บัลลังก์พญาหงส์ - บทที่ 501 ประโยชน์
ถาวจวินหลันย่อมเล่าการคาดเดาของอิงผินเล่าให้หลี่เย่ฟัง
หลี่เย่กลับให้ความสำคัญกับการคาดเดานี้มาก ขมวดคิ้วคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็พูดกับถาวจวินหลันว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้พวกเราก็รั้งทัพรอจังหวะบุกโจมตีเถิด หากเรื่องนี้เป็นจริง คิดว่าคงเป็นการทดสอบของเสด็จพ่อเป็นแน่”
คนแก่แล้ว ความสงสัยก็ยิ่งเยอะมากขึ้น เรื่องนี้สะท้อนจากตัวของฮ่องเต้ ดังนั้นหลี่เย่จึงคิดว่าการคาดเดาของอิงผินมีความเป็นไปได้สูงมาก
ถาวจวินหลันพยักหน้า “ที่จริงแล้วพรุ่งนี้ไม่ว่าอย่างไรหมอที่พวกเราหามาก็จะต้องเข้าวังหลวงไปตรวจอาการให้ไทเฮา ก็สามารถใช้โอกาสนี้เข้าไปทำให้ชัดแจ้งได้เจ้าค่ะ” ฟื้นแล้ว แล้วแสร้งทำเป็นไม่ฟื้นหรือไม่ หมอตรวจเพียงครู่เดียวก็รู้แล้ว
หลังจากปรึกษาเรื่องเหล่านี้จบลง สองสามีภรรยาก็ทานอาหารค่ำเสร็จ อยู่เล่นกับเด็กๆ อีกครู่หนึ่งแล้วถึงได้ไปนอน
วันรุ่งขึ้นถาวจวินหลันก็พาหมอทั้งสองคนเข้าไปในวังหลวง มีป้ายห้อยของไทเฮานางย่อมต้องผ่านเข้าไปได้อย่างง่ายดาย
ทางด้านไทเฮานั้นก็เตรียมพร้อมไว้นานแล้ว นางเพิ่งเข้าไปในวังหย่งโซ่ว หมอก็ถูกพาไปตรวจเบื้องหน้าไทเฮาในทันใด เห็นสถานการณ์เช่นนี้ถาวจวินหลันก็คิดในใจว่า ที่จริงแล้วไทเฮาไม่ได้แสดงออกว่ารีบร้อนเท่าไรนัก แต่ในใจนั้นไม่รีบร้อนจริงหรือ อย่างไรมีใครบ้างที่ยินยอมใช้ชีวิตเช่นนี้? แต่เพราะเป็นไทเฮาและเกิดสถานการณ์เช่นนี้ ไทเฮาย่อมไม่กล้าแสดงท่าทีอื่นออกมาแม้แต่น้อย ทำได้เพียงคล้อยตามสงบนิ่ง
พูดตามจริงแล้วเป็นไทเฮาไม่ได้ง่าย ถ้าหากเป็นนาง นางคงทำได้ไม่ดีเท่าไทเฮาเป็นแน่
ตอนที่ตรวจนั้นไม่เพียงแค่ถาวจวินหลันที่ตื่นเต้น แม้แต่ไทเฮาเองก็ตื่นเต้นอยู่บ้าง มองดูหมออยู่ตลอดเวลา มีท่าทีคาดหวังอยู่หลายส่วน
หมอหลวงคนนั้นรู้ฐานะของไทเฮา แม้จะบอกว่ายังรักษาความสงบนิ่งบนใบหน้าไว้ได้ แต่ในความเป็นจริงแล้วเขาเองก็ตื่นเต้นเช่นเดียวกัน ดูจากเหงื่อที่ไหลออกมาตรงหน้าผากก็รู้ได้
“ไทเฮาเป็นอัมพฤกษ์พ่ะย่ะค่ะ” หมอเก็บมือกลับมา แล้วรายงานเสียงเบา ไม่กล้าล่าช้าแม้แต่น้อย เพียงแค่พูดสั้นๆ ง่ายๆ “ตอนนี้อาการของไทเฮาอยู่ในขั้นรุนแรง ถ้าไม่ฝังเข็มและทานยาไปพร้อมกัน เกรงว่าจะกลับมาเป็นเหมือนเดิมไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ”
ถาวจวินหลันเตรียมใจมานานแล้ว แต่เมื่อได้ยินเช่นนี้ก็ยังอดผิดหวังไม่ได้
ไทเฮากลับไม่แสดงท่าทีผิดปกติ ถามแค่ว่า “สามารถหายดีได้เหมือนเดิมกี่ส่วน?”
