บัลลังก์พญาหงส์ - บทที่ 464 กลืนไม่เข้าคายไม่ออก
ถาวจวินหลันรู้ดีแก่ใจ หากนางทนไม่ไหว ต่อให้ก่อนตายอยากจะพบหลี่เย่ก็ไม่อาจพบได้ ดังนั้นนางถึงอยากจะเขียนจดหมายเอาไว้ฉบับหนึ่ง อย่างน้อยก็ไม่ถึงขั้นที่ไม่เหลืออะไรไว้แม้แต่ประโยคเดียว
ตอนนี้อาจจะส่งจดหมายทันทีไม่ได้ แต่รอจนผ่านเรื่องโรคระบาดนี้ไป ก็คงจะได้เห็นหลี่เย่แล้ว ถึงเวลานั้น ถ้ามีวิธีรักษาโรคระบาดแล้ว นางเองก็ไม่กลัวหลี่เย่ติดโรค
ประโยคที่เขียนทิ้งเอาไว้ ก็เพียงแค่ฝากให้หลี่เย่ดูแลลูกหญิงชายทั้งสองคนให้ดี และไม่ต้องโศกเศร้าเท่านั้น ถือว่าเขียนสั่งเสียทุกอย่างเอาไว้แล้ว
ถาวจวินหลันครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายแล้วก็เขียนลงไปอีกประโยคหนึ่งในจดหมายอย่างเอาจริงเอาจัง ‘ถ้าข้าโชคไม่ดี ก็ขอเพียงได้ร่วมหลุมเดียวกับท่าน’
มีเพียงชายาเอกเท่านั้นที่จะฝังไว้ที่เดียวกับหลี่เย่ เรื่องนี้ไม่มีข้อยกเว้น ดังนั้นประโยคนี้ของนางก็เป็นการบอกหลี่เย่อ้อมๆ ว่าหลังจากนางตายไปก็ให้แต่งตั้งนางเป็นชายาเอก
นางไม่ได้ใส่ใจกับตำแหน่งนี้ แต่นางต้องใส่ใจซวนเอ๋อร์และหมิงจู
ลูกชายและลูกสาวที่เกิดจากอนุภรรยาไม่มีอนาคต หลี่เย่ยังอายุน้อยไม่อาจเลิกแต่งภรรยาหรือรับอนุ ถึงเวลาแต่งชายาเอกเข้ามาใหม่ และให้กำเนิดลูก ซวนเอ๋อร์ก็จะต้องกลายเป็นตะปูในตา แต่ถ้าซวนเอ๋อร์เป็นลูกจากภรรยาเอกเล่า? แม้นหลี่เย่จะมีลูกที่เกิดจากภรรยาเอกอีกคนหนึ่งก็ไม่ได้ส่งผลกระทบมากนัก อย่างน้อยต่อหน้าก็ยังต้องแสดงให้เห็นอย่างนั้น
ส่วนลับหลัง ถาวจวินหลันเชื่อว่าหลี่เย่จะต้องปกป้องซวนเอ๋อร์ อีกทั้งยังมีไทเฮาและฮ่องเต้ สองพระองค์นี้เอ็นดูรักใคร่เหลนและหลานคนนี้มาก แม้แต่หมิงจูก็ได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้เช่นกัน แม้ว่าเหตุผลจะเป็นเพราะหน้าตาคล้ายย่าของตนเอง แต่นั่นก็ไม่ได้ส่งผลกระทบถึงอะไรมิใช่หรือ?
