บัลลังก์พญาหงส์ - บทที่ 468 วุ่นวาย
ถาวจวินหลันกินยาติดต่อกันหลายครั้ง วันรุ่งขึ้นก็รู้สึกสบายกว่าเดิม ไข้ต่ำที่มีมาตลอดก็ลดหายไป มีเรี่ยวมีแรง และไม่เลอะเลือนอีกแล้ว
แต่นางกลับรู้สึกทรมานอย่างบอกไม่ถูก นอนอยู่กับที่เป็นระยะเวลานาน กระดูกในร่างแข็งหมดแล้ว ไม่ให้รู้สึกทรมานได้อย่างไร? แทบจะรู้สึกว่านอนมากกว่านี้อีกเพียงนาทีเดียวก็ไม่ไหว
แต่ร่างกายของนางก็ยังห่างไกลจากขั้นที่ลุกขึ้นมาเดินเหินได้ ในความเป็นจริงก็ยังรู้สึกอ่อนแรงอยู่ ให้นอนก็ไม่อยากนอนอีก ดังนั้นนางจึงเรียกปี้เจียวและชุนฮุ่ยมาประคองตนเองขึ้นนั่ง
ด้วยนอนติดๆ กันหลายวัน ตอนนี้นางย่อมไม่รู้สึกง่วงงุนแม้แต่น้อย อีกทั้งบ่าวทั้งสองคนคอยชวนคุย ทั้งป้อนยา ทั้งจัดการเรื่องการทานอาหาร ก็ยิ่งมีเรี่ยวแรงมากขึ้น
ในความเป็นจริงที่นางกลับมาดีได้ ไม่มีใครในเรือนสนใจว่าจะดึกเพียงใด แต่ทุกคนกลับมีเรี่ยวแรงฉับพลันทันที มีใครบ้างไม่หวังให้เจ้านายของตนเองหายดี? ปกติแล้วถาวจวินหลันเป็นคนมีเมตตา ย่อมต้องทำให้คนรู้สึกยำเกรง
แต่เมื่อตกดึกทุกคนก็ต้องนอนหลับ หลังจากตื่นเต้นดีใจไปแล้วก็ต้องพากันแยกย้าย พอเหลือคนเฝ้าอยู่สองสามคน ส่วนคนที่เหลือก็ไปนอน อย่างไรพรุ่งนี้ก็ยังต้องมาเข้าเวร คงไม่อาจให้แต่ละคนมาเข้าเวรด้วยสภาพอิดโรยอ่อนแรงหรอกใช่หรือไม่?
ถาวจวินหลันมองไปยังชุนฮุ่ยและปี้เจียว ในใจก็รู้ดีว่าพวกนางควรจะไปนอนได้แล้ว จึงพูดว่า “พวกเจ้าไปนอนก่อนเถิด มิเช่นนั้นวันพรุ่งนี้ใครจะมาเข้าเวร?”
ชุนฮุ่ยและปี้เจียวสบตากัน ส่ายหน้าอย่างพร้อมเพียง “ตอนที่ชายารองนอน บ่าวก็นอนแล้วเจ้าค่ะ”
“เช่นนั้นก็ไม่ได้ พวกเจ้าเหลือคนหนึ่งไว้เฝ้าตอนกลางคืน อีกคนไปนอนก่อนเถิด” ถาวจวินหลันหัวเราะพลางพูดออกมา “ข้าไปนั่งอ่านหนังสือเงียบๆ ครู่หนึ่งก็ได้แล้ว อย่างไรก็ไม่ได้เรียกใช้พวกเจ้า”
เมื่อพูดเช่นนี้ ปี้เจียวก็พยักหน้าพูดก่อนว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ชุนฮุ่ยก็ไปนอนก่อนเถิด”
ชุนฮุ่ยกลับส่ายหัว “หลายวันมานี้พี่ปี้เจียวไม่ได้พักผ่อนดีๆ ท่านไปก่อนเถิด ท่านดูรอยดำใต้ตาท่าน สาหัสกว่าข้ามากนัก อีกอย่างหนึ่งท่านก็ปรนนิบัติชายารองมานานกว่าข้า ปรนนิบัติยามกลางวันเหมาะสมที่สุด เหมือนที่ชายารองพูด ตอนกลางคืนไม่มีเรื่องให้เรียกใช้ กลับเป็นกลางวันที่มีเรื่องต้องจัดการมากมาย”
ปี้เจี้ยวได้ยินเช่นนี้ก็ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนพยักหน้ารับปาก