“อย่างมากสามส่วนพ่ะย่ะค่ะ ในตอนนี้ร่างกายของไทเฮาตั้งแต่คอลงมาไม่สามารถขยับได้ หลังจากหายแล้วขาทั้งสองข้างอาจจะขยับไม่ได้อีก หรือบางทีก็อาจจะขยับท่อนล่างไม่ได้เลยพ่ะย่ะค่ะ” หมอตอบด้วยท่าทีหวาดหวั่น เกรงกลัวว่าไทเฮาจะลงโทษตนเอง
ไทเฮาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “เช่นนั้นก็ไม่เลว” หมอภายในวังหลวงนั้นไม่กล้ารับประกัน เพียงแค่พูดว่าจะค่อยๆ หาย แต่หายถึงระดับใดกลับไม่ยอมพูดออกมา
“เจ้าพักอาศัยชั่วคราวอยู่ที่กรมหมอหลวงได้ ยาและหนังสือภายในนั้นก็ใช้ได้ตามใจชอบ” ไทเฮาพูดออกมาช้าๆ โยนผลประโยชน์ที่ดีมากเช่นนี้ให้ ใบหน้าของหมอคนนั้นแสดงความยินดีออกมา แต่จากนั้นก็พูดทิ้งประโยคสุดท้ายเอาไว้ “แต่ถ้าข้าไม่หายดีถึงขั้นที่เจ้าพูดเอาไว้ ก็หมายความว่าเจ้าเป็นคนแสวงหาลาภยศ จุดจบนั้นไม่จำเป็นต้องให้ข้าพูด”
หมอตกใจจนเหงื่อไหลมากกว่าเดิม คิดไปมาก็ยืดหลังค้อมตัวลงต่ำ พูดว่า “กระหม่อมยินยอมลองพ่ะย่ะค่ะ! แต่ขอให้ไทเฮาใช้ยาของกระหม่อมเท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ”
ไทเฮาตกใจอยู่เล็กน้อย เลิกคิ้วขึ้นมาพลางหัวเราะเสียงดัง “อนุญาต!” ไม่พูดเรื่องอื่น เพียงความกล้านี้ก็น่าเชื่อถือแล้ว
หมอที่พามาทั้งสองคน ไทเฮานั้นรั้งเอาไว้เพียงคนเดียว อีกคนหนึ่งนั้นถาวจวินหลันครุ่นคิดอยู่ว่าจะส่งไปให้ตรวจฮ่องเต้ดีหรือไม่ ที่จริงแล้วในสองคนนี้ คนที่ไทเฮารั้งเอาไว้เป็นคนที่ถนัดด้านนี้ อีกอย่างเพราะนางรู้ว่าหมออีกคนสู้หมอคนนี้ไม่ได้ ดังนั้นจึงไม่ได้ให้ไปตรวจชีพจรไทเฮา
ไทเฮาเหมือนเดาความคิดของถาวจวินหลันได้ จึงหันไปหาหมออีกคนหนึ่ง พูดว่า “ทางด้านฮ่องเต้ไม่รู้ว่าเป็นเช่นไร ถาวซื่อ เจ้าพาพวกเขาไปตรวจฮ่องเต้หน่อยเถิด”
ถาวจวินหลันคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็พูดเสียงเบา “เกรงว่าจะไม่ได้เพคะ เมื่อวานนี้พวกเราไม่ได้พบฮ่องเต้ วันนี้ไปแล้วก็ใช่ว่าจะได้เข้าพบ ฮองเฮาเหนียงเหนียงคงจะไม่อนุญาต”
“นางกล้าหรือ” ไทเฮาหัวเราะเสียงเย็น “ข้าให้คนไปดูอาการป่วยของลูกข้า หากนางกล้าขวางเอาไว้ ก็ถือว่านางเป็นกบฏ”
ถาวจวินหลันหัวเราะขมขื่น ยังคงไม่พูดออกมา ร่างกายกลับไม่ขยับแม้แต่น้อย
ไทเฮาครุ่นคิด รู้ว่าฮองเฮากล้าต่อต้านจริง จึงพูดว่า “ให้คนเตรียมเกี้ยวนุ่ม ข้าจะไปด้วยตนเอง”
หมออู๋ที่ได้รับหน้าที่รักษาไทเฮา ก็ลุกขึ้นพลางยิ้มและพูดว่า “ที่จริงแล้วไทเฮาไม่เหมาะจะอยู่ในห้องตลอดเวลา ให้คนพาไปสูดอากาศเสียหน่อยก็ไม่เลวพ่ะย่ะค่ะ ส่งผลดีต่อร่างกาย ภายในห้องแม้จะอบอุ่น แต่ก็ทำให้คนรู้สึกง่วงงุนอยากนอน และเลือดลมจะเดินไม่สะดวกเพราะไม่ได้ขยับไปไหนพ่ะย่ะค่ะ”
หยุดไปครู่หนึ่ง หมอหลวงอู๋ก็พูดอีกว่า “และให้คนมานวดจุดชีพจรให้ไทเฮาทุกวัน ผลลัพธ์จะดียิ่งขึ้นพ่ะย่ะค่ะ”
ภายในวังหลวงนั้นมีคนที่ถนัดเรื่องนี้โดยเฉพาะ ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องยาก
ไทเฮาพยักหน้า พูดว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าเองก็ยิ่งต้องออกไปเดินเสียหน่อย” นางไม่เชื่อว่าถ้านางไปเอง ฮองเฮาจะยังกล้าขวางเอาไว้!
