บัลลังก์พญาหงส์ - บทที่ 460 เห็นแก่ตัว
จวนเหิงกั๋วกงในตอนนี้ยุ่งวุ่นวาย ไม่ได้เป็นเพราะสิ่งอื่นใด เพราะว่าคุณชายสามแห่งจวนเหิงกั๋วกง หรือก็คือลูกชายจากภรรยาเอกคนที่สามของเหิงกั๋วกงกำลังป่วย เมื่อเชิญหมอหลวงมาตรวจชีพจร กลับบอกว่าเป็นโรคระบาด จึงทำให้ทุกคนต่างอยู่ในสภาพงงงัน
เหิงกั๋วกงกลับไม่สั่งปิดจวนอย่างเด็ดเดี่ยวเช่นถาวจวินหลัน แต่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วตัดสินใจปิดบังเรื่องนี้ ให้เหิงกั๋วกงฮูหยินแอบเข้าวังหลวงไปทำความเคารพฮองเฮา
เหิงกั๋วกงบังคับกักตัวหมอหลวงไว้ในจวน ไม่สามารถปล่อยออกไปได้ชั่วคราว อีกทั้งหมอหลวงคนนั้นแต่เดิมก็เป็นคนที่มักไปมาหาสู่ในจวนเหิงกั๋วกงอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องออกแรงอะไรมากเท่าไรก็ทำให้หมอหลวงคนนั้นยอมรับปากปิดบังเรื่องนี้ได้แล้ว
เหิงกั๋วกงคิดว่าทุกอย่างเงียบสงบ ไม่มีใครพบเห็น แต่เขากลับไม่รู้ว่าหลี่เย่ได้จับตามองทุกการกระทำของเขามานานแล้ว
หลังจากหลิวเอินรายงานเสร็จแล้ว ก็ถามหลี่เย่ว่า “ท่านอ๋อง ต้องให้คนแอบสั่งปลดจวนเหิงกั๋วกงหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”
สั่งปลดจวนเหิงกั๋วกงตอนนี้ ใบหน้าของเหิงกั๋วกงก็จะไม่มีที่ให้อยู่ อีกอย่างหากจวนเหิงกั๋วกงก็ถูกสั่งห้ามเข้าออก นั่นก็ถือเป็นเรื่องดี
แต่หลี่เย่กลับส่ายหน้า “ไม่รีบ รออีกสักหน่อยเถิด” จุดประสงค์ของเขาไม่ใช่สิ่งนี้ หากปิดจวน ถ้าเช่นนั้นเหิงกั๋วกงจะคิดหาวิธีช่วยลูกชายของเขาได้อย่างไร?
อีกอย่างเขายังอยากจะดูว่าฮองเฮาคิดอย่างไร
และทางด้านเหิงกั๋วกงฮูหยินที่เร่งรีบเข้าวังมา คิดไปคิดมาแล้วกลับไม่ได้ไปหาฮองเฮาในทันใด แต่กลับไปพบพระชายาองค์รัชทายาทก่อน อย่างไรพระชายาองค์รัชทายาทก็เป็นหญิงสาวที่นางให้กำเนิดมา เวลาพูดคุยนั้นง่ายกว่ามาก
เมื่อเหิงกั๋วกงฮูหยินพบหน้าพระชายาองค์รัชทายาทก็ร่ำไห้ ทำให้พระชายาองค์รัชทายาทตกใจรีบสั่งให้นางกำนัลทั้งหลายถอยออกไป
พอเหลือเพียงแค่สองคนแม่ลูก พระชายาองค์รัชทายาทจึงเปิดปากถามออกมาอย่างจำใจ “ท่านแม่เป็นอะไรไปเจ้าคะ?”
