บัลลังก์พญาหงส์ - บทที่ 461 ความหวัง
ถาวจวินหลันย่อมรู้ว่าปี้เจียวหวังดีต่อตนเอง แต่ “เจ้าหาเวลาไปถามความคิดของชุนฮุ่ยเถิด หากนางยินยอมก็แล้วแต่นาง แต่หากนางไม่ยินยอมเจ้าเองก็ไม่ต้องไปฝืนใจนาง เจ้าทนลำบากอีกสักหน่อยก็เท่านั้นเอง” ชุนฮุ่นยังไม่ได้ติดเชื้อโรคระบาด หากส่งมาปรนนิบัตินาง ก็จะหมายความว่าตกอยู่ในสภาวะสุ่มเสี่ยงอยู่ดี ไม่รู้ว่าฝ่ายตรงข้ามจะยินยอมหรือไม่?
ปี้เจียวรีบส่ายหัวอธิบาย “ไม่ใช่ว่าบ่าวกลัวลำบาก แต่บ่าวกลัวว่าบ่าวคนเดียวจะดูแลชายารองได้ไม่ดีเจ้าค่ะ” นางเพียงคนเดียว ต้องแบ่งเวลาไปจัดการหลายเรื่อง คงไม่อาจปล่อยให้ข้างกายถาวจวินหลันไม่มีคนปรนนิบัติหรอกใช่หรือไม่?
แต่เมื่อถาวจวินหลันสั่งเช่นนี้ ปี้เจียวก็ทำได้แค่ตอบรับเท่านั้น “พรุ่งนี้บ่าวจะไปถามชุนฮุ่ยดูเจ้าค่ะ”
งานศพของหลิวซื่อใช้ระยะเวลากว่าเจ็ดวัน ถึงได้ถือว่าเสร็จเรียบร้อย อย่างไรวันนี้แต่เดิมควรส่งออกจากจวนไปฝัง แต่สถานการณ์ในตอนนี้ไฉนเลยจะยังส่งออกไปได้? ดังนั้นจึงทำได้แค่หยุดวิญญาณเอาไว้ในเรือนที่หลิวซื่อพำนักอยู่เท่านั้นเอง
แต่ชุนฮุ่ยกลับเปลี่ยนไปปรนนิบัติข้างกายถาวจวินหลันตั้งแต่พิธีจบลง แม้จะบอกว่ามีคนคอยนินทาว่ากล่าวอยู่ลับหลัง แต่คนส่วนใหญ่ก็รู้ดีแก่ใจว่า บ่าวรับใช้ข้างกายของถาวจวินหลันไม่พอใช้แล้ว
สำหรับคำนินทาเหล่านั้น ก็เพียงเพราะรู้สึกว่าถาวจวินหลันตั้งใจแสดงสถานะของตนเองเท่านั้น หรือรู้สึกว่าชุนฮุ่ยเป็นคนที่ถาวจวินหลันจัดการให้เข้าไปสอดแนมอยู่ข้างกายหลิวซื่อมาตั้งแต่แรก
แต่ถาวจวินหลันกลับไม่สนใจเรื่องเหล่านี้ ยังไม่รู้ว่าจะมีชีวิตได้อีกถึงเมื่อไร ไฉนเลยยังจะต้องมาสนใจเรื่องเหล่านี้?