ตกอยู่ในภวังค์ครู่หนึ่ง นางก็จรดปลายพู่กันลงไปอีกครั้ง ‘ขอให้ท่านอ๋องส่งลูกชายหญิงทั้งสองคนให้ไทเฮาคอยเลี้ยงดู’ หลังจากนางตายไป หลี่เย่อาจจะตกอยู่ใจห้วงแห่งความเศร้าไปช่วงหนึ่ง ถึงตอนนั้นจะต้องดูแลลูกชายหญิงทั้งสองคนไม่ได้แน่นอน อีกทั้งเขาเป็นผู้ชาย ไม่ว่าจะอ่อนโยนละเอียดอ่อนมากเพียงใด แต่ก็ไม่อาจเทียบกับนางได้ ไม่ใช่ว่านางไม่วางใจให้เขาเลี้ยงลูก แต่มันไม่เหมาะสม
อีกทั้งต้องให้หลี่เย่หาเวลามาทำในสิ่งที่เขาอยากทำด้วย
จดหมายฉบับหนึ่งถูกเขียนออกมาอย่างตามใจชอบ สุดท้ายหมดกระดาษไปกว่าสามใบแล้วก็ยังเขียนไม่จบ นางเขียนตั้งแต่เรื่องหลังนางตาย จนถึงเรื่องการออกเรือนของหมิงจู ไม่ว่าจะเรื่องเล็กเรื่องใหญ่ก็ไม่คร้านว่ายิบย่อย กลัวแค่ว่าจะตกหล่นอะไรไป
ปี้เจียวไม่รู้ตัวหนังสือ แต่นางก็ดูออกว่าถาวจวินหลันกำลังเขียนจดหมายอยู่ แต่พอเห็นท่าทีจริงจัง ตั้งอกตั้งใจของถาวจวินหลัน นางก็ไม่กล้าเข้าไปรบกวน
ถาวจวินหลันเขียนจดหมายฉบับนี้จบ ท้องฟ้าก็เริ่มมีแสงอาทิตย์ส่องมารำไร จึงเก็บจดหมายฉบับนี้ไว้ในซองจดหมาย แล้วใส่ในกล่องอีกครั้งอย่างจริงจัง ก่อนวางไว้ในห้องหนังสือ
ปี้เจียวที่อยู่ข้างๆ ย่อมต้องเห็นชัด และถาวจวินหลันก็ตั้งใจให้ปี้เจียวเห็น เมื่อเป็นเช่นนี้ หลังจากนางตายไปปี้เจียวจะต้องนำจดหมายฉบับนี้ไปให้หลี่เย่อย่างแน่นอน
นางรวบรวมสมาธิเขียนจดหมายกว่าค่อนคืน จากสภาวะร่างกายของถาวจวินหลันแล้วถือว่าเกินจะรับไม่ไหวแล้ว ตอนที่รวบรวมสมาธิเขียนจดหมายยังไม่ทันรู้สึก แต่ตอนนี้ทำเสร็จแล้วก็รู้สึกเหนื่อยล้าเป็นอย่างมาก จึงเรียกให้ปี้เจียวประคองนางไปพัก
แต่ที่ถาวจวินหลันไม่รู้ก็คือ แม้ว่าปี้เจียวจะไม่รู้หนังสือ แต่นางก็พอคาดเดาได้บ้างบางส่วน หลังจากนางหลุบตาดู ก็แอบลากชุนฮุ่ยออกไปร้องไห้อยู่ที่ระเบียง และหงหลัวก็บังเอิญมาเห็นเข้า สุดท้ายบ่าวรับใช้ทั้งสามคนจึงร้องไห้หูตาแดงก่ำ
หงหลัวลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ปรึกษากับปี้เจี้ยวอย่างไม่มั่นใจนัก “หรือว่าเรื่องนี้พวกเราไปแอบบอกท่านอ๋องดี? อาการของชายารองถาว…”
ปี้เจียวส่ายหัว “หากชายารองรู้เข้าจะต้องไม่ชอบใจเป็นแน่”
หงหลัวกัดฟัน “ตอนนี้จะคิดเยอะขนาดนั้นได้อย่างไร”
ปี้เจียวยังคงไม่กล้า
