บัลลังก์พญาหงส์ - บทที่ 483 คนใหม่
ถาวจวินหลันมีใจคิดจะพูดกับหลี่เย่ดีๆ แต่หลังจากนั้นสองสามวันก็หาโอกาสเหมาะไม่ได้ อีกอย่างเห็นท่าทีของหลี่เย่เป็นปกติ นางเองก็อดสงสัยไม่ได้ หรือว่านางเดาผิดไป?
แม้ว่าจะยังไม่ได้พูดคุย แต่นางเองก็ยังบอกเรื่องขององค์รัชทายาทกับอี๋เฟย และเรื่องแมวดาวแลกองค์รัชทายาทที่หยวนฉงหวาพูดให้หลี่เย่ฟัง
หลี่เย่แปลกใจเล็กน้อย “แมวดาวแลกองค์รัชทายาท?”
ถาวจวินหลันสัมผัสได้ถึงความผิดปกติทันที จึงขมวดคิ้วถามกลับว่า “ท่านรู้เรื่ององค์รัชทายาทและอี๋เฟยอยู่แล้วหรือเพคะ?”
“อืม” หลี่เย่ตอบรับเสียงเบา แล้วถาวจวินหลันก็ไม่สบายใจทันที นางอดก้มหน้าลงไปไม่ได้ พูดเสียงเบาว่า “ทำไมท่านไม่บอกข้าเล่า?”
หลี่เย่ตะลึงไป แล้วก็ส่ายหัว “เรื่องนี้ไม่มีหลักฐาน เป็นแค่การคาดเดาของข้าเองเท่านั้น อีกอย่างเจ้าก็มีเรื่องต้องทำมากมาย บอกเจ้าไปก็ยิ่งทำให้เจ้าปวดหัวมากกว่าเดิมเท่านั้น”
ถาวจวินหลันเงยหน้ามองหลี่เย่ “ท่านทราบเรื่องนี้มานานแล้วหรือยังเจ้าคะ?” แม้นคำอธิบายของหลี่เย่จะธรรมดาและน่าเชื่อถือ แต่นางก็ยังรู้สึกไม่สบายใจอยู่ดี
“ที่จริงแล้วก็เพิ่งรู้ไม่กี่วันก่อน ก่อนหน้าเจ้าเพียงไม่กี่วันเท่านั้นเอง?” หลี่เย่ยิ้มบางๆ พลางตบมือของถาวจวินหลันเบาๆ “เอาเถิด ไม่พูดเรื่องเหล่านี้แล้ว ไม่ว่าองค์รัชทายาทจะเป็นอย่างไร อี๋เฟยจะเป็นอย่างไร พวกเราก็สนใจแค่การใช้ชีวิตของตนเองก็พอแล้ว”
เมื่อพูดมาจนถึงตอนนี้แล้ว ถาวจวินหลันย่อมไม่อาจพูดอะไรต่อได้ จึงส่งเสียงรับคำเบาๆ
หลี่เย่ก็ไม่ได้พูดอะไรอีก แต่กลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าออกจากจวน หลายวันมานี้เขาออกไปแต่เช้ากลับเข้ามาดึก เวลาอยู่ในจวนไม่ได้เยอะ เวลาพูดคุยเหมือนวันนี้ถือว่าหาได้ยาก
พอหลี่เย่ออกไปแล้ว ถาวจวินหลันก็ถอนหายใจ ยังคงรู้สึกว่ามีอะไรผิดปกติ แม้ว่าหลี่เย่จะปฏิบัติกับนางเช่นเดิม แต่นางก็ยังรู้สึกว่าหลี่เย่มีท่าทีห่างเหินอยู่บ้างเล็กน้อย
