บัลลังก์พญาหงส์ - บทที่ 476 โง่เขลา
ถาวจวินหลัวเพิ่งมาถึง ถาวจือก็กุมหน้าวิ่งเข้ามาหา ร้องไห้พลางพูดว่า “ขอให้ชายารองเรียกความยุติธรรมให้ข้าด้วยเจ้าค่ะ”
ถาวจวินหลันมองเพียงปราดเดียวก็เห็นรอยนิ้วมือบนใบหน้าของถาวจือ เห็นได้ชัดว่าโดนตบมาสักพักแล้ว ใบหน้าเริ่มบวมขึ้น อธิบายได้ว่าแรงตบไม่เบาเลยทีเดียว ไม่รู้ว่าใช้แรงไปมากเท่าไรกัน
พอเห็นถาวจือเป็นแบบนี้ ถาวจวินหลันก็หันไปมองจิ้งหลิงที่มีสีหน้าสงบนิ่ง พูดตามตรง ท่าทีของจิ้งหลิงเช่นนี้ชวนให้นางนึกถึงวันวาน จึงอดตะลึงไปไม่ได้
“เกิดอะไรขึ้นกันแน่?” แม้จะบอกว่าในใจเข้าข้างจิ้งหลิง แต่อยู่ต่อหน้าคนมากมายขนาดนี้ นางย่อมไม่อาจแสดงออกมากเกินไปได้ ดังนั้นจึงไม่ได้หันไปมองจิ้งหลิงมาก เพียงแค่ถามเสียงเย็นเท่านั้น
ถาวจือร้องไห้น่าเวทนามากขึ้น สะอึกสะอื้นพูดไม่เป็นภาษา แต่ก็พยายามชิงพูดก่อนอย่างทุลักทุเล “ชายารองมองไม่ออกหรืออย่างไรเจ้าคะ? จิ้งหลิงอี๋เหนียงกล้าลงมือตบข้า! ขอให้ชายารองมอบความยุติธรรมให้ข้าด้วย! เรียกร้องความยุติธรรมให้ข้าถึงจะถูกนะเจ้าคะ!”
ถาวจวินหลันสูดหายใจเข้าลึก ไม่สนใจถาวจือ เพียงแค่เรียกบ่าวรับใช้มา “เกิดอะไรขึ้นกันแน่ เจ้าพูดมา! อยู่ดีๆ ทำไมจิ้งหลิงอี๋เหนียงถึงเริ่มลงไม้ลงมือ!”
ถาวจวินหลันเริ่มมีท่าทีโมโหหงุดหงิดแล้ว ท่าทางทรงอำนาจแผ่ออกมาเต็มร่าง จนบ่าวคนนั้นเริ่มกล้าๆ กลัวๆ พลางคิดว่าทำไมตนเองถึงได้ดวงซวยเช่นนี้ อีกด้านก็ไม่กล้าล่าช้ากว่านี้แม้แต่น้อย รีบตอบกลับไป “แต่เดิมจิ้งหลิงอี๋เหนียงพาคุณหนูใหญ่มาเล่นอยู่ที่สวนเจ้าค่ะ ถาวจืออี๋เหนียงเห็นจึงเข้ามาหยอกคุณหนูใหญ่เล่น แต่ไปๆ มาๆ ไม่รู้ว่าทำไมอี๋เหนียงทั้งสองคนถึงได้ทะเลาะกัน สุดท้ายก็เริ่มลงไม้ลงมือเจ้าค่ะ”
บ่าวรับใช้ไม่ได้พูดว่าทำไมถึงทะเลาะกัน ถาวจวินหลันเลิกคิ้วเล็กน้อย สายตาเฉียบคมกวาดมองไป ไม่ต้องอ้าปากฝ่ายตรงข้ามก็รู้ความคิดของตนเอง
บ่าวรับใช้รีบอธิบาย “ไม่ใช่บ่าวไม่เข้าไปห้ามนะเจ้าคะ แต่เพราะว่าห้ามไม่ทัน จิ้งหลิงอี๋เหนียงลงมือกะทันหัน ไม่มีใครคาดคิดเจ้าค่ะ”