กลับเป็นชุนฮุ่ยที่พูดแทรก ถอนหายใจ “บอกท่านอ๋องใช่ว่าจะทำไม่ได้ อย่างน้อยก็ให้ท่านอ๋องไปเร่งหมอหลวงเหล่านั้น แต่ถึงเวลานั้นเกรงว่าท่านอ๋องคงต้องเข้ามาในจวนเพื่อพบชายารองอย่างไม่สนใจอะไร” ไม่ต้องพูดว่าถาวจวินหลันจะหงุดหงิด เกรงว่าคงยากที่จะรักษาหัวเอาไว้
หงหลัวลังเลอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายแล้วก็ตัดสินใจ “บอกท่านอ๋องเถิด ไม่ว่าผลสุดท้ายจะเป็นอย่างไรข้าก็ยอมรับ! แต่เรื่องนี้พวกเจ้าอย่าเข้ามายุ่งเลย ข้าขอรับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียว” ถ้าจะเอาชีวิตนางจริง นางเองก็ยอม
ปี้เจียวมองหงหลัวทีหนึ่ง “เรื่องนี้จะให้เจ้าแบกรับเอาไว้ได้อย่างไร? ถ้าจะแบกรับก็ต้องแบกด้วยกัน”
ชุนฮุ่ยเองก็หัวเราะออกมา “ไม่จำเป็นต้องถึงขั้นนั้น ถึงเวลานั้นหากท่านอ๋องจะเข้ามาในจวนจริง พี่หงหลัวคิดหาวิธีห้ามไว้ก็พอแล้ว”
อีกอย่าง ขอแค่เพียงหลี่เย่ไม่ได้ติดเชื้อโรคระบาด ก็ไม่ต้องกังวลว่าหัวจะหลุดออกจากบ่า ถึงเวลานั้นอย่างมากก็เพียงแค่รับโทษสักรอบหนึ่งเท่านั้นเอง
แม้ว่าจะเป็นการลงโทษก็ต้องรอไปอีกสักพักใหญ่ เพราะคนที่ปรนนิบัติข้างกายถาวจวินหลันยามนี้มีเพียงพวกนางไม่กี่คนเท่านั้น
หงหลัวลงมืออย่างรวดเร็ว ตอนที่หลี่เย่รู้ข่าวว่าถาวจวินหลันป่วยหนัก ท้องฟ้าก็เพิ่งจะมืดสนิท
ที่จริงเขาเองก็คาดการณ์เอาไว้นานแล้วว่าจะต้องมีวันเช่นนี้ อย่างไรเขาก็รู้อาการของโรคระบาดดี ถาวจวินหลันทนมาได้ขนาดนี้ก็ถือว่าดีกว่าคนอื่นมากแล้ว
แต่เขาก็ยังคิดว่าเร็วเกินไปอยู่ดี
พริบตาเดียว เขาก็ไม่รู้ว่าจะต้องทำตัวอย่างไร
สุดท้ายแล้วหลี่เย่ก็พยักหน้า สูดลมหายใจเข้าลึกแล้วพูดว่า “ข้ารู้แล้ว เจ้าออกไปก่อน” พอภายในห้องเหลือเขาเพียงคนเดียว เขาถึงได้ก้มหัวปิดหน้าทันที
เขายังทำอะไรได้อีก? เขาทำอะไรไม่ได้ทั้งนั้น เวลานี้หลี่เย่เสียใจที่ตนเองไม่ใช่หมอ ความรู้สึกหงุดหงิดที่ตนเองไม่รู้วิชาแพทย์พลันพลุ่งพล่าน หากเขารู้วิชาแพทย์ อย่างน้อยก็ไม่ต้องนั่งรออยู่ที่นี่
รสชาติของการรอคอยนั้นทรมานเกินไป เทียบได้กับเอาคนไปตั้งไว้บนกองไฟอย่างไรอย่างนั้น
แต่เขาไม่รู้จริงๆ ว่าตนเองยังทำอะไรได้อีก สิ่งที่ควรทำเขาก็ทำหมดแล้ว บรรดาหมอที่อยู่นอกเมืองก็มีกว่าเจ็ดแปดคนที่ติดเชื้อโรคระบาดไปแล้ว และคนของกรมหมอหลวง ก็ถูกเขา ‘ตักเตือน’ ไปแล้วรอบหนึ่งเช่นกัน