สำหรับชุนฮุ่ยเห็นได้ชัดว่าไม่สนใจเรื่องเหล่านี้อยู่แล้ว ชุนฮุ่ยรู้สึกว่า หากอยู่ข้างกายถาวจวินหลันได้ตั้งแต่ตอนนี้ นั่นก็ถือว่าเป็นโชคดีของนาง แม้ว่านางจะต้องเสี่ยงอันตรายเพราะเรื่องนี้ แต่ใต้หล้านี้หากอยากได้ผลประโยชน์ มีอะไรบ้างที่ไม่ต้องเสี่ยงอันตราย? และอีกอย่างชายารองถาวก็ยังเป็นยอดดวงใจของท่านอ๋อง อยู่ข้างกายชายารองถาวถึงจะต้องเสี่ยงอันตรายก็ถือว่าคุ้มค่า
ชุนฮุ่ยอย่างไรแล้วก็เคยเป็นบ่าวรับใช้ใหญ่ข้างกายหลิวซื่อมาก่อน ย่อมต้องรู้ว่าดูแลเจ้านายอย่างไร แม้จะบอกว่าไม่รู้กฎเกณฑ์ของเรือนเฉินเซียง แต่หลังจากปี้เจียวและหงหลัวกำชับมาก็ถือว่าพอตัวแล้ว
ร่างกายถาวจวินหลันเริ่มอ่อนแอลงเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นจิตวิญญาณหรือว่าความแข็งแรงก็ตาม แต่นางรู้สึกว่าตัวนางยังดีกว่าเจียงอวี้เหลียน ตอนที่หลิวซื่อตาย เจียงอวี้เหลียนยังไม่ได้เป็นอะไรมากนัก แต่วันนี้กลับมีไข้สูง นอนซมอยู่บนเตียงต้องคอยให้คนปรนนิบัติทุกอย่าง
หมอหลวงสวีเองก็เริ่มมีอาการโรคระบาดแล้วเช่นกัน
ถาวจวินหลันก็ยังให้คนปิดข่าวนี้เอาไว้ ภายในจวนตอนนี้มีหมอหลวงเพียงคนเดียวเท่านั้น ทุกคนต่างฝากความหวังเอาไว้ที่หมอหลวงสวี
แต่หมอหลวงสวีก็ยังคงไม่ยอมแพ้ แม้ว่าตนเองจะติดเชื้อโรคระบาดแล้ว แต่เขาก็ยังคงมาตรวจทุกวัน รวมถึงทดลองเทียบยาต่างๆ ไม่หยุดหย่อน
ถาวจวินหลันเห็นท่าทีกระตือรือร้นของหมอหลวงสวี ก็รู้สึกซาบซึ้งเป็นอย่างมาก มีบางครั้งที่รู้สึกโศกเศร้า หมอหลวงสวีทำเช่นนี้ก็ยังคิดค้นวิธีรักษาไม่ได้ บางทีตัวนางเองอาจจะรอไม่ไหวแล้ว
แต่สุดท้ายนางก็ไม่ยินยอมให้ตนเองตายไปเช่นนี้ ดังนั้นทุกครั้งที่ตรวจจับชีพจร ถาวจวินหลันก็จะเตือนหมอหลวงสวีเสียงเบา “ในเมื่อด้านนอกคิดค้นยาที่สามารถทำให้คนไม่ติดเชื้อโรคระบาดง่ายขนาดนั้นแล้ว เช่นนั้นก็หมายความว่าวัตถุดิบบางตัวในยาตัวนั้นคงใช้ยับยั้งโรคระบาดได้มิใช่หรือ? หรือว่าจะลองลงมือจากตรงนี้ดู?”
คำตอบหมอหลวงสวีนั้นกลับเป็นเสียงหัวเราะขมขื่น “ไม่ปิดบังชายารองถาว ข้าเคยคิดค้นมาก่อนแล้ว แต่ก็ไม่ได้มีพัฒนาการอะไร”
ทันใดนั้นถาวจวินหลันก็อดถอนหายใจไม่ได้ นางหมดหวังแล้วจริงๆ
“แต่สถานการณ์ของชายารองถาวยังถือว่าค่อนข้างดี บางทีอดทนผ่านไปได้ด้วยตนเองก็มิอาจทราบได้” ฉับพลันหมอหลวงสวีก็พูดว่า “หากเทียบกับคนที่เป็นระยะเดียวกัน อาการของชายารองถาวถือว่าดีที่สุด”
ถาวจวินหลันรู้ว่าหมอหลวงสวีต้องการปลอบตนเอง ย่อมไม่ดีหากจะโศกเศร้าต่อไป นางจึงฝืนยิ้มน้อยๆ “คิดไม่ถึงว่าข้าจะโชคดีถึงเพียงนี้”
เพราะว่าหมอหลวงสวีก็ไม่ได้มีเทียบยาอื่น ดังนั้นปี้เจียวยังคงยกกล่องยานั้นมา “ชายารองถึงเวลาทานยาแล้วเจ้าค่ะ”
ถาวจวินหลันกลับไม่มีอารมณ์ สะบัดมือ”วางไว้ก่อนเถิด อีกครู่ค่อยกิน”
กลับเป็นหมอหลวงสวีที่สายตาดี เลิกคิ้วถามว่า “ไม่ทราบว่านี่คือยาปี้เซียวตันหรือไม่?”