หรือว่า…เขาเปลี่ยนใจแล้ว? ความคิดนี้ปรากฏขึ้นมา ถาวจวินหลันตื่นตกใจ แล้วก็รู้สึกว่าน่าขัน นี่จะเป็นไปได้อย่างไร? บางทีหลี่เย่อาจจะยุ่งมากก็ได้
ตอนที่ถาวจวินหลันคาดเดาเลอะเทอะอยู่ ทางด้านพระชายาองค์รัชทายาทก็เรียกน้องสาวของตนเข้าวังหลวง ขอให้ฮองเฮาตัดสิน เอาคุณหนูสามมาเป็นชายารองให้องค์รัชทายาท
จากนั้นพระชายาองค์รัชทายาทก็ช่วยจัดห้องเลือกเรือนให้กับน้องสาวคนที่สามหรือว่าเสี่ยวหวังซื่อด้วย ไม่รู้ว่าเป็นเพราะความสัมพันธ์พี่น้องลึกซึ้งจริงหรือไม่ เรือนของเสี่ยวหวังซื่อจึงอยู่ข้างกับเรือนหลัก เป็นห้องที่อยู่ติดกันกับห้องของพระชายาองค์รัชทายาทเอง ซึ่งหมายความว่าองค์รัชทายาทออกมาจากทางพระชายาองค์รัชทายาทแล้ว เดินอีกสิบกว่าก้าวก็มองเห็นเรือนของเสี่ยวหวังซื่อได้
การกระทำนี้ของพระชายาองค์รัชทายาททำให้คนคิดชื่นชมสรรเสริญ พระชายาองค์รัชทายาทไม่ยินยอมให้น้องสาวของตนอยู่กับเฝินหยางโหว ถึงได้จงใจทำเช่นนี้ รักและเอ็นดูน้องมากเพียงใดกัน? และพี่น้องทั้งสองคนก็คอยปรนนิบัตรองค์รัชทายาท ก็ยังดีกว่าหญิงมากหน้าหลายตา ยังพูดคุยกันได้ด้วยดีมากกว่า อีกอย่างนี่ก็เป็นความใจกว้างของพระชายาองค์รัชทายาท ยอมคิดถึงเลือดเนื้อเชื้อไขขององค์รัชทายาทมากกว่า
แต่ลับหลัง ทุกคนก็อดพูดไม่ได้ว่า พระชายาองค์รัชทายาทกำลังปกป้องตำแหน่งของตระกูลหวังอยู่ อย่างไรองค์รัชทายาทก็ไม่มีลูกชายจากภรรยาเอก แม้แต่ที่เกิดจากอนุภรรยาแม้แต่คนเดียวก็ไม่มี พระชายาองค์รัชทายาทรับน้องสาวของตนเองเข้าไป นี่ไม่ได้เป็นการแสดงออกว่าอยากให้ตระกูลหวังให้กำเนิดสายเลือดขององค์รัชทายาทหรืออย่างไร? องค์รัชทายาทเป็นใครกัน องค์รัชทายาทเป็นคนที่จะได้ขึ้นเป็นฮ่องเต้ในอนาคต หากเป็นลูกชายคนโตขององค์รัชทายาท ไม่ว่าจะออกมาจากท้องของพระชายาองค์รัชทายาทหรือออกมาจากท้องของเสี่ยวหวังซื่อ ต่อจากนี้ไปตำแหน่งของตระกูลหวังจวนเหิงกั๋วโหวก็ไม่มีใครสั่นคลอนได้มิใช่หรือ?