ก่อนหน้านี้หลายครั้งที่เหิงกั๋วกงฮูหยินมาร่ำไห้ฟ้องร้องต่อหน้าพระชายาองค์รัชทายาท เพราะเหิงกั๋วกงแม้ว่าจะมีอายุมากแล้ว แต่ก็ยังชอบความสดใหม่ เลี้ยงดูอนุภรรยาไว้จำนวนมาก และมีลูกหญิงชายที่เกิดจากอนุภรรยาจำนวนมากเช่นกัน ทุกครั้งที่เหิงกั๋วกงฮูหยินรู้สึกไม่สบายใจ มีบางครั้งที่โมโหเป็นอย่างมาก ก็จะต้องมาหาลูกสาวของตนเองให้ช่วยหนุนหลัง โดยเฉพาะหลังจากที่ได้รับตำแหน่งพระชายาองค์รัชทายาทแล้ว
แต่นั่นก็เป็นท่านพ่อของพระชายาองค์รัชทายาท แม้ว่าพระชายาองค์รัชทายาทอยากจะช่วยมารดาของตนเองอย่างไร นั่นก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ไม่มีทาง ขอเพียงแค่เหิงกั๋วกงไม่โปรดอนุฆ่าเอก แล้วนางจะพูดอะไรได้อีก? ดังนั้นเมื่อเกิดขึ้นหลายครั้ง ทุกครั้งที่เหิงกั๋วหงฮูหยินมาร่ำไห้กับพระชายาองค์รัชทายาทนั้น ก็ทำให้รู้สึกปวดหัวและเริ่มหมดความอดทน
แต่ครั้งนี้พระชายาองค์รัชทายาทเดาผิดไป ดังนั้นตอนที่เหิงกั๋วกงฮูหยินพูดประโยคนั้นออกมา “พี่สามของเจ้าติดเชื้อโรคระบาดแล้ว!” สีหน้าเอือมระอาบนใบหน้าของนางยังไม่ทันได้เก็บไปหมด ก็มีแววตื่นตะลึงปรากฏขึ้นมาซ้อนทับกัน
“อะไรนะ?!” พระชายาองค์รัชทายาทพูดเสียงแหลมอย่างไม่คิดเชื่อ จากนั้นก็คิดว่าเรื่องนี้ไม่เหมาะที่จะป่าวประกาศออกไป จึงรีบพูดเสียงเบาว่า “นี่เกิดขึ้นได้อย่างไร? อยู่ดีๆ ทำไมถึงติดเชื้อโรคระบาดได้เล่าเจ้าคะ?”
พระชายาองค์รัชทายาทคิดแค่ว่าเป็นไปไม่ได้ นางเคยกำชับจวนเหิงกั๋วกงแล้วว่าจะต้องระมัดระวัง หลายวันนี้ไม่ต้องไปหามาหาสู่กับนอกเมือง แล้วอยู่ดีๆ จะติดเชื้อโรคระบาดมาได้อย่างไร? หรือจะบอกว่า…
ความคิดนี้ปรากฏขึ้นมา ทันใดนั้นใบหน้าของพระชายาองค์รัชทายาทก็ปรากฏแววโกรธกรุ่น นางคิดอย่างหงุดหงิดว่าใครมีความกล้าถึงขนาดลงมือกับจวนเหิงกั๋วกง?
สีหน้าของเหิงกั๋วกงฮูหยินก็ไม่น่ามองเช่นเดียวกัน “ท่านพ่อของเจ้าก็สงสัยเช่นเดียวกัน ตอนนี้กำลังสืบสวนภายในจวนอยู่”
พระชายาองค์รัชทายาทกำมือแน่น โพล่งถามออกมาว่า “สองสามวันมานี้ท่านแม่ได้เจอพี่สามบ้างหรือไม่?”
เหิงกั๋วกงฮูหยินตะลึงไป จากนั้นก็พึมพำพูดว่า “ย่อมต้องได้พบ แต่ข้าเองได้กินยานั้นแล้ว คิดว่าคงไม่เป็นอะไรหรอกใช่หรือไม่?”
