บัลลังก์พญาหงส์ - บทที่ 463 เขียนจดหมาย
พระชายาองค์รัชทายาทมองฮองเฮาแล้วหัวเราะ “เสด็จแม่ดีใจหรือไม่เพคะ? ตอนนี้ถาวซื่อติดเชื้อโรคระบาดแล้ว มีเวลาอยู่อีกไม่กี่วันแล้ว แม้จะบอกว่าไม่สามารถจัดการถาวซื่อออกไปอย่างเงียบเชียบได้ แต่นี่ก็ถือว่าไม่ต่างกันมากเท่าไรนะเพคะ”
อีกทั้งที่สำคัญที่สุดก็คือไม่มีคนสงสัยพวกนางอย่างแน่นอน เพียงแค่คิดว่ามีเหตุมาจากเชื้อโรคระบาด จำต้องพูดเลยว่าโรคระบาดรอบนี้มาได้ทันเวลา มิเช่นนั้นแล้ว จะมีโอกาสดีแบบนี้ได้อย่างไรกัน?
แต่พระชายาองค์รัชทายาทกลับลืมไปแล้วว่าพี่สามของตนเองก็ติดเชื้อโรคระบาด กำลังทนทุกข์ทรมานอยู่เช่นเดียวกัน
ฮองเฮาหัวเราะ มองดูดอกไม้ที่ตนเองตัดแต่งพอสมควรแล้วอย่างละเอียดถี่ถ้วน ก่อนวางกรรไกรลงพลางพูดว่า “ครั้งนี้ไม่เพียงแค่กำจัดถาวซื่อเท่านั้น ยังทำให้ตวนอ๋องพลอยรับเคราะห์ไปด้วย ถือว่ายิงธนูดอกเดียวได้นกสองตัว แผนการของเจ้าไม่เลวเลยทีเดียว”
พระชายาองค์รัชทายาทได้ยินเช่นนี้ ก็อดหัวเราะชอบใจไม่ได้ แม้ฮองเฮาจะปฏิบัติต่อนางอย่างอบอุ่นมาโดยตลอด แต่ก็พูดชื่นชมเช่นนี้น้อยครั้ง ดังนั้นคราวนี้นางทำให้ฮองเฮาเอ่ยชื่นชมได้ นอกจากดีใจแล้ว ก็ยังเขินอายด้วย “เพราะสบโอกาสด้วยเพคะ”
“ครั้งนี้ถือว่าเจ้ามีผลงานแล้ว” ฮองเฮายิ้ม ฉับพลันก็เปลี่ยนบทสนทนา เอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ “ท่าทางเจ้ากล้าปิดบังข้าเรื่องพี่สามของเจ้าติดเชื้อโรคระบาด ก็เพราะคิดว่ามีผลงานจากเรื่องนี้แล้วซิท่า”
รอยยิ้มของพระชายาองค์รัชทายาทนิ่งค้างไปทันที แล้วก็รู้สึกเย็นเยียบไปทั้งร่าง นางคิดไม่ถึงว่าเวลานี้ฮองเฮาจะพูดเรื่องนี้กะทันหัน ที่สำคัญที่สุดก็คือ ฮองเฮารู้เรื่องนี้ได้อย่างไร?
ในเมื่อฮองเฮารู้เรื่องนี้แล้ว แต่ตอนแรกกลับยิ้มไม่เปิดเผยอะไร ก็ทำให้พระชายาองค์รัชทายาทรู้สึกสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัว
พระชายาองค์รัชทายาทไม่แปลกใจเลย ขิงยิ่งแก่ก็ยิ่งเผ็ด เป็นเช่นนั้นจริง เกรงว่าฮองเฮาคงจะรู้แผนการของนางอย่างละเอียดหมดแล้ว? ทว่านางกลับยังหลงระเริงดีใจ คิดว่าตัวเองฉลาดอีก
พระชายาองค์รัชทายาทไม่สนใจฐานะและหน้าตาของตนเองอีกต่อไป รีบนั่งคุกเข่าลงไปทันที ทั้งยังอธิบายอย่างตะกุกตะกัก
ฮองเฮามองพระชายาองค์รัชทายาทที่สีหน้าซีดขาวเล็กน้อย สีหน้าก็ผ่อนคลายลงเล็กน้อย แต่ก็ยังคงไม่เปิดปากพูดอยู่ดี
“เสด็จแม่!” พระชายาองค์รัชทายาทส่งเสียงเรียกวิงวอน ในใจนั้นก็คิดหาข้ออ้างดีๆ มาช่วยตนเอง “ที่หม่อมฉันทำเช่นนี้ก็ด้วยหวังดีต่อองค์รัชทายาทนะเพคะ!”