ถาวจวินหลันหันไปทางจิ้งหลิง “จิ้งหลิง เจ้าบอกข้าซีว่าทำไมถึงต้องลงไม้ลงมือกันด้วย อยู่จวนเดียวกัน ต่อให้ทะเลาะกันหรือไม่พอใจก็ไม่ควรต้องลงมือมิใช่หรือ? ถ้าข่าวแพร่กระจายออกไปคนอื่นคงคิดว่าผู้หญิงในจวนตวนชินอ๋องเป็นผู้หญิงร้ายกาจ”
คำพูดนี้เหมือนจะสั่งสอนจิ้งหลิง แต่ความเป็นจริงแล้วกำลังช่วยจิ้งหลิงอยู่ อย่างไรคนที่ลงมือย่อมต้องเสียเปรียบกว่า ว่ากล่าตักเตือนก่อน ให้คนอื่นพอฟังแล้วรู้สึกว่ายุติธรรม หลังจากนี้ตอนลงโทษก็จะเบา แล้วก็จะไม่มีคนเอาไปพูดติฉินนินทา
อีกอย่างให้จิ้งหลิงพูดถึงสาเหตุย่อมต้องดีกว่าให้ถาวจือพูด อย่างน้อยจิ้งหลิงก็ไม่ใส่สีตีไข่
หางตาของถาวจวินหลันสังเกตเห็นอาการขมุบขมิบปากของถาวจือหลังจากฟังคำพูดของนาง เห็นได้ชัดว่าถาวจือคาดเดาความคิดของนางได้แล้ว ในใจไม่คิดยอมแพ้
แต่ไม่ยอมแพ้แล้วอย่างไร? จิ้งหลิงเป็นคนของนาง ซื่อสัตย์ต่อนาง นางย่อมต้องลำเอียง มิเช่นนั้นแม้แต่ประโยชน์เพียงนิดเดียวยังไม่มีแล้วจะทำให้จิ้งหลิวอยู่กับนางต่อไปได้อย่างไร?
ยิ่งไม่ต้องพูดว่าจิ้งหลิงมีเหตุผล ต่อให้ไม่มีเหตุผลนางเองก็ต้องเอนเอียงกว่าอยู่ดี
จนถึงตอนนี้แล้วอารมณ์โมโหของจิ้งหลิงก็ยังไม่สงบลง ก่อนเอ่ยปากพูดก็ถลึงตามองถาวจืออย่างดุร้ายทีหนึ่ง พูดเสียงเย็นว่า “เรื่องที่นางพูดล้วนแต่บอกว่าข้าดูแลกั่วเจี่ยเอ๋อร์ไม่ดี กั่วเจี่ยเอ๋อร์ก็โชคไม่ดีเหมือนกับแม่แท้ๆ ของนาง แล้วยังหยิกกั่วเจี่ยเอ๋อร์ ที่ข้าตบนางยังถือว่าน้อยไป!”
เห็นได้ชัดว่าท่าทีของจิ้งหลิงอยากจะตบถาวจืออีกสักที
ถาวจวินหลันได้ยินแล้วก็ตกใจมาก รีบหันไปมองถาวจืออย่างเยียบเย็น “ถาวจือ เจ้าจะว่าอย่างไร?” หากถาวจือพูดเช่นนี้จริง ก็สมควรถูกตบแล้ว
สายตาของถาวจือมีประกายแวบหนึ่ง แล้วก็ส่ายหัวพูดปฏิเสธ “ข้าจะพูดอย่างนั้นได้อย่างไรเจ้าคะ? ส่วนเรื่องที่หยิกกั่วเจี่ยเอ๋อร์ ข้าก็แค่อยากจะลูบหน้าของกั่วเจี่ยเอ๋อร์เท่านั้น ไฉนเลยจะหยิกนาง? เป็นนางที่ดื้อเอง ถึงได้ไม่ระวังถูกเล็บบาดเข้าเจ้าค่ะ”
ยังไม่รอให้ถาวจวินหลันมีปฏิกิริยา ก็ได้ยินเสียงดุดันของจิ้งหลิง “เจ้ากล้าสาบานหรือไม่ว่าไม่ได้พูดเช่นนั้น? กล้าสาบานหรือไม่ว่าเจ้าไม่ตั้งใจ? แล้วเจ้ากล้าสาบานหรือไม่ว่าเจ้าไม่เคยคิดจะเอากั่วเจี่ยเอ๋อร์มาเป็นของตนเอง!”