ถาวจวินหลันพยักหน้า “ใช่ เป็นยาปี้เซียวตัน”
ใบหน้าของหมอหลวงสวีฉายแววลุแก่โทษ พูดขอร้องอย่างกล้าๆ กลัวๆ “ไม่ทราบว่าชายารองถาวสามารถให้คนดูยาปี้เซียวตานนี้อย่างละเอียดได้หรือไม่? ตัวข้าแม้จะเป็นคนของกรมหมอหลวง แต่ก็ยังไม่เคยเห็นมาก่อนว่าแท้ที่จริงแล้วยาปี้เซียวตานมีหน้าตาเป็นอย่างไร”
แม้นถาวจวินหลันตกใจกับคำขอของหมอหลวงสวี แต่นางก็ไม่ได้เป็นคนขี้งกอะไร ยิ้มพลางดันกล่องยาออกไป “หากหมอหลวงสวีอยากเอาไปศึกษา หยิบไปสักสองเม็ดก็ย่อมได้ ที่นี่ยังมีอีกมาก ไม่รู้ว่าจะทานหมดหรือไม่”
หมอหลวงสวีลังเลอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ต้านแรงยั่วยวนไม่ไหว เอื้อมมือไปหยิบยามาเม็ดหนึ่ง “เม็ดเดียวก็พอแล้วขอรับ ข้าเองก็ได้ยินมาว่ายานี้มีคุณสมบัติเลิศล้ำ ดังนั้นจึงอยากดูให้ละเอียดมาโดยตลอด”
นี่ถือเป็นเรื่องทั่วไปของคนเป็นหมอ ถาวจวินหลันย่อมต้องเข้าใจ เม้มปากหัวเราะพลางพยักหน้า “มิเป็นไร ไม่พอท่านก็ค่อยมาเอาจากข้าได้อีก”
หมอหลวงสวีก็ไม่ใช่คนละโมบ จึงไม่ได้เอาไปเยอะ พลางรีบขอตัวลา ในความเป็นจริงแล้วถ้าไม่ใช่เพราะเขาเองก็ติดเชื้อโรคระบาดนี้ เขาคงไม่จำเป็นต้องเอ่ยปากขอเช่นนี้ ก่อนหน้านี้มักคิดว่าตนเองยังพอมีโอกาส ดังนั้นต่อให้มีความปรารถนามาตลอด แต่เขาก็ไม่เคยเปิดปากหรือว่าทำอะไรที่ไม่สมควรออกไป
พอหมอหลวงสวีกลับไปแล้ว ถาวจวินหลันก็อดหัวเราะพลางพูดทอดถอนใจกับชุนฮุ่ย “หมอหลวงสวีเองก็ถือเป็นคนอายุน้อยมีความสามารถ หากยังพอมีเวลา ก็ไม่รู้ว่าเขาจะกลายเป็นเช่นไร”
ชุนฮุ่ยกลับพูดตรงๆ “หากเขาคิดค้นวิธีรักษาโรคระบาดได้ก็คงจะดี”
คำพูดนี้กลับทำให้ก้นบึ้งหัวใจของถาวจวินหลันมืดมิด จนไม่พูดอะไรออกมาอีก เห็นดังนั้นปี้เจียวก็ร้อนรนรีบถลึงตามองชุนฮุ่ย ความหมายตรงตัวเป็นอย่างมาก