ฮองเฮาเลิกคิ้วเล็กน้อย มีท่าทีไม่เชื่อเท่าไรนัก
พระชายาองค์รัชทายาทยังคงอธิบายต่อไป “หากตอนนี้จวนเหิงกั๋วกงโดนปิดกั้น ข้างกายขององค์รัชทายาทยังจะมีคนช่วยหรือเพคะ? ตอนนี้ราชสำนักมีสถานการณ์เช่นนี้ เป็นเวลาที่องค์รัชทายาทจะต้องคิดหาวิธีดึงใจประชาชนสร้างฐานอำนาจ ถ้าไม่ได้ความช่วยเหลือจากจวนเหิงกั๋วกง เกรงว่าอาศัยเพียงความพยายามขององค์รัชทายาทลำพังคงจะไม่สามารถบรรลุเป้าหมายได้นะเพคะ”
หยุดไปครู่หนึ่ง พระชายาองค์รัชทายาทก็ลอบมองสีหน้าของฮองเฮา และพูดอีกว่า “หม่อมฉันเองก็เห็นแก่ตัวอยู่เล็กน้อยเพคะ อย่างไรจวนเหิงกั๋วกงก็เป็นบ้านของหม่อมฉัน หม่อมฉันจะทนมองจวนเหิงกั๋วกงสูญเสียโอกาสนี้ และไร้อำนาจไปได้อย่างไรเพคะ ”
สุดท้ายฮองเฮาก็ยอมเปิดปากพูด “แล้วจวนเหิงกั๋วกงไม่ใช่บ้านของข้าหรืออย่างไร? ข้าจะยินยอมมองมันล่มสลายไปได้อย่างไร? เจ้าปิดบังข้าเพื่ออะไร? ข้าเองก็ไม่ได้โทษเจ้า แต่เจ้าก็ต้องพิจารณาความสำคัญของเรื่องนี้ให้ละเอียดถี่ถ้วน โรคระบาดเป็นเรื่องเล็กหรืออย่างไร? เจ้าก็น่าจะรู้ดีแก่ใจ หากทำอะไรผิดไปแม้แต่นิดเดียว ก็อาจจะมีจุดจบที่เลวร้าย!”
เสียงของฮองเฮาเริ่มโหดเ**้ยมมากขึ้น “ถาวซื่ออาจจะรู้ว่าอะไรเรียกว่าความถูกต้องและชอบธรรม ทำไมเจ้าถึงยังเทียบไม่ได้แม้แต่ถาวซื่อเล่า? เรื่องที่ถาวซื่อเสนอให้ปิดจวนก็ได้รับคำชมตั้งมากมาย เจ้าไม่เห็นหรืออย่างไรกัน? ทำไมเจ้าไม่คิดบ้างว่าไม่มีความลับใดปิดบังได้ถาวร! ตอนนี้อาจจะปิดบังเอาไว้ได้ แต่หลังจากถูกคนขุดคุ้ย จะต้องเสียหน้ามากเพียงใด?”