ประโยคสุดท้ายนั้นจิ้งหลิงพูดอย่างกะทันหัน ทำให้ทุกคนตะลึงไปอย่างเห็นได้ชัด พอได้สติกลับคืนมา ก็เบนสายตามองไปยังร่างของถาวจือโดยไม่ได้นัดหมาย
ถาวจือมีท่าทีเก้ๆ กังๆ นางถลึงตามองจิ้งหลิง “เจ้าพูดเช่นนี้หมายความว่าอะไร? ตอนแรกข้าเคยคิดว่า เพราะว่าเคยได้ร่วมทุกข์สุขกับหงฉวีมาก่อน หากช่วยนางเลี้ยงกั่วเจี่ยเอ๋อร์ จะได้ทำให้นางไปอย่างสงบ แต่หลังจากนั้นกั่วเจี่ยเอ๋อร์อยู่กับเจ้า แล้วข้าเคยพูดอะไรหรืออย่างไร?”
ถาวจือสารภาพอย่างเปิดเผย เป็นธรรมชาติ ทำให้คนอื่นไม่รู้ว่าจะพูดอะไรต่อ
ถาวจวินหลันเห็นว่าจิ้งหลิงยังคิดจะพูดต่อ จึงรีบพูดว่า “เอาเถิด พอได้แล้ว!” หากทะเลาะกันต่อไป ก็ไม่รู้ว่าจะไปสิ้นสุดที่ตรงไหน
แม้ว่าจิ้งหลิงจะหงุดหงิด แต่อย่างไรก็ถือว่าไว้หน้านาง ดังนั้นจึงไม่ได้พูดอะไรอีก
ถาวจวินหลันมองไปยังถาวจือ พลางมองไปที่จิ้งหลิงอีกครั้ง “ถาวจือ ในเมื่อเจ้าคิดจะหยอกล้อกั่วเจี่ยเอ๋อร์ ก็ควรไตร่ตรองดูก่อนว่าจะทำให้ร่างกายบาดเจ็บหรือไม่ ส่วนจิ้งหลิง วิธีของเจ้าก็มากเกินไปหน่อย ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป พวกเจ้าทั้งสองคนปิดประตูกักบริเวณหนึ่งเดือน! แล้วก็คัดบทสวดชำระจิตใจอีกสิบบท!” บทสวดชำระจิตใจนทำให้พวกนางทั้งสองคนสามารถชำระจิตใจให้บริสุทธิ์ ลบล้างความไม่พอใจเหล่านั้นออกไปได้
หยุดไปครู่หนึ่ง ถาวจวินหลันก็พูดอีกว่า “ต่อจากนี้ไป หากมีเรื่องเช่นนี้อีก จะไม่ใช่แค่ปิดประตูกักบริเวณและคัดบทสวดชำระจิตใจง่ายๆ เช่นนี้แล้ว! พวกเจ้าคิดทำเรื่องไม่ดี ทางที่ดีก็เก็บไปให้หมด! มิเช่นนั้นพอชายาเอกคนใหม่เข้ามาในจวน พวกเจ้ายังไม่มีมารยาทเช่นนี้ อย่ามาโทษว่าข้าไม่ได้เตือนพวกเจ้า!”