หลังจากถาวจวินหลันรู้เรื่องนี้แล้ว นางคิดว่าไทเฮาไม่น่าจะทนอีกแล้ว พระชายาองค์รัชทายาทเริ่มมีชื่อเสียง ไทเฮาเองก็น่าจะเริ่มเพิ่มคนเข้ามาในจวนตวนชินอ๋องแล้วเช่นเดียวกัน
เมื่อเทียบกับฮองเฮาที่ให้โอกาสพระชายาองค์รัชทายาทสร้างชื่อเสียงดีๆ ไทเฮาคงไม่ให้โอกาสนี้กับนางอย่างแน่นอน ไทเฮาเพียงแค่ให้นางจัดเก็บห้องให้เรียบร้อย เพื่อรอรับคนใหม่เข้าไปในเรือน
อีกทั้งฮองเฮายังคำนึงถึงความรู้สึกของพระชายาองค์รัชทายาท แต่ไทเฮากลับไม่คิดถึงใจนางเลย
ถาวจวินหลันเตรียมจิตใจให้พร้อม นางรู้ดีว่าต่อให้นางขัดขืนไปก็ไร้ประโยชน์ ไม่พอใจก็ไร้ประโยชน์ ถ้าจะไม่พอใจ ไม่สู้แสดงท่าทีละเลยดีกว่า อย่างน้อยเมื่อเป็นเช่นนี้นางอาจจะมีชื่อเสียงดีๆ เหลืออยู่บ้าง
เป็นอย่างที่คาดเอาไว้ วันนี้มีคนตรงมาที่จวนตวนชินอ๋องเพื่อมาแจ้งเรื่องนี้กับนางโดยตรง “ไทเฮากำหนดให้คุณหนูกู้จากจวนอันหย่วนโหวเป็นชายารองของตวนชินอ๋อง ชายารองถาวโปรดจัดเก็บเรือนให้เร็วที่สุด ไทเฮาตรัสว่าคุณหนูกู้บอบบาง ไม่อาจละเลยได้เจ้าค่ะ”
ถาวจวินหลันได้ยินเช่นนั้นก็หัวเราะขมขื่นอยู่ครู่หนึ่ง บอบบาง ไม่อาจละเลยได้ นั่นหมายความว่าให้นางเคารพกู้ซี นี่ยังไม่ทันได้เข้าประตูมาก็ข้ามหัวนางมากขนาดนี้แล้ว
แค่ต่อให้เป็นเช่นนี้แล้วอย่างไร? ถาวจวินหลันก็ทำได้แค่ยิ้มรับคำสั่งของไทเฮาเท่านั้น
หลังจากนั้นนางย่อมต้องให้คนไปเก็บกวาดเรือน ที่จริงแล้วเรือนเฉินเซียงไม่ได้มีตำแหน่งดีมากในจวน แม้จะห่างจากด้านหน้าไม่มาก แต่กลับห่างจากเรือนอื่นๆ ค่อนข้างไกล พูดให้น่าฟังก็คือสงบเงียบ พูดให้ไม่น่าฟังก็คือห่างไกล ตอนแรกที่ชอบใจเรือนนี้ก็เพราะถาวจวินหลันไม่ยินยอมให้หลี่เย่อยู่ใกล้กับอนุภรรยาคนอื่นมากเกินไป
แม้จะบอกว่าแท้จริงแล้วอาศัยอยู่ภายในเรือนเขตเดียวกันหมด แต่สุดท้ายแล้วก็รู้สึกดีขึ้นมาหน่อยมิใช่หรือ?
อีกอย่างครั้งนี้นางเองก็ได้รับประโยชน์ ไม่ว่ากู้ซีจะอาศัยอยู่ที่ใด ก็ไม่ใกล้กับนางทั้งนั้น
สุดท้ายแล้วถาวจวินหลันก็เลือกเรือนที่อยู่ไม่ไกลจากเจียงอวี้เหลียนมากนัก อีกทั้งยังอยู่ใกล้กับเรือนหลัก เรือนนี้ใหญ่ วิวทิวทัศน์ก็ดี ถึงอย่างไรจะละเลยที่อยู่ของกู้ซีก็ไม่ดีนัก
จากนั้นนางก็สั่งให้คนไปเก็บกวาดเรือน
ทางด้านนี้เพิ่งเข้ามา เจียงอวี้เหลียนเมื่อถึงเวลาเดินเล่นยามบ่ายก็เข้ามา เจียงอวี้เหลียนยามนี้มีร่างกายอ่อนแอ เวลาเดินก้าวหนึ่งก็ต้องให้คนคอยประคอง แต่อย่างน้อยก็ยังไม่ถึงแก่ชีวิต