เขารู้สึกไร้ที่พึ่งงอย่างถึงที่สุด ความรู้สึกที่ได้แต่นิ่งอยู่กับที่ เขาเคยมีแค่ตอนที่มารดาของเขาเสียชีวิต เขาไม่ชอบใจความรู้สึกนี้มาก เขาเคยสาบานมาก่อนว่าไม่มีทางให้ตนเองตกหลุมไร้ที่พึ่งเช่นนี้อีก แต่ตอนนี้…
หลังจากรู้สึกไร้ที่พึ่งแล้ว ก็คือความเกลียดแค้น
“คุณชายสามของจวนเหิงกั๋วกงเป็นอย่างไรบ้าง?” เขาเรียกหลิวเอินเข้าพบ ใบหน้าของหลี่เย่ไร้อารมณ์ หรี่ตามองแล้วถาม
หลิวเอินคาดเดาได้ว่าหลี่เยาจะต้องถามเช่นนี้แน่นอน จึงตอบว่า “ร่างกายเริ่มอ่อนแอมากแล้วพ่ะย่ะค่ะ หมอหลวงบอกว่าอย่างมากก็ทนได้อีกแค่สิบวันเท่านั้น”
หลี่เย่ยิ้มเย็น “สิบวันนานเกินไปแล้ว”
ความหมายนี้คือ ต้องการส่งคุณชายสามของจวนเหิงกั๋วกงไปสวรรค์ก่อนกำหนด หลิวเอินไม่แปลกใจแม้แต่น้อย พยักหน้ารับปากทันที ก่อนยิ้มรายงานว่า “ที่จริงแล้วยังมีข่าวดีอีกหนึ่งเรื่องพ่ะย่ะค่ะ ท่านฮูหยินและฮูหยินของจวนเหิงกั๋วกงเริ่มมีอาการเชื้อโรคระบาดแล้ว”
หลี่เย่กลับไม่ขบขันแม้แต่น้อย “ไม่ใช่ว่าตัวเหิงกั๋วกงติดเชื้อเองเสียหน่อย มีอะไรน่าดีใจ?” ต่อให้เหิงกั๋วกงติดเชื้อเอง อาการของถาวจวินหลันก็ทำให้เขากังวลอยู่ดี
หลิวเอินลอบถอนหายใจ ไม่กล้าพูดอะไรอีก แล้วขอตัวกลับไป ตัวเขาเองก็อยากให้เหิงกั๋วกงติดเชื้อโรคระบาด แต่ตัวเหิงกั๋วกงไม่ได้อาศัยที่จวนเหิงกั๋วกงแล้ว แต่ไปพักอยู่บ้านญาติตั้งแต่เมื่อหลายเดือนก่อน ไม่กลับไปเลยแม้แต่น้อย แล้วจะมีโอกาสจากที่ไหนกัน?
แต่แม้ว่าเหิงกั๋วกงจะไม่มีทางติดเชื้อโรคระบาดได้ แต่ก็ทำให้การที่เหิงกั๋วกงต้องปวดหัวเพราะเรื่องโรคระบาดได้
ฎีการ้องเรียนอีกฉบับหนึ่งถูกส่งไปให้ฮ่องเต้ คราวนี้ยังแนบหลักฐานไปด้วย เขียนชัดแจ้งแม้แต่ที่พักซ่อนตัวของเหิงกั๋วกง
ก่อนหน้านี้ฮ่องเต้ก็ได้สืบแล้ว แต่จวนเหิงกั๋วกงปิดบังเอาไว้อย่างแน่นหนา ดังนั้นจึงยังสืบสาวอะไรไม่ได้ แต่ตอนนี้ ฮ่องเต้หันไปสั่งขันทีเป่าฉวนเสียงเย็น “เจ้าไปเชิญเหิงกั๋วกงให้เข้าวังหลวงด้วยตนเองสักรอบซิ”
ขันทีเป่าฉวนรู้อยู่แก่ใจว่าฮ่องเต้โมโหจริงๆ แล้ว จึงรีบรับคำสั่งและออกไปจัดการทันที
คิดได้เลยว่า พอเหิงกั๋วกงเห็นขันทีเป่าฉวนจะมีท่าทีตื่นตกใจมากเพียงใด
เหิงกั๋วกงถูกกั้นแยกแล้ว ทหารองครักษ์ที่เฝ้าดูก็มากกว่าจวนตวนชินอ๋องกว่าเท่าตัว อีกทั้งยังตำหนิเหิงกั๋วกงโดยตรง ไม่เพียงแค่เหิงกั๋วกงที่โดนกั้นแยก ยังเรียกฮองเฮามาเข้าพบ “เจ้ารู้เรื่องนี้หรือไม่?”