สิ้นเสียง ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์นั้นก็มีท่าทีตื่นตะลึง แต่ถาวจวินหลันไม่พูดอะไรอีก เพราะคิดว่าอีกเดี๋ยวฉินซื่อก็จะมาถึงแล้ว ดังนั้นนางจึงพูดว่า “แยกย้ายเถิด”
จิ้งหลิงต้องเดินไปทางเดียวกับถาวจวินหลัน ดังนั้นจึงต้องเดินตามหลังไป
เมื่อเดินไปครู่หนึ่ง ถาวจวินหลันก็เหลือบมองจิ้งหลิงนิ่ง พลางพูดว่า “ฝีมือของเจ้าแต่ก่อนเล่า? ทำไมตอนนี้ถึงไม่เหลือแม้แต่น้อย? ถาวจือยั่วโมโหเจ้า จนเจ้ายังทำเรื่องอย่างนี้อีก คนอื่นจะมองเจ้าอย่างไร? ข้าเพียงแค่ให้เจ้าช่วยเลี้ยงดูกั่วเจี่ยเอ๋อร์เท่านั้น แต่ยังไม่ได้มอบให้อยู่ใต้ชื่อของเจ้า หากเจ้าเป็นเช่นนี้ต่อไป จะต้องมีสักวันที่ปกป้องกั่วเจี่ยเอ๋อร์เอาไว้ไม่ได้”
จิ้งหลิงจะเอ่ยปากพูด แต่กลับไม่มีเสียงดังออกมา ต้องก้มหน้าลงไปอีกครั้งอย่างพ่ายแพ้ แต่มือที่อยู่ใต้แขนเสื้อกลับกำเข้าหากันแน่น
“แม้ว่ากั่วเจี่ยเอ๋อร์จะเกิดจากอนุภรรยา แต่ก็เป็นบุตรสาวคนโตของท่านอ๋อง หากเจ้าไม่เหมาะสมที่จะเลี้ยงนาง ต่อให้ท่านอ๋องจะเห็นความสัมพันธ์ในวันวาน ก็ไม่มีทางให้เจ้าเลี้ยงดูนางอีก เจ้าจำเรื่องนี้เอาไว้ให้แม่น” ถาวจวินหลันมองจิ้งหลิงที่มีท่าทีเช่นนี้นิ่ง ถอนหายใจ พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนลงสองส่วน “อีกอย่าง กลับไปข้าจะให้คนเอายาทาแผลเป็นมาให้ขวดหนึ่ง กั่วเจี่ยเอ๋อร์ใช้ เจ้าเองก็ใช้ด้วย มือของเจ้าถูกข่วนจนเลือดออกแล้ว”
จิ้งหลิงซ่อนมือข้างที่ได้รับบาดเจ็บเอาไว้ เกรงว่าบ่าวรับใช้ของนางคงไม่สังเกตเห็น คิดไม่ถึงว่าถาวจวินหลันจะสังเกตเห็น จิ้งหลิงพลันรู้สึกน้อยใจทันที
“เอาเถิด ข้ารู้นิสัยของเจ้า ข้าเองก็รู้ว่าเจ้าใส่ใจกั่วเจี่ยเอ๋อร์ แต่เจ้าไม่อาจบุ่มบ่ามเช่นนี้ได้อีกแล้ว” ถาวจวินหลันมองจิ้งหลิงที่มีท่าทีสงบนิ่งลง รู้ว่าในใจของนางคงรู้สึกไม่ดีนัก จึงเอ่ยปลอบเสียงอ่อนโยน แล้วปล่อยไป
พอแยกกับจิ้งหลิงแล้ว ถาวจวินหลันก็ถอนหายใจพลางพูดกับปี้เจียวว่า “เจ้าดูซี ก่อนหน้านี้จิ้งหลิงเป็นเช่นไร? แค่เพื่อกั่วเจี่ยเอ๋อร์ นางถึงได้แสดงความโมโหออกมา น่าสงสารหัวใจคนเป็นแม่เสียจริง” หากฐานะของจิ้งหลิงสูงเสียหน่อย ก็ยังถือไพ่ดีกว่าเล็กน้อย นางอาจช่วยให้หลี่เย่มอบกั่วเจี่ยเอ๋อร์ไปเลี้ยงไว้ใต้ชื่อของนางอย่างถูกต้อง แต่น่าเสียดาย…