พระชายาองค์รัชทายาทถูกฮองเฮาสั่งสอนจนไม่อาจเหงยหน้าขึ้นมาได้ นางกำหมัดแน่น เล็บที่ได้รับการตะไบมาเป็นอย่างดีก็ทิ่มไปบนฝ่ามือ จนรู้สึกปวดแสบขึ้นมาเล็กน้อย
แต่พระชายาองค์รัชทายาทกลับไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดนั้นแล้ว นางรู้สึกแค่เพียงความอัปยศอดสู เพราะฮองเฮาตำหนินางว่าสู้ถาวจวินหลันไม่ได้
แต่พระชายาองค์รัชทายาทก็ไม่ได้โต้กลับไปแม้แต่น้อย เพียงแค่ก้มหน้ารับฟัง ทว่าพอฮองเฮาเห็นว่าพระชายาองค์รัชทายาทมีท่าทีเช่นนี้ ก็รู้สึกว่าควรพอแต่เพียงเท่านี้ ถึงได้ผ่อนคลายอีกครั้ง “ตอนนี้เจ้าอายุยังน้อย ต่อจากนี้ไปเจอเรื่องอะไรก็ต้องคิดให้เยอะ ตัดสินใจไม่ได้ก็มาถามข้า อย่าตัดสินใจทำอะไรบุ่มบ่ามเช่นนี้อีก”
“เพคะ เสด็จแม่” พระชายาองค์รัชทายาทตอบรับเสียงอ่อน ในน้ำเสียงแฝงไว้ด้วยความน่างสงสาร
พระชายาองค์รัชทายาทเริ่มสำนึกได้แล้วว่า ก่อนหน้านี้ที่คิดว่าความสัมพันธ์แม่สามีลูกสะใภ้ของตนและฮองเฮาดีมาก คงเป็นแค่ภาพภายนอกเท่านั้น ก่อนหน้านี้เป็นเพราะว่านางเข้าวังหลวงน้อยครั้ง ทุกครั้งที่มาก็มาเข้าเฝ้าฮองเฮาตลอด ดังนั้นถึงได้ดูเหมือนสนิทกันเท่านั้นเอง พอตอนนี้ได้พูดคุยเพิ่มมากขึ้น และอาศัยอยู่ในวังหลวงเหมือนกัน จึงได้ถูกเปิดเผยออกมาภายในช่วงเวลาสั้นๆ
นิสัยของฮองเฮาที่เอาเรื่องทุกอย่างมากุมไว้ในมือนั้น เกรงว่าคงไม่อาจสานสัมพันธ์อันดีกับลูกสะใภ้ได้ในทุกรูปแบบใช่หรือไม่? นอกจากคนคนนั้นจะไม่มีความสามารถอะไรเลยแม้แต่น้อย นิสัยอ่อนแอจนไม่มีความคิดเป็นของตัวเอง รู้จักแค่เพียงเชื่อฟังเท่านั้น
พอออกมาจากวังของฮองเฮา ใบหน้าของพระชายาองค์รัชทายาทก็เต็มไปด้วยความเหน็ดเหนื่อย ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจปิดบังได้ แล้วยังแฝงแววเยาะเย้ยเอาไว้ แต่ปฏิกิริยาเย้ยหยันนั้นถูกเก็บเอาไว้ในส่วนลึก ไม่มองให้ชัดเจนก็จะไม่สังเกตเห็น
ภายในวังหลวงจะมีใครกล้ามองใบหน้าของพระชายาองค์รัชทายาทเล่า?
ตอนนี้ฮองเฮาและพระชายาองค์รัชทายามยังไม่รู้ว่ามีคนส่งฎีการ้องเรียนจวนเหิงกั๋วกง หากรู้แล้ว ตอนนี้ฮองเฮาคงไม่มีใจมาสั่งสอนลูกสะใภ้เป็นแน่ และพระชายาองค์รัชทายาทคงจะไม่มีเวลามาหมกหมุ่นอยู่กับอารมณ์เล็กๆ น้อยๆ นี้เป็นแน่
ถาวจวินหลันฝืนกินข้าวต้มไปคำหนึ่ง แล้วก็รู้สึกกินต่อไม่ไหวแล้ว ตอนนี้ในปากของนางรับรสไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นรสชาติสดใหม่อย่างไรก็ไร้รสชาติไปหมด แล้วจะเอาอะไรกับข้าวต้มที่จืดชืดเล่า?
ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง นางก็วางข้าวต้มลง “วางไว้ก่อนเถิด อีกครู่หนึ่งข้าค่อยกิน” ไม่รู้ว่าเข้าใจผิดหรือไม่ นางรู้สึกว่าอาการวันนี้แย่ลงกว่าเมื่อวานไม่รู้ตั้งเท่าไร
เรื่องแรกเลยคือรู้สึกว่าทั้งร่างเริ่มๆร้เรี่ยวแรงมากกว่าเดิม ไข้ก็ยิ่งขึ้นสูงกว่าเดิม รู้สึกเฉื่อยแฉะ ไม่ว่าจะทำอะไรก็ไม่มีแรง
ปี้เจียวเห็นแล้วก็ร้อนรนอย่างมาก ยกชามข้าวต้มขึ้นมาพูดเกลี้ยกล่อมปากเปียกปากแฉะว่า “กินสักครึ่งถ้วยเถิดเจ้าค่ะ แม้ว่าจะไม่ชอบรสชาติ แต่ก็ต้องฝืนทานไว้รองท้องเสียหน่อยมิใช่หรือเจ้าคะ? เมื่อวานนี้ทานไปเพียงแค่ถ้วยเดียวเท่านั้น วันนี้ยังไม่ทานอีก แล้วจะทนไหวได้อย่างไรเจ้าคะ?”
