องเต้ทีหนึ่งอย่างประหลาดใจ ส่ายหน้า “ไม่รู้เช่นกัน คิดดูแล้วก็คงจะปลอดภัย แต่นางเองก็ถือว่าคำนึงถึงภาพรวม ยังรู้จักดูแลตวนชินอ๋อง” หยุดไปครู่หนึ่งก็พูดอีกว่า “หากนางตายไปจริง ก็ให้ชื่อตำแหน่งชายาเอกกับนางเถิด” เช่นนี้ถือว่าดีต่อซวนเอ๋อร์และหมิงจูทั้งนั้น อย่างน้อยก็เปลี่ยนจากลูกอนุเป็นลูกภรรยาเอกมิใช่อย่างนั้นหรือ? มีชื่อภรรยาเอกคุ้มครองอยู่ ต่อให้พวกเขาไม่มีแม่ แล้วใครยังจะกล้ารังแกพวกเขา?
ฮ่องเต้นิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วจึงพยักหน้าเอ่ย “เช่นนั้นก็ทำตามความตั้งใจของไทเฮาเถิด”
หยุดไปครู่หนึ่งฮ่องเต้ก็พูดอีกว่า “กลับไปข้าจะให้ขันทีเป่าฉวนเลือกของบางอย่าง ประทานให้หลิวซื่อถือเป็นของที่เอาไปฝังร่วม” ฮ่องเต้ประทานของล้ำค่าเป็นของฝังร่วม ก็ถือว่าให้เกียรติมากแล้ว
แต่การให้ความสำคัญและเกียรติยศในครั้งนี้ถ้าจะบอกว่าให้หลิวซื่อ ไม่สู้บอกว่ามอบให้หลี่เย่
ตอนที่หลี่เย่ได้รับข่าวนี้ ก็อดหัวเราะเสียงเย็นไม่ได้ โจวอี้เหลือบตามองทีหนึ่ง ก็รีบก้มหน้าลงทำทีไม่เห็นอะไร แม้ว่าของที่วังหลวงประทานให้จะล้ำค่า แต่ที่ฮ่องเต้ไม่ให้หลี่เย่เข้ามาในวังหลวงอีก ก็ไร้เยื่อใยและทำร้ายจิตใจคนมากพอแล้ว
“นอกเมืองมีข่าวคราวอะไรบ้างหรือไม่?” หลี่เย่เป็นกังวลเรื่องนี้มากที่สุด หากในวันหนึ่งยังหาวิธีไม่ได้ ตัวเขาเองก็ไม่อาจวางใจได้อีกหนึ่งวัน
เมื่อถามถึงเรื่องนี้สีหน้าของโจวอี้ก็เปลี่ยนไป “ตอนนี้ยังไม่ได้ข่าวอะไรพ่ะย่ะค่ะ”
สีหน้าของหลี่เย่มืดคล้ำลงไปในทันใด หรี่ตามอง “ช่างไร้ความสามารถเสียจริง ทางด้านกรมหมอหลวงเล่า?”
โจวอี้ส่ายหัว “ไม่มีเช่นกันพ่ะย่ะค่ะ”
คราวนี้หลี่เย่รู้สึกหงุดหงิดจริงๆ แล้ว “เบี้ยหวัดของพวกเขาเอาไปก็ไร้ประโยชน์เสียจริง!”
โจวอี้เห็นหลี่เย่เป็นเช่นนี้ เกรงว่าเขาคงจะออกคำสั่งอะไรที่ทำให้คนลำบากใจอีก จึงช่วยพูดแทนบรรดาหมอหลวงเหล่านั้น “แต่เดิมนี่ก็เป็นเรื่องยาก พวกเราเร่งพวกเขาไปก็ไร้ประโยชน์พ่ะย่ะค่ะ”
หลี่เย่ย่อมรู้เหตุผลนี้ แต่ไฟโกรธเต็มอกของเขาก็ระบายออกได้ด้วยวิธีนี้เท่านั้นมิใช่หรือ? แน่นอนว่า เขาไม่ใช่คนที่ไม่รู้จักพอ รู้สึกว่าคิดค้นหาวิธีไม่ได้ก็ควรทำให้หมอหลวงเหล่านั้นไปตาย
“ทางด้านจวนเหิงกั๋วกงยังไม่มีข่าวอย่างนั้นหรือ?” หลี่เย่ที่หงุดหงิดอยู่พลันคิดถึงเรื่องแผนก่อนหน้านี้ได้ พอนับเวลาดูแล้ว ตอนนี้ควรต้องเกิดผลแล้วมิใช่หรืออย่างไร?
อีกอย่าง เป้าหมายสุดท้ายที่เขาทำเช่นนี้ก็ไม่ใช่เพื่อระบายความโกรธเท่านั้น เขายิ่งตั้งความหวังว่าจะหยิบยืมพละกำลังของจวนเหิงกั๋วกง คิดค้นยากรักษาให้โดยเร็ว