ชุนฮุ่ยก็รู้ว่าตนเองพูดผิดไป จึงรีบก้มหัวลงทันที ตักเตือนตนเองอยู่ในใจว่าต่อไปไม่อาจทำตามใจเช่นนี้ได้อีกแล้ว ตอนที่อยู่ข้างกายหลิวซื่อ นางต้องระมัดระวังรอบคอบเพราะอารมณ์ร้ายของหลิวซื่อ จึงไม่กล้าพูดอะไรมาก ไม่กล้าเดินผิดแม้แต่น้อย ตอนนี้ถาวจวินหลันเป็นคนอารมณ์ดี และยังมีเมตตาต่อบรรดาบ่าวรับใช้อย่างพวกนาง นางถึงหลงระเริงจนลืมตัว
อาการของถาวจวินหลันดีเหมือนกับที่หมอหลวงสวีพูดเอาไว้ แต่อย่างไรก็ยังรุนแรงขึ้นทุกวัน วันนี้หมอหลวงสวีมาถึง ท่าทีขมวดคิ้วจับชีพจของเขาทำให้ถาวจวินหลันใจไม่ดีไปหลายส่วน
ต่อให้หมอหลวงสวีไม่พูดจา นางก็รู้ดีแก่ใจ เวลาของนางเหลือไม่มากแล้ว แต่ว่านางไม่พอใจ ถ้าเป็นคนอื่น ใครจะไปพอใจได้เล่า? ไม่ว่าจะเป็นหลี่เย่ หรือว่าลูกหญิงชายทั้งสองคน ล้วนทำให้นางไม่สามารถวางใจได้
“ท่านไม่ต้องปิดบังข้าอีก” ถาวจวินหลันเห็นหมอหลวงสวีไม่ยอมพูด ก็คิดว่าเขากลัวว่าพูดออกมาแล้วจะเพิ่มความกดดันให้กับนาง จึงได้หัวเราะขมขื่นพูดว่า “ท่านพูดมาเถิด เป็นเช่นนี้ต่อไป ข้ายังมีเวลาให้ใช้ชีวิตได้กี่วัน?”
แม้ว่าจะไม่ยินยอม แต่นางก็จนปัญญา เรื่องนี้ไม่สามารถเทียบกับอย่างอื่นได้ นางเรียกกลับคืนมาไม่ได้ และไม่มีทางรักษา
หมอหลวงสวีตกใจได้สติกลับคืนมาเพราะคำพูดของถาวจวินหลัน เขาจึงรีบส่ายหน้าอย่างแรง “ตอนนี้ดูแล้วยังไม่มีอันตรายถึงชีวิตขอรับ กลับเป็นชายารองเจียงที่ไม่อาจทนได้นานแล้ว ที่ข้าเหม่อก็เพราะข้ารู้สึกแปลก พูดตามหลักแล้วเมื่อชายารองเกิดอาการก็ควรต้องแย่ลงอย่างคนอื่นๆ แต่คิดไม่ถึงว่าอาการของท่านยังดีกว่าข้าหลายส่วนนัก ข้ากำลังคิดถึงสาเหตุอยู่”
ถาวจวินหลันตะลึงไป ถลึงตาโตอย่างตกใจ จากนั้นก็ตื่นเต้นอย่างไม่อาจควบคุมได้ “ท่านหมายความว่า…” หาต้นเหตุนี้ได้ หมอหลวงสวีก็อาจจะคิดหาวิธีรักษาได้ใช่หรือไม่?