ฮองเฮาตกใจ นางรู้ดีว่าฮ่องเต้กำลังสงสัยตนเองอยู่ ย่อมไม่กล้ายอมรับ เพียงแค่พูดว่า “หม่อมฉันไม่ทราบว่าฮ่องเต้พูดถึงเรื่องอะไรเพคะ?”
ฮ่องเต้หัวเราะเสียงเย็น โยนฎีการ้องเรียนเหิงกั๋วกงไปเบื้องหน้าฮองเฮา พูดเย้ยหยันว่า “ฮองเฮาไม่รู้จริงหรือว่าเรื่องอะไร?” พูดไปแล้วใครจะเชื่อ?
ฮองเฮาอ่านฎีกานั้นจบก็ตกใจจนหน้าถอดสี รีบคุกเข่าลงไป “ฮ่องเต้ได้โปรดระงับโทสะ หม่อมฉันขอยอมรับโทษแทนพี่ชายเพคะ!”
ฮ่องเต้มองฮองเฮานิ่ง ไม่พูดอะไรพักใหญ่ พอเอ่ยปากกลับพูดว่า “ข้าคิดมาตลอดว่าฮองเฮาเป็นคนมองภาพรวม รู้กฎเกณฑ์เป็นอย่างดี และคิดว่าเหิงกั๋วกงก็เป็นเช่นนั้นมาโดยตลอด แต่คิดไม่ถึงว่า”
ฮองเฮากัดฟันแน่น “คิดว่าพี่ชาย พี่สะใภ้ และท่านแม่คงเลอะเลือนไปเป็นแน่ ถึงได้ทำเรื่องเช่นนี้เพคะ”
“ตอนที่พบโรคระบาด เหิงกั๋วกงฮูหยินเข้าวังหลวงมาพบพระชายาองค์รัชทายาทรอบหนึ่ง” ฮ่องเต้รู้เรื่องเหล่านี้มาก่อนแล้ว จึงพูดอย่างชัดถ้อยชัดคำ แฝงความเย็นเยียบเอาไว้
ฮองเฮาจิกฝ่ามือตนเองอย่างแรง แล้วถึงพูดอย่างสงบนิ่งว่า “พระชายาองค์รัชทายาทยังอายุน้อยเพคะ แล้วนั่นก็เป็นบ้านของนาง หม่อมฉันจะต้องสั่งสอนนางให้ดีเพคะ ต่อจากนี้จะไม่ให้เกิดเรื่องเช่นนี้อีก”
ฮ่องเต้ไม่ได้พูดเรื่องนี้ต่อ แต่กลับเปลี่ยนเรื่อง “จวนเหิงกั๋วกงเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น ฮองเฮาคิดว่าควรจะลงโทษเช่นไร? ข้าเคยพูดไว้แล้วว่า หากเกิดโรคระบาดในเมืองหลวงจะต้องแจ้งแยกห่างในทันที ป้องกันคนจำนวนมากติดเชื้อ! แต่จวนเหิงกั๋วกงยังทำเช่นนี้…”
ฮองเฮานิ่งไป นึกไม่ถึงว่าฮ่องเต้จะถามตนเอง แต่เมื่อสบตากับสายตาล้ำลึกของฮ่องเต้ นางก็อดสั่นสะท้านไม่ได้ นางเข้าใจความหมายของฮ่องเต้แล้ว
หากนางขอร้องแทนจวนเหิงกั๋วกง เกรงว่าฮ่องเต้จะโมโหมากกว่าเดิม แต่หากนางไม่ขอร้อง นางก็ไม่อาจลำเอียงได้แม้แต่น้อย แต่นั่นเป็นบ้านของนาง หากนางยุติธรรมเที่ยงตรงไม่เห็นแก่หน้าใครเลย คนอื่นจะมองนางอย่างไร?
ฮ่องเต้ทำเช่นนี้เพราะต้องการลงโทษนาง! ฮองเฮาพลันขมขื่นเต็มอก แต่ใบหน้านั้นทำได้เพียงนิ่งสงบ