ชุนฮุ่ยที่อยู่ข้างๆ ก็ร้อนรนเช่นเดียวกัน “ใช่แล้วเจ้าค่ะ ชายารองทานอีกหน่อยเถิด ต่อให้ไม่ชอบสิ่งนี้ แล้วมีอะไรอยากทานหรือไม่เจ้าคะ? ไม่ว่าอะไรห้องครัวก็ทำให้ได้ทั้งนั้น”
ถาวจวินหลันส่ายหน้า “ไม่ได้อยากกินอะไร วางไว้ก่อนเถิด ข้าปวดหัวมาก อยากจะงีบหน่อยแล้วค่อยกิน”
บ่าวรับใช้ทั้งสองคนเห็นเช่นนั้นก็ไม่อาจกล่อมต่อไปได้ ทำได้เพียงประคองถาวจวินหลันให้นอนลงและถอยออกจากห้องไป
ปี้เจียวมองดูถ้วยข้าวต้มที่ไม่ได้พร่องลงไปมากนัก ก็แทบจะน้ำตาไหลออกมา “นี่จะทำอย่างไรดี?”
ชุนฮุ่ยมองถ้วยนั้นวูบหนึ่ง ผ่านไปครู่หนึ่งก็ถอนหายใจอย่างขมขื่น “ตอนแรกพระชายาก็เป็นเช่นนี้ ได้ยินมาว่าชายารองเจียงก็เช่นกัน”
ยังไม่ทันพูดจบก็ถูกปี้เจียวตีเข้ากลางหลัง “พูดเลอะเทอะอะไรกัน? ชายารองจะต้องสวรรค์คุ้มครองเป็นแน่! เจ้าอย่าพูดเหลวไหล!”
ชุนฮุ่ยเองก็เพราะว่าร้อนรนถึงได้พูดเช่นนี้ พอได้สติกลับคืนมา นางถึงคิดว่าไม่ควรพูดอย่างนี้ตั้งแต่แรก นี่ไม่ใช่การราดน้ำมันลงบนกองเพลิงหรืออย่างไร?
ฉับพลันนั้นชุนฮุ่ยก็รีบสบถ พูดอย่างเด็ดเดี่ยวว่า “ชายารองจะต้องไม่เป็นอะไรแน่นอน”
ไม่ว่าบรรดาบ่าวรับใช้จะคาดหวังมากเพียงใด อาการของถาวจวินหลันก็ไม่มีวี่แววจะดีขึ้น ตอนกลางวันก็สะลึมสะลือนอนหลับทั้งวัน พอตกกลางคืนก็ตื่นขึ้นมากะทันหัน เขม็งมองแสงจันทร์ที่สาดแสงเข้ามาจากนอกหน้าต่างอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็ถอนหายใจ
นางรู้สึกว่าตัวนางคงรอไม่ถึงวันได้ยารักษาแล้ว จากอาการแบบนี้ของนางยังจะยืดเวลาได้อีกกี่วันกันเชียว? จากตอนที่หมอหลวงสวีเสนอแผนการนั้นก็ผ่านมากว่าสิบวันเต็มแล้ว
ระยะเวลาสิบวันนี้ ไม่มีข่าวดีส่งมาแม้แต่น้อย แม้แต่หมอหลวงสวีเองก็มีอาการไม่ค่อยต่างจากนางในตอนนี้นัก แม้แต่เรือนในก็ไม่ได้มาอีกแล้ว และเจียงอวี้เหลียนเองก็ประคองชีวิตให้รอดไปวันๆ เท่านั้น
ถาวจวินหลันหัวเราะขมขื่น ไม่ใช่ว่านางไม่อยากอดทนอีกต่อไป แต่เกรงว่าสวรรค์จะไม่ให้โอกาสนั้นกับนาง สถานการณ์เช่นนี้ไม่ใช่ปัญหาว่านางทนไหวหรือไม่