ถาวจวินหลันเห็นท่าทีลำบากเช่นนั้นของเจียงอวี้เหลียน ก็อดขมวดคิ้วไม่ได้ “ร่างกายเป็นเช่นนี้แล้วเจ้าจะมาด้วยตนเองอีกทำไม? มีอะไรอยากถามอยากพูด ก็ให้บ่าวรับใช้มาพูดแทนซี”
เจียงอวี้เหลียนเป็นประเภทไม่มีเรื่องเดือดร้อนก็จะไม่มาหา เรื่องนี้นางรู้ดีแก่ใจ
เจียงอวี้เหลียนหัวเราะเบาๆ นั่งลงบนเก้าอี้ เลียริมฝีปาก ไออยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็ค่อยๆ พูดว่า “ดูท่าทางชายารองถาวคงจะคาดเดาได้แล้วว่าข้ามาทำไม”
ถาวจวินหลันนิ่งคิดไปครู่หนึ่ง ยิ้มบางๆ “เพราะเรื่องที่ข้าให้คนเก็บกวาดเรือนอย่างนั้นหรือ? เจ้าเดาไม่ผิดหรอก จวนของพวกเราจะมีคนใหม่เข้ามาแล้ว เป็นกู้ซีญาติผู้น้องของท่านอ๋องที่เคยมาสองสามครั้งก่อนหน้านี้ และเป็นคนที่ไทเฮาเลือกด้วยตนเอง ช้าย่อมไม่กล้าละเลยเป็นแน่”
เจียงอวี้เหลียนนิ่งอยู่ในภวังค์ไปครู่หนึ่ง ก่อนถอนหายใจ จู่ๆ ก็พูดว่า “แค่ชายารองคนเดียวยังมีอำนาจบาตรใหญ่เช่นนี้ แล้วฐานะชายาเอกในอนาคตเล่า? พูดตามตรงแล้ว ข้ากลับหวังให้เจ้าเป็นชายาเอก”
ไม่รู้ว่าเจียงอวี้เหลียนพูดจากใจจริงหรือว่ามีประสงค์ร้าย แต่ไม่ว่าจะเป็นแบบไหนก็ดี ถาวจวินหลันก็ไม่เก็บมาใส่ใจ จึงแย้มยิ้มกล่าว “อย่าเอาข้าไปเปรียบเลย ข้ามีคุณสมบัติเป็นพระชายาที่ใดกัน?”
เจียงอวี้เหลียนหัวเราะ ท่าทีเหมือนอย่ามาล้อเล่น “นอกจากเจ้าเกรงว่าในจวนของพวกเราคงไม่มีคนไหนครองตำแหน่งชายาเอกได้อีกแล้ว หรือว่าเจ้าไม่คิดเช่นนี้?”
ถาวจวินหลันส่ายหน้า “คนต้องรู้จักพอ”
เจียงอวี้เหลียนเก็บรอยยิ้มอย่างหงุดหงิดเล็กน้อย แล้วพูดตรงๆ ขวนผ่าซาก “พูดตามจริงแล้ว หรือว่าเจ้าอยากให้กู้ซีคนนั้นเข้ามาในจวนหรือ? นางอายุน้อยรูปงาม และยังเป็นเครือญาติกับท่านอ๋อง ที่สำคัญที่สุดก็คือไทเฮาต้องลำเอียงไปทางนาง เจ้าคิดว่าหลังจากนี้ยังจะมีที่ยืนให้เจ้าอีกหรือ?”
เจียงอวี้เหลียนพูดสิ่งที่นางคาดเดาออกมาหมด เห็นได้ชัดว่า เจียงอวี้เหลียนสัมผัสได้ถึงอันตราย รู้สึกว่าไม่ควรให้กู้ซีเข้าจวนมา
ถาวจวินหลันหัวเราะเยาะ ถามเจียงอวี้เหลียนกลับว่า “ใครจะเปลี่ยนแปลงคำสั่งของไทเฮาได้? ตอนนี้ภายในจวนของพวกเรามีแค่ไม่กี่คนเท่านั้น มีใครไม่คิดบ้างว่าเราต้องเพิ่มจำนวนคน? แม้จะไม่ยินยอม แต่เจ้าคิดว่ามีประโยชน์อะไร?”