ดังนั้นจึงเหลือชุนฮุ่ยเอาไว้เฝ้ายามดึก
ถาวจวินหลันไม่สนใจว่าใครเฝ้ายามดึก ถึงอย่างไรนางก็ให้ชุนฮุ่ยออกไปพักข้างนอกก่อนอยู่ดี
แน่นอนว่าอ่านหนังสือเป็นเพียงข้ออ้าง ความจริงที่นางให้คนออกไปมากขนาดนี้ก็เพียงเพื่อจะแอบร้องไห้ตอนไม่มีคนอยู่เท่านั้นเอง หลายวันมานี้แม้ว่าช่วงเวลาที่นางเหม่อลอยจะเยอะกว่า แต่ความหวาดกลัวในใจก็ไม่ได้น้อยเลยแม้แต่นิดเดียว เพราะรู้ดีว่าร่างกายตนเองอ่อนแรงลงทุกวัน ความรู้สึกหวาดกลัวก็ยิ่งมากขึ้นจนถึงขีดสุด
ต่อให้เตรียมใจมาพร้อมแค่ไหน แต่ถ้าจะบอกว่าไม่กลัวเลยก็คงเป็นไปไม่ได้ แต่ความรู้สึกเหล่านี้ถูกเก็บอยู่ในใจมาตลอดก็เท่านั้น ตอนนี้ความสิ้นหวังได้รับการช่วยเหลือ นอกจากนางรู้สึกยินดีและดีใจแล้ว ก็อยากร้องไห้อย่างหนักหน่วง
และมากไปกว่านั้น นางยังรู้สึกน้อยใจอย่างไร้เหตุผล ความรู้สึกน้อยใจนี้ทำให้นางอดร้องไห้เสียงดังไม่ได้
นางรู้ดีแก่ใจว่าเก็บความรู้สึกนี้ไม่ได้ มีเพียงแค่ระบายออกมาเท่านั้นถึงจะดีที่สุด อีกอย่างนางเองก็อยากร้องไห้หนัก
บางทีถ้าเป็นแต่ก่อน นางคงไม่อาจร้องไห้เช่นนี้ แต่ตอนนี้นางไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว ช่วงเวลาที่ต้องดิ้นรนทรมานระหว่างความเป็นความตายนั้น มีหลายสิ่งอย่างมากมายที่นางมองจนแตกฉาน เปิดกว้างออกขึ้นมาก
ถ้าไม่ใช่เพราะต้องรักษาหน้า ไม่ยินยอมให้บ่าวรับใช้ทั้งสองคนมาร้องไห้เป็นเพื่อนตน นางเองก็ไม่ต้องเปลืองแรงไล่คนออกไปเช่นนี้
แต่เมื่อนางเริ่มร้องไห้ ประตูก็ถูกผลักเข้ามา นางตกใจยกใหญ่ รีบหันไปทางเตียง ไม่อยากให้ชุนฮุ่ยเห็นท่าทางหมดสภาพของนาง ปากก็พูดว่า “ชุนฮุ่ย เจ้าเข้ามาได้อย่างไร?”
แต่ชุนฮุ่ยกลับไม่ได้ตอบ นางได้ยินแค่เสียงปิดประตู แล้วก็มีเสียงฝีเท้าเดินเข้ามาหยุดบริเวณเตียง
ชุนฮุ่ยเป็นอะไรไป? ถาวจวินกลันหยิบผ้ามาเช็ดหน้า ในใจก็สงสัย พลางใช้หางตามองไปยังชุนฮุ่ย แต่เมื่อมองไปกลับตกใจอย่างรุนแรง
ไหนคือชุนฮุ่ย? นี่หลี่เย่ชัดๆ แม้จะเห็นเพียงชายเสื้อไม่เห็นหน้าคน แต่ไฉนเลยยังจะต้องดูหน้าเล่า? เพียงแค่มองครั้งเดียวก็มั่นใจได้ว่าเป็นหลี่เย่ไม่มีทางผิดแน่นอน
“ท่านมาได้อย่างไร?” นางตกใจมาก คำพูดก็ติดขัด อีกทั้งเพิ่งร้องไห้มาทำให้เสียงแปลกมาก
“ข้ามาดูเจ้า” หลี่เย่ถอนหายใจ แฝงไว้ด้วยความสงสาร “ทำไมเจ้าผอมลงไปมากขนาดนี้? ยังมาแอบมาร้องไห้คนเดียวตรงนี้อีก? พวกนางปรนนิบัติเจ้าไม่ดี หรือว่าเกิดอะไรขึ้น?”