ปี้เจียวก็ถอนหายใจตาม “พวกเขาทะเลาะกันทำให้ชายารองลำบากแล้วเจ้าค่ะ”
ถาวจวินหลันตะลึงไป จากนั้นก็หัวเราะขมขื่น “ไม่มีทาง ใครใช้ข้านั่งอยู่ตำแหน่งนี้เล่า หากเป็นคนอื่นก็คงเหมือนกัน”
พอกลับมายังเรือนเฉินเซียงพักผ่อนจนหายใจอย่างสะดวกแล้ว คนเฝ้าประตูก็รายงานว่าฉินซื่อมาถึงแล้ว
ตอนที่หงหลัวเดินเข้ามาพร้อมฉินซื่อ ถาวจวินหลันก็เดินยิ้มเข้าไปต้อนรับ “ตอนนี้ยังต้องรบกวนให้เข้ามาด้วยตนเอง ช่างน่าระอาเสียจริง”
ฉินซื่อยิ้มอย่างอ่อนโยน “ทำให้ชายารองถาวหายเบื่อได้ ก็ถือเป็นโชคดีของข้าเจ้าค่ะ”
ถาวจวินหลันเชิญให้ฉินซื่อนั่ง และให้คนยกชาเข้ามา แล้วถึงได้เอ่ยปากพูดว่า “วันนี้ตอนแรกคิดจะเชิญเจ้ามาตอนเช้า แต่คิดไม่ถึงว่าจู่ๆ ฮูหยินชราของจวนเหิงกั๋วโหวจะเสียชีวิต ข้าเป็นสตรีของจวนเพ่ยหยางโหว แม้ว่าจะเป็นบุตรสาวบุญธรรม แต่ก็ต้องไปกราบไหว้ด้วยตนเอง ถึงได้ล่าช้ามาจนถึงตอนนี้”
หยุดไปครู่หนึ่งนางก็ถอนหายใจอีกครั้ง พลางพูดว่า “พูดไปแล้วก็น่าสงสาร ฮูหยินเฒ่ากับคุณชายสามจากไปกะทันหันเช่นนี้ ไม่รู้ว่าจวนเหิงกั๋วโหวจะเป็นอย่างไรบ้าง?”
ดวงตาของฉินซื่อเป็นประกาย รอยยิ้มอ่อนโยนกว่าเดิม “อาจด้วยทำผิดต่อองค์เทพ”
ถาวจวินหลันอดหัวเราะไม่ได้ “เป็นเช่นนั้นหรือไม่ก็ไม่แน่” สุดท้ายแล้วทำผิดต่อองค์เทพจริงหรือไม่นางไม่รู้ แต่ทำผิดต่อหลี่เย่เป็นเรื่องจริง
“ได้ยินว่าเกี่ยวข้องกับเฝินหยางโหวใช่หรือไม่? ไม่รู้ว่าฉินฮูหยินทราบข่าวลือนี้หรือไม่?” คนฉลาดไม่พูดคำอ้อมค้อม ดังนั้นถาวจวินหลันจึงถามอย่างโจ่งแจ้ง
ฉินฮูหยินก็เป็นคนตรงไปตรงมา จึงพยักหน้าโดยไม่มีสีหน้าลังเลแม้แต่น้อย “เกิดเรื่องนั้นขึ้นจริง เป็นเรื่องที่เฝินหยางโหวก่อขึ้นมา ถ้าไม่ใช่เฝินหยางโหวก็คงไม่เป็นเช่นนี้แล้ว ตอนนี้เฝินหยางโหวเองก็กำลังโศกเศร้าอยู่ เรียกสามีของข้าไปสั่งสอนอย่างหนักรอบหนึ่ง แล้วยังลงแส้อีกด้วย ตอนนี้สามีของข้ายังต้องนอนพักรักษาตัวอยู่ที่บ้าน ไม่รู้ว่าเมื่อไรจะดีขึ้น”
ขณะที่พูด หว่างคิ้วของฉินฮูหยินก็เต็มไปด้วยความกลัดกลุ้ม เห็นได้ชัดว่าเป็นกังวลจริง
ถาวจวินหลันได้ยินเช่นนั้นก็ตกใจเล็กน้อย “ลงแส้หรือ?” นี่…เฝินหยางโหวเป็นคนไร้สมองจริงๆ หรืออย่างไร?