เจียงอวี้เหลียนย่อมไม่มีแรงต่อต้าน ใบหน้าดำคล้ำไม่พูดจา
“ข้าไม่มีความสามารถนั้น ดังนั้นจึงได้แต่ทำตามคำสั่งของไทเฮาเท่านั้น” ถาวจวินหลันเลิกคิ้ว หลังจากหยุดไปครู่หนึ่งก็พูดต่อไป “ร่างกายของเจ้าเป็นอย่างนี้แล้วยังจะแย่งอะไรได้อีก? ช่วงชิงชีวิตกลับมาได้ เจ้าก็ต้องรู้จักพอได้แล้ว”
ที่เตือนเจียงอวี้เหลียนเช่นนี้ก็ด้วยนางรู้ดีแก่ใจ หากเจียงอวี้เหลียนหาเรื่องให้กู้ซีเดือดร้อนหลังจากกู้ซีเข้ามาในเรือนแล้ว ไทเฮาต้องยิ่งไม่ชอบนางและกล่าวโทษนางมากขึ้น
อีกทั้งยังทำให้ครอบครัวไม่มั่นคง ไม่ว่าอย่างไร นางก็ไม่ยินยอมให้เกิดสถานการณ์เช่นนั้นขึ้น ไม่ให้ใครมารั้งขาหลี่เย่เอาไว้อีก
เจียงอวี้เหลียนลุกขึ้นช้าๆ เดินออกไปด้วยโทสะ ก่อนเดินออกไปยังทิ้งคำท้ายไว้ “เจ้าก็รอดูเถิด”
แต่ไม่รู้ว่าเจียงอวี้เหลียนให้นางรอดูกูซีกดหัวพวกนาง หรือให้นางดูอะไร ถาวจวินหลันส่ายหน้าเบาๆ รู้สึกว่าเจียงอวี้เหลียนใจร้อนเกินไป มีเซิ่นเอ๋อร์แล้วต้องกังวลทำไมอีก? ต่อให้หลี่เย่หมดรัก พวกนางก็ยังมีลูกอยู่ข้างกาย ไม่มีทางเลวร้ายอย่างแน่นอน
อีกอย่างถ้าจะพูดว่าหลี่เย่จะเปลี่ยนไปรักคนอื่น นางก็ไม่มีทางเชื่อ แต่เมื่อคิดท่าทีของหลี่เย่หลายวันมานี้ นางก็เริ่มหวั่นใจ
แต่แม้ว่าจะรู้สึกไม่ปลอดภัย แต่เพียงไม่นานก็กลับมาเป็นปกติ นางเชื่อว่าหลี่เย่ไม่ใช่คนที่ได้ใหม่ลืมเก่า
จัดเก็บเรือนให้เรียบร้อย การตกแต่งห้องใช้เวลากว่าสิบวันเต็มๆ ถาวจวินหลันฉวยโอกาสตอนที่เข้าไปทำความเคารพไทเฮาพูดเรื่องนี้
ไทเฮาดูพอใจมาก “ในเมื่อจัดเตรียมพร้อมแล้ว ข้าก็จะให้เจ้าซีย้ายเข้าไป”
ถาวจวินหลันก้มหน้านิ่งหลบสายตา “เพคะ” จะช้าเร็วก็ต้องย้ายมา นางก็ทำใจไว้แล้ว ดังนั้นสีหน้าจึงยังคงสงบนิ่งอยู่
“เย่เอ๋อร์ยังไม่รู้เรื่องนี้ใช่หรือไม่?” จู่ๆ ไทเฮาก็ถาม
ถาวจวินหลันเงยหน้ามองไทเฮาด้วยท่าทีแปลกใจ “ท่านอ๋องไม่รู้เรื่องนี้หรือเพคะ?” หยุดไปครู่หนึ่งก็ตั้งสติได้ว่าไทเฮากำลังถามตนเองอยู่ จึงได้ถามขึ้นอีกว่า “หม่อมฉันไม่เคยพูดเรื่องนี้กับท่านอ๋องเพคะ หลายวันมานี้ท่านอ๋องยุ่ง ไม่ค่อยได้อยู่ในจวนนัก”
ไทเฮาพยักหน้า “แต่ก็ไม่รู้ว่าในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว เจ้าหมายความว่าเพราะเจ้าคิดว่าคนใจจวนของเจ้าน้อย เลยตั้งใจมาขอข้าให้เอาเจ้าซีเข้าไปในจวนภายในเร็ววันใช่หรือไม่”