ตอนแรกถาวจวินหลันคิดจะถามหลี่เย่ว่าเข้ามาได้อย่างไร ยังคิดจะไล่ให้เขาออกไป แต่ก็ถูกคำพูดนี้ของเขาทำให้รู้สึกเจ็บปวดใจ น้ำตาที่อดกลั้นเอาไว้ก็ไหลลงมาอย่างควบคุมไม่ได้
นางรีบเช็ดน้ำตาทันที ฉับพลันหลี่เย่ก็ยื่นมือออกมาจับไหล่ของนางเบาๆ ให้หันมา ต่อให้นางไม่อยากให้หลี่เย่เห็นรอยน้ำตาบนใบหน้า แต่ก็ไม่สามารถทำได้แล้ว
ทว่านางก็ยังไม่กล้ามองตาหลี่เย่ นางกลัวว่านางมองแล้วจะยิ่งรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ และคงอยากจะโถมตัวเข้าไปในอ้อมกอดของเขา
“ท่านอย่าจับข้า” นางคิดได้ว่าโรคระบาดในร่างกายยังไม่ทันหายดี ก็รีบพูดขัดไว้ก่อน และเตือนเขาว่า “ท่านอยู่ให้ไกลข้าหน่อย”
“กลัวอะไร?” หลี่เย่กลับไม่สนใจ และกดไหล่ของนางเอาไว้อย่างบ้าอำนาจและระมัดระวังมากกว่าเดิม พูดเสียงเบาว่า “อยากร้องก็ร้องออกมาเถิด อย่าเก็บเอาไว้เลย”
หลายวันมานี้ถาวจวินหลันจะต้องตกใจเป็นแน่ ที่จริงแล้วไม่ต้องพูดถึงถาวจวินหลัน แม้แต่ตัวเขาเองก็อยากร้องไห้ อีกนิดเดียว เพียงแค่นิดเดียวเท่านั้น บางทีเขาอาจจะไม่ได้เห็นถาวจวินหลันอีก ไม่ต้องพูดว่าจะได้กอดหรือพูดคุยกันเช่นนี้ได้อีก
ความรู้สึกที่ได้ที่เกือบสูญเสียกลับมาอีกครั้ง ทำให้เขาคิดจะทะนุถนอมให้ดี
เพราะคำพูดนี้ของหลี่เย่ ทำให้น้ำตาของถาวจวินหลันไหลมากขึ้นกว่าเดิม เมื่ออารมณ์พุ่งขึ้นมา บวกกับมียารักษาโรคระบาดแล้ว ก็ไม่ต้องกังวลและคิดมากอีก นางจึงยื่นมือออกไปกอดเอวเขาอย่างอดไม่ไหว แล้วสะอื้นไห้
“ข้ากลัวจริงๆ” นางพูดสะอึกสะอื้น “กลัวว่าจะไม่ได้พบท่านอีก ไม่ได้เจอซวนเอ๋อร์และหมิงจู”
“ข้าก็กลัว” หลี่เย่ตอบรับเสียงเบา แล้วตบหลังนางเบาๆ เหมือนกลัวว่านางร้องไห้หนักจนหายใจไม่ทัน ถาวจวินหลันอิงแอบในอกของเขา ย่อมมองไม่เห็นคิ้วที่ขมวดแน่นและท่าทีเจ็บปวดของเขา
“ตอนที่หลิวซื่อตาย ข้ากลัวมาก” ถาวจวินหลันคิดถึงเรื่องตอนนั้น และยิ่งตัวสั่นสะท้านอย่างควบคุมไม่ได้ หลี่เย่สังเกตเห็นปฏิกิริยาของนางอย่างรวดเร็ว จึงตบหลังนางเหมือนต้องการจะปลอบประโลม
ถาวจวินหลันยกยิ้มขึ้นน้อยๆ พูดเสียงเบาว่า “ตอนนั้นข้าติดเชื้อโรคระบาดแล้ว เมื่อคิดถึงหลิวซื่อ ก็คิดว่าตนเองจะเป็นเช่นนั้นหรือไม่ เมื่อคิดเช่นนั้นข้าก็กลัวมาก”
“ข้าจะปล่อยให้เจ้าเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร?” หลี่เย่พูดเสียงเบา “ไม่มีทาง เจ้าก็ไม่เป็นอะไรแล้วมิใช่หรือ”
“อืม” ถาวจวินหลันหัวเราะ ใช้ปกเสื้อของเขาเช็ดน้ำตาอย่างลุแก่โทษ แล้วก็ค่อยๆ สงบลงด้วยการปลอบโยนของเขา นางคิดถึงคำพูดเหล่านั้นที่หลิวซื่อพูดกับนางก่อนตาย ก็อดถอนหายใจไม่ได้
“ตอนที่หลิวซื่อตาย นางเสียดายมาก” ถาวจวินหลันลังเลอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ตัดสินใจพูดเรื่องเหล่านั้นกับหลี่เย่ อย่างไรก็มีเพียงแค่บอกให้เขารู้เท่านั้น เขาถึงจะป้องกันตัวจากฮองเฮาดีกว่าเดิมมิใช่หรือ?