ต่อให้หมอหลวงสวีคิดหาวิธีรักษาไม่ได้ ถ้าเช่นนั้นก็ยังมีหมอคนอื่นอีก ขอเพียงแค่ข่าวนี้กระจายออกไป ก็จะต้องส่งผลประโยชน์ต่อการคิดค้นยารักษาอย่างแน่นอน
ข่าวเช่นนี้ถือว่าเป็นข่าวดีที่สุดเท่าที่ถาวจวินหลันได้ฟังมาในหลายวันนี้ เทียบได้กับคนเดินถนนคนหนึ่งที่สิ้นหวังแล้วแต่กลับเห็นแสงสว่างสาดส่องที่ปลายขอบฟ้า
ความตื่นเต้นนี้ แทบจะบรรยายเป็นคำพูดไม่ได้
ถาวจวินหลันคิด หากครั้งนี้นางทนได้ ต่อให้ชีวิตที่เหลือของนางต้องกินมังสวิรัตินางก็ยินยอม ต่อให้นางต้องสวดภาวนานางเองก็ยินยอมเช่นเดียวกัน
หมอหลวงสวีเข้าใจความหมายของถาวจวินหลัน จึงพยักหน้า “เป็นเช่นนั้นจริง แม้ว่าจะรักษาไม่หายแต่ก็มีผลในการยับยั้ง แล้วผสมวัตถุดิบยาตัวอื่นเข้าไป อย่างน้อยก็ไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต”
ถาวจวินหลันพยักหน้า “ถ้าเช่นนั้นก็ลำบากหมอหลวงสวีคิดค้นให้ดีแล้ว”
หมอหลวงสวีก็ตื่นเต้นมากเช่นกัน จึงอยู่ถามถาวจวินหลันไม่หยุด “ไม่ทราบว่าปกติแล้วชายารองถาวทานอะไรบ้าง? ไม่ว่าจะเป็นยาหรือว่าอาหารบำรุงอย่างอื่น ทางที่ดีช่วยจดออกมาอย่างละเอียด ข้าจะได้มีความคืบหน้าในการคิดค้น”
แต่เรื่องนี้ถาวจวินหลันเองก็ไม่ได้รู้อย่างชัดเจน เมื่อหมอหลวงสวีถามเช่นนี้ก็นิ่งอึ้งไป พลางหันไปมองปี้เจียวตามสัญชาตญาณ เรื่องนี้เกรงว่าจะมีปี้เจียวที่รู้ดีที่สุด
ปี้เจียวเข้าใจความหมายของถาวจวินหลัน จึงเชิญหมอหลวงสวีออกไปพูดอย่างตื่นเต้นดีใจ ถาวจวินหลันไม่ควรอยู่กับหมอหลวงสวีนานเกินไป อย่างไรก็ต้องหลบหลีกข้อครหาถึงจะดี
แต่ถาวจวินหลันก็ยังกำชับอีกว่า “ข่าวนี้ขอให้หมอหลวงสวีจดเอาไว้ให้ละเอียด ข้าจะให้คนเอาไปส่งนอกจวน ให้กรมหมอหลวงได้คิดค้นด้วย อย่างไรความคิดเห็นของคนเดียวย่อมมีขาดตกบกพร่อง ข้อคิดเห็นของหลายคนมักใช้ได้”
หมอหลวงสวีก็เข้าใจเหตุผลนี้จึงรีบตอบรับ แม้เขาจะรู้ว่าหากเขาคิดค้นได้ด้วยตัวคนเดียว ก็คงจะมีอนาคตก้าวไกลนับตั้งแต่ตอนนี้ แต่ตัวเขาตอนนี้เองยากจะรับประกัน ไฉนเลยยังจะละโมบเรื่องความสำเร็จ? ขอเพียงแค่รักษาชีวิตเอาไว้ได้ นั่นก็ถือว่าไม่เลวแล้ว
แต่ไม่ว่าจะเป็นถาวจวินหลันหรือว่าหมอหลวงสวีก็ดี ตอนนี้ก็ไม่มีใครคิดถึงเรื่องนี้มาก่อน หากสิ่งที่หมอหลวงสวีจดบันทึกถูกส่งออกไป เรื่องที่ถาวจวินหลันติดเชื้อโรคระบาดก็จะปิดไม่ได้อีกต่อไป อย่างไรเสีย ต่อให้คนอื่นไม่พูดแต่ยาปี้เซียวตานมีใครทานอยู่บ้าง ไม่ว่าจะเป็นกรมหมอหลวงก็ดี หลี่เย่ก็ดี ล้วนรู้ดีที่สุด
แต่เมื่อพูดกลับมา ต่อให้คิดได้แล้ว ในตอนนี้ก็คงไม่มีใครมาสนใจเรื่องนี้แล้ว ต่อให้เป็นถาวจวินหลันก็ไม่จำเป็นที่จะต้องคำนึงถึง