สิ้นเสียงเหิงกั๋วกงฮูหยิน นางก็เห็นพระชายาองค์รัชทายาทถอยลงไปสองสามก้าว ทันใดนั้นสีหน้าก็เริ่มไม่น่ามอง จึงทั้งเสียใจทั้งโมโห แต่เดิมก็คิดอยากจะลุกขึ้นจากไป แต่เมื่อคิดถึงลูกชายคนที่สามของตนสุดท้ายแล้วก็บังคับตัวเองไม่ให้ขยับ
“ตอนนี้ภายในจวนได้แยกส่วนแล้วหรือยังเจ้าคะ?” พระชายาองค์รัชทายามยังพยายามอยู่ให้ห่างจากเหิงกั๋วกงฮูหยิน จากนั้นก็ขมวดคิ้วถามขึ้นมา ที่จริงแล้วหลังจากถามเช่นนี้ออกไป พระชายาองค์รัชทายาทก็ลอบหัวเราะเยาะอยู่ในใจ นางเข้าใจท่านพ่อของตนเองดี เรื่องนี้ท่านพ่อไม่มีทางป่าวประกาศออกไปเป็นแน่ แต่นี่ก็ไม่เหมาะที่จะประกาศออกไปจริงๆ
“เจ้าควรคิดหาวิธีช่วยพี่สามของเจ้าถึงจะถูก พวกเราค่อยไปหาฮองเฮาเหนียงเหนียง” เหิงกั๋วกงฮูหยินไม่ตอบคำถามของพระชายาองค์รัชทายาท เพียงแค่พูดอย่างวิงวอน
พระชายาองค์รัชทายาทแค่นหัวเราะ มองไปยังเหิงกั๋วกงฮูหยิน “ท่านแม่คิดว่าข้าเป็นใคร? ไฉนเลยข้าจะมีวิธีเล่า? หากเป็นเรื่องอื่น บางทีข้าอาจจะยังช่วยเหลือได้บ้าง แต่นี่เป็นโรคระบาด…ไม่ต้องพูดถึงข้า แม้แต่ฮองเฮาเองก็ไม่มีวิธีเช่นกัน”
เหิงกั๋วกงฮูหยินตะลึงไป “แต่…”
พระชายาองค์รัชทายาทคิดอยากจะตักเตือนอีกเล็กน้อย ว่าเหิงกั๋วกงฮูหยินไม่รู้จักพอประมาณ แต่เมื่อคิดไปมาสุดท้ายก็ใจอ่อน “ตอนนี้หมอหลวงยังคงคิดหาวิธีไม่ได้ ไม่ต้องพูดถึงฮองเฮา แม้แต่ฮ่องเต้เองก็จนปัญญาเช่นกัน เมื่อวานนี้พระชายาตวนชินอ๋องเพิ่งจะเสียชีวิตไปเพราะโรคระบาด ชายารองทั้งสองคนของตวนชินอ๋องก็ไม่รู้ว่าเป็นเช่นไร หากมีวิธี ฮ่องเต้จะทนมองคนจวนตวนชินอ๋องเสียชีวิตหมดอย่างนั้นหรือ?”
เหิงกั๋วหงฮูหยินนิ่งไป น้ำตาไหลลงมา “ถ้าดูตามที่เจ้าพูด พี่สามของเจ้าเขา…”
พระชายาองค์รัชทายาทจึงได้ทำแค่ปลอบประโลมเท่านั้น “พี่สามเป็นคนดี สวรรค์ย่อมคุ้มครอง ท่านแม่ไม่ต้องเป็นกังวลไป ข้าเองก็จะคิดหาวิธี”
เหิงกั๋วกงฮูหยินได้ยินเช่นนี้ ทันใดนั้นก็เหมือนได้ที่พึ่งพิง รีบพยักหน้าในทันที “ดีๆ”
“แต่ท่านแม่ต้องรับปากข้าเรื่องหนึ่ง” พระชายาองค์รัชทายาคิดถึงข่าวลือเมื่อหลายวันก่อนขึ้นมาได้ คิดไปคิดมาก็เอ่ยปากพูด แม้จะบอกว่าข่าวลือไม่ใช่ว่าจะไม่มีมูลเสียเลย แต่ท้ายที่สุดแล้วนางก็ยังรู้สึกไม่สบายใจอยู่ดี
เหิงกั๋วกงฮูหยินเงยหน้า “เรื่องอะไร?”
“ขอให้ท่านแม่รีบพูดเรื่องแต่งงานแทนให้น้องเล็กโดยเร็วเถิด” พระชายาองค์รัชทายาทพูดขึ้นช้าๆ น้ำเสียงเรียบสงบ “น้องเล็กอายุไม่น้อยแล้ว ถึงเวลาต้องออกเรือนแล้ว”
แม้จะบอกว่าพระชายาองค์รัชทายาทพูดอย่างสง่าผ่าเผย แต่เหิงกั๋วกงฮูหยินก็ยังคงฟังความหมายแฝงของพระชายาองค์รัชทายาทออก พระชายาองค์รัชทายาทกลัวว่าลูกสาวคนเล็กจะเข้าวังหลวง!