“หลิวซื่อไม่ชอบท่าน ก็ด้วยมีฮองเฮาคอยยุยง หลังจากนั้นมานางสูญเสียลูกไปก็เป็นฝีมือของฮองเฮาเช่นกัน” แม้ว่านี่เป็นเพียงการคาดเดาของนาง ไม่ได้มีหลักฐาน แต่จากท่าทีของหลิวซื่อ นางก็ยิ่งรู้ว่าเป็นความจริง นางไม่ได้ใส่ร้ายฮองเฮาแม้แต่น้อย อย่างไรหลิวซื่อเป็นคนเจอเรื่องนี้ด้วยตนเอง เกรงว่าคงรู้ชัดกว่าคนอื่นว่าแท้จริงแล้วเกิดอะไรขึ้น ก่อนหน้านี้หลิวซื่อปิดบังเอาไว้ จึงมองไม่ออก แต่หลังจากนางทำลายม่านกั้นนั้นได้แล้ว หลิวซื่อไฉนเลยจะยังไม่เข้าใจอีก?
“แม้แต่โรคระบาดครั้งนี้ ก็เป็นมีฝีมือของฮองเฮาส่วนหนึ่ง ถ้าไม่ใช่เพราะฮองเฮามอบของที่ทำให้ติดเชื้อโรคระบาดได้ หลิวซื่อก็คงจะไม่ติดเชื้อโรคระบาด” ถาวจวินหลันพูดช้าๆ พยายามอธิบายอย่างชัดเจน “ฮองเฮาหลอกใช้ความรังเกียจที่หลิวซื่อมีต่อท่าน อยากใช้หลิวซื่อทำร้ายท่าน หากหลิวซื่อตายไป ต่อให้ท่านจะไม่ชอบหลิวซื่อ แต่ก็ต้องไว้หน้าบ้าง ถึงตอนนั้นท่านก็มีโอกาสติดเชื้อโรคระบาดมาก”
จริงๆ แล้วคนที่มีปฏิสัมพันธ์กับหลิวซื่อ มีจำนวนน้อยมากที่ไม่ติดเชื้อโรคระบาด ชุนฮุ่ยเป็นข้อยกเว้น แต่ข้อยกเว้นเช่นนี้มีไม่ถึงสองคนด้วยซ้ำไป
ก็โชคดีเหมือนปี้เจียว แต่ถาวจวินหลันคิดว่าเพราะร่างกายของพวกนางแข็งแรงกว่าเล็กน้อย อย่างไรปกติแล้วนางอยู่ในตำแหน่งสูงส่งมีชีวิตสุขสบาย บวกกับร่างกายเสียหายจากการคลอดลูกก็ยังไม่ได้บำรุง ย่อมไม่สามารถเทียบได้กับชุนฮุ่ยและปี้เจียวที่ทำงานอยู่ตลอดเป็นแน่
“ข้ารู้” หลี่เย่ไม่ได้มีท่าทีแปลกใจแม้แต่น้อย และตอบเสียงเบา
ครั้งนี้ถาวจวินหลันตะลึงไป
“ทุกคนคิดว่าหลิวซื่อติดโรคจากหลี่ว์หลิ่ว แต่เพียงแค่แสดงอาการออกมาช้าเท่านั้น แต่ตอนนั้นฝีมือการแพทย์ของหมอที่มาตรวจก็ใช้ได้ ไม่มีทางตรวจพลาด ดังนั้นข้าเดาว่าหลังเรื่องนี้หลิวซื่อต้องทำอะไรแน่” หลี่เย่เห็นว่าถาวจวินหลันแปลกใจ จึงยิ้มและอธิบายว่า “นอกจากฮองเฮาแล้ว ยังมีใครหวังให้จวนตวนชินอ๋องของพวกเราพินาศอีก?”
ถาวจวินหลันได้ยินเขาพูดเช่นนี้ ก็เข้าใจทันที “ดังนั้นท่านถึงได้ลงมือกับจวนเหิงกั๋วกง”
หลี่เย่กลับไม่อธิบาย เขาคิดว่าไม่จำเป็นต้องบอกนาง ที่เขาทำเช่นนี้ก็ด้วยหวังดีกับนาง ไม่ใช่เพราะตนเอง ถ้าเพื่อตัวของเขาเองเขาก็คงจะไม่แก้แค้นเร็วขนาดนี้ ตอนนี้เขามาคิดดูแล้วในตอนนั้นถือว่าบุ่มบ่ามมากเกินไป เรื่องเช่นนี้ถ้าหากว่ามีคนไปพบเข้า ถึงตอนนั้นคงจะขมวดปมเรื่องนี้ยากแน่นอน