“ชายารองตื่นแล้วหรือเจ้าคะ?” ปี้เจียวเฝ้าอยู่ข้างเตียงมาโดยตลอด แม้ว่าเมื่อครู่จะเผลอนอนหลับไป แต่สุดท้ายก็ไม่กล้าหลับสนิท เมื่อได้ยินเสียงถาวจวินหลันขยับก็ตาสว่างทันที พอปี้เจียวเห็นว่าถาวจวินหลันลืมตาก็ส่งเสียงดังด้วยความตกใจระคนดีใจ
ถาวจวินหลันอดหัวเราะไม่ได้ เพราะท่าทีเช่นนี้ของปี้เจียวเหมือนกลัวว่านางจะไม่ตื่นขึ้นมาอีกอย่างนั้น
“ชายารองหิวข้าวหรือไม่เจ้าคะ หรือว่ากระหายน้ำหรือไม่?” ไม่รอให้ถาวจวินหลันสั่งอะไร ปี้เจียวก็ถามอีก
ถาวจวินหลันรู้สึกกระหาย คิดไปคิดมากลับไม่ขอน้ำมาดื่ม พูดขึ้นว่า “เอาข้าวต้มมาให้ข้ากินสักถ้วย” ด้วยนอนหลับมาทั้งวัน คราวนี้จึงรู้สึกว่าคอแห้งจนเสียงแหบ
อย่างไรก็ยังไม่อยากอาหาร ไม่สู้เอาข้าวต้มมากินแทนน้ำ ทั้งคอชุ่มชื้นแล้วยังถือว่ากินอะไรรองท้องด้วย
พอเห็นว่าถาวจวินหลันร้องขอกินเอง ปี้เจียวก็รีบไปยกข้าวต้มมาด้วยความดีใจและตกใจ ไม่เพียงแค่ข้าวต้มเท่านั้น ยังเอาอาหารเรียกน้ำย่อยมาให้อีกสองจาน จานหนึ่งเป็นหน่อไม้เปรี้ยว อีกจานหนึ่งเป็นแตงกวาสดแช่เย็น จานหนึ่งขาวใส อีกจานหนึ่งเขียวสด วางเอาไว้ด้วยกันแล้วก็ชวนให้คนคิดอยากลองชิม
ถาวจวินหลันรู้ว่านางเตรียมเอาไว้เพราะหวังให้ตนเองกินมากขึ้น ก็ยิ่งรู้สึกว่าถ้าตัวเองไม่กินเพิ่มอีกสักคำสองคำ คงไม่สามารถตอบแทนน้ำใจนี้ได้
ดังนั้นแม้ว่าจะไม่อยากอาหาร และไม่รู้รสชาติอาหาร แต่ถาวจวินหลันก็ยังคงกล้ำกลืนกินข้าวต้มเข้าไปจนหมดถ้วย ยังดีที่หน่อไม้เปรี้ยวจานนั้นใช้ได้ทีเดียว มิเช่นนั้นเกรงว่านางคงกินไม่ลง
เพียงแค่กินข้าวต้มเข้าไปถ้วยหนึ่ง ปี้เจียวก็ดีใจมากแล้ว “พรุ่งนี้เช้าให้ห้องครัวทำกับข้าวที่เปรี้ยวเย็นมาหน่อยแล้วกันนะเจ้าคะ”
ถาวจวินหลันหัวเราะ ไม่ได้พูดความจริงออกมา ในใจคิดว่าหลายวันมานี้ปี้เจียวเหน็ดเหนื่อยมาก ทำให้นางดีใจได้เล็กน้อยก็คงจะดี จึงสั่งปี้เจียวว่า “ประคองข้าขึ้นมา ข้าอยากจะไปเดินเล่น ไปอ่านหนังสือในห้องหนังสือ”
ปี้เจียวลังเลเล็กน้อย
ถาวจวินหลันยิ้ม “อ่านหนังสือไม่ได้ทำให้คนเหนื่อย ข้าเองก็รู้สึกเบื่ออยากหาอะไรทำฆ่าเวลา” แต่ในความเป็นจริงแล้ว นางไม่ได้อยากอ่านหนังสือ แต่คิดจะเขียนจดหมายฉบับหนึ่ง