ผ้าที่เอาไว้ซับน้ำตาในมือของเหิงกั๋วกงฮูหยินถูกขยำเป็นกำ แต่เมื่อคิดถึงลูกชายคนที่สาม สุดท้ายแล้วก็ต้องอดกลั้นความโกรธ “ข้ารู้แล้ว”
พระชายาองค์รัชทายาทพยักหน้า ลอบถอนหายใจน้อยๆ ยิ้มและพูดว่า “เวลาไม่เช้าแล้ว ข้าต้องไปปรนนิบัติเสด็จแม่ ท่านแม่ก็กลับไปก่อนเถิด”
ความหมายของคำพูดนี้คือไม่ให้เหิงกั๋วกงฮูหยินไปพบฮองเฮา
เหิงกั๋วกงฮูหยินตะลึงไป “ท่านพ่อของเจ้าให้ข้ามาถามความเห็นของฮองเฮาเหนียงเหนียง…”
“เรื่องนี้ไม่อาจป่าวประกาศออกไป แยกพี่สามออกไปอย่างเงียบๆ เถิด” พระชายาองค์รัชทายาทครุ่นคิดก่อนพูดออกมาอย่างเด็ดเดี่ยว “ไม่จำเป็นต้องไปบอกฮองเฮาเหนียงเหนียงแล้ว” เพราะว่าพระชายาองค์รัชทายาทรู้ดีถึงความโหดเ**้ยมและเด็ดขาดของฮองเฮา หากฮองเฮารู้เรื่องนี้ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องแยกจวนเหิงกั๋วกง แม้แต่นางที่ได้พบเหิงกั๋วกงฮูหยินก็ต้องถูกแยกห่างด้วยเช่นกัน
เมื่อคิดถึงเรื่องเหล่านั้นที่หยวนฉงหวาเหลียงตี้เหน็ดเหนื่อยในช่วงนี้ พระชายาองค์รัชทายาทก็จิกฝ่ามือจนรู้สึกเจ็บแสบแปลบๆ นางไม่มีทางให้โอกาสใครมากดหัวนางเป็นแน่!
หยวนฉงหวาที่จริงแล้วก็ไม่ได้ทำอะไร นางเพียงแค่รวบรวมนางกำนัลที่หน้าตาสวยงามเท่านั้น แต่นางกำนัลที่หน้าตาสะสวยเหล่านี้ล้วนเป็นคนที่มีความสัมพันธ์กับองค์รัชทายาททั้งนั้น ดังนั้นองค์รัชทายาทในช่วงนี้ถึงได้ไปมาหาสู่กับหยวนฉงหวาค่อนข้างบ่อย ไม่เพียงแค่บ่อย และยิ่งมีท่าทีโปรดปรานเอ็นดูต่อหยวนฉงหวาด้วย
พระชายาองค์รัชทายาทเองก็หานางกำนัลที่หน้าตาสวยงามมาเบี่ยงเบนความโปรดปรานด้วยเช่นกัน แต่ไม่รู้ว่าทำไม องค์รัชทายาทกลับไม่ชอบ ทำให้นางโมโหจนเขวี้ยงแก้วแตกไปหลายใบ แล้วอารมณ์ถึงได้กลับมาสงบนิ่งอีกครั้งหนึ่ง
ด้วยเหตุนี้ พระชายาองค์รัชทายาทถึงไม่กล้าปล่อยวางแม้แต่วินาทีเดียว หากเปิดโอกาสให้หยวนฉงหวา ไม่ใช่ว่าหยวนฉงหวาจะมากดอยู่บนหัวนางหรืออย่างไรกัน? หากนางโดนแยกห่างจริงๆ นั่นก็เป็นการเปิดโอกาสให้หยวนฉงหวามิใช่หรืออย่างไร?
ดังนั้นพระชายาองค์รัชทายาทถึงได้คิดว่า หากไม่ทำเช่นนี้ นางเองก็ยินยอมสวมบทบาทเห็นแก่ส่วนรวมเหมือนถาวซื่อ
แต่เมื่อคิดขึ้นมาเหิงกั๋วกงฮูหยินเคยสัมผัสพี่สามมาก่อน พระชายาองค์รัชทายาทก็เริ่มหวาดกลัว รีบเรียกนางกำนัล “เอายานั่นมาให้ข้ากินเม็ดหนึ่ง”
เมื่อกินยาเข้าไปแล้ว พระชายาองค์รัชทายาทก็คิดขึ้นได้ว่า “ข้าจะไปทำความเคารพฮองเฮาเหนียงเหนียง”
ตอนที่เผาศพหลิวซื่อนั้น ถาวจวินหลันไม่กล้าดู อย่างแรกเพราะนางหวาดกลัว อย่างที่สองก็เพราะร่างกายไม่เอื้ออำนวย อย่างไรตอนนี้นางก็ติดเชื้อโรคระบาด ไม่เหมาะสมที่จะออกไปในสถานการณ์ที่มีคนเยอะ
ด้วยไม่อาจย้ายหลิวซื่อไปไกลได้ ดังนั้นจึงจัดการเผาที่เรือนของหลิวซื่อโดยตรง แต่เมื่อทำเช่นนี้ ถาวจวินหลันก็ลอบคิดว่า ต่อให้ในอนาคตหลี่เย่ตบแต่งชายาเอกคนใหม่ เกรงว่าคงไม่ยอมอยู่ที่เรือนหลักอีกต่อไป อย่างไรก็ดูโชคร้ายไม่ใช่หรือ?
หลังจากจากจบงานเผาศพแล้ว ก็ให้คนเอาเถ้ากระดูกที่เหลือไปใส่ไว้ในโลงไม้ประดู่เหลืองใบเล็ก แล้วผ่านไปอีกหน่อยค่อยนำโลงใบเล็กนี้ไปใส่ไว้ในโลงปกติก็ถือเป็นอันเรียบร้อย
สำหรับเครื่องประดับ อัญมณีมีค่าที่ร่วมฝังทั้งหลายนั้น ก็แทบจะกินพื้นที่หมดทั้งโลงศพ ยิ่งทำให้โลงศพใบเล็กนั้นดูน่าสงสารมากขึ้นไปอีก
คิดถึงคำขอร้องของหลิวซื่อก่อนตาย ถาวจวินหลันก็ถอนหายใจเฮือกหนึ่ง ไม่ถือว่าเหงาแล้ว บางทีหลิวซื่ออาจจะดีใจที่ได้ไปอยู่เป็นเพื่อนลูกชาย นี่อาจมีความสุขมากกว่าตอนมีชีวิตด้วยซ้ำไป
แต่ของที่ฝังร่วมจะเยอะมากเพียงใด สุดท้ายแล้วก็ยังดูเย็นเยียบเล็กน้อย เซิ่นเอ๋อร์แม้ว่าจะไม่ได้ออกจากเมืองหลวง แต่ก็ไม่สามารถมาคำนับแม่ใหญ่ได้ อนุภรรยาอีกสองคน…ถาวจวินหลันก็ไม่ได้เรียกเช่นเดียวกัน เพราะไม่ว่าอย่างไรโรคระบาดก็ยังติดต่อแพร่กระจายได้
ดังนั้นสุดท้ายแล้วคนที่ร้องไห้หน้าศพก็มีเพียงแค่บรรดาบ่าวรับใช้จำนวนหนึ่งที่ปรนนิบัติดูแลหลิวซื่อยามปกติ นี่ยังไม่นับพวกที่มีอาการโรคระบาดเหล่านั้น
ก่อนที่หลิวซื่อจะเสียชีวิต บ่าวรับใช้ที่ดูแลข้างกายนางมีสองคน คนหนึ่งชื่อว่าชุนฮุ่ยส่วนอีกคนหนึ่งชื่อว่าชิงอวิ๋น ถาวจวินหลันรู้จักชุนฮุ่ย หลี่เย่เคยเอ่ยชื่อของบ่าวคนนี้มาก่อน คิดว่าคงเป็นคนที่หลี่เย่จัดการสอดแทรกเข้าไป ในตอนนี้เมื่อหลิวซื่อตายไปแล้ว ชุนฮุ่ยย่อมต้องถูกจัดสรรให้เป็นอย่างดี สำหรับชิงอวิ๋นนั้น ได้ติดเชื้อโรคระบาดไปแล้ว อาการก็ไม่ค่อยสู้ดีนัก
ถาวจวินหลันครุ่นคิด แล้วจึงพูดว่า “รอจนผ่านพิธีเฝ้าวิญญาณไปแล้ว ก็ค่อยไปลอบถามความคิดของชุนฮุ่ย นางอยากจะทำงานอยู่ภายในจวนต่อไป หรือว่าอยากออกจากจวนไป ล้วนแล้วแต่นาง”
ปี้เจียวรับคำ นิ่งไปครู่หนึ่งแล้วจึงพูดว่า “ไม่สู้ไปเรียกชุนฮุ่ยให้มารับผิดชอบไปก่อนช่วงหนึ่งเล่าเจ้าคะ ข้างกายชายารองมีบ่าวคอยปรนนิบัติอยู่คนเดียว ไม่ว่าอย่างไรก็น้อยเกินไป” อย่างไรชุนฮุ่ยก็เคยปรนนิบัติข้างกายหลิวซื่อมาก่อน ไม่กลัวที่จะต้องมารับใช้ถาวจวินหลันอีก