ฮองเฮาย่อมไม่กล้าขัดขวางอย่างแน่นอน ในความเป็นจริงแล้วตอนที่ฮองเฮาเห็นขบวนเสด็จของไทเฮา ก็ปิดบังสีหน้าตกใจไว้ไม่ได้ ฮองเฮาคิดว่าไทเฮาป่วยอยู่ในขั้นวิกฤติแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าพอมาดูอีกทีไทเฮานั้นกลับปรากฏตัวออกมาด้วยวิธีเช่นนี้
เมื่อยู่ในสายตาของหลายคน ต่อให้ฮองเฮาอยากพูดขวาง แต่ก็ต้องกลืนลงไป
คนเป็นแม่มาหาลูกชายของตนย่อมเป็นเรื่องถูกหลักตามทำนองคลองธรรม สำหรับหาหมอสองคนมาตรวจลูกชายนั้นก็เป็นเรื่องที่ปฏิเสธไม่ได้
ความเคลื่อนไหวด้านนอกส่งผลกระทบไปถึงข้างใน ขันทีเป่าฉวนรีบวิ่งออกมาในทันที เห็นว่าเป็นไทเฮาก็ตกใจมาก รีบทำความเคารพไทเฮาในทันใด
ไทเฮาส่ายหน้า “ลุกขึ้นเถิด เจ้ามาพูดให้ข้าฟังเสียหน่อยฮ่องเต้เป็นอย่างไรกันแน่”
“ฮ่องเต้ยังไม่ได้สติพ่ะย่ะค่ะ ไทเฮาเข้าไปดูเองเถิดพ่ะย่ะค่ะ” ขันทีเป่าฉวนหัวเราะขมขื่น แต่กลับไม่เอ่ยถึงคนอื่น ความหมายนั้นคือการที่เชิญไทเฮาเข้าไปเพียงคนเดียว
ถาวจวินหลันย่อมไม่คิดว่าตนเองนั้นสามารถเข้าไปได้ ในความเป็นจริงแล้วคนที่สำคัญที่สุดก็คือหมอ
ไทเฮาย่อมต้องเข้าใจความหมายของขันทีเป่าฉวน จึงพูดว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ให้หมอเข้าไปดูพร้อมข้าเถิด”
ขันทีเป่าฉวนมีท่าทีร้อนรน พูดว่า “หมอหลวงบอกว่าฮ่องเต้ต้องพักผ่อนอย่างสงบ ไทเฮาเข้าไปดูเถิดพ่ะย่ะค่ะ ไม่ต้องลำบากหมอคนอื่นแล้ว ตอนนี้มีหมอหลวงสิบกว่าคนคอยเฝ้าฮ่องเต้อยู่พ่ะย่ะค่ะ!”
ไทเฮาเข้าใจความหมายของขันทีเป่าฉวน และเดาได้ว่าเรื่องนี้จะต้องมีอะไรแอบแฝงเป็นแน่ แต่เพราะแบบนี้นางถึงได้นึกโมโห กล่าวว่าเสียงเย็น “เอาเถิด! ให้หมอเข้าไปดู! ในเมื่อมีสิบกว่าคนคอยเฝ้าอยู่แล้ว จะเพิ่มอีกสักสองคนก็ไม่เห็นเป็นอะไร!”
ถาวจวินหลันเลิกคิ้ว รู้อยู่แก่ใจว่าไทเฮาคงไม่ยอมให้ฮ่องเต้แกล้งทำอีกต่อไป ใช่แล้ว หากฮ่องเต้แกล้งสลบต่อไป ราชสำนักย่อมต้องเกิดความเปลี่ยนแปลงเป็นแน่ ต่อให้ฮ่องเต้มีความสงสัยในใจมากมายเพียงใด ไม่ควรเอาเรื่องทางการเข้ามาล้อเล่นไม่ใช่หรือ?
ไทเฮาโมโห ต่อให้เป็นขันทีเป่าฉวนก็ไม่กล้าพูดอีกต่อไป ทำได้แค่ปล่อยให้ไทเฮาเข้าไป
ไทเฮาเข้าไปไม่นาน ถาวจวินหลันก็ได้ยินเสียงเคลื่อนไหวเบาๆ ภายในห้อง แต่เพราะการเก็บเสียงภายในห้องนั้นมีผลดีมากเกินไป สุดท้ายแล้วเป็นเสียงอะไรก็ยังฟังไม่ออก
พอไทเฮาออกมาแล้ว ใบหน้ากลับสงบนิ่ง ถาวจวินหลันตั้งใจพิจารณามองสุดท้ายก็ยังคาดเดาอะไรไม่ออก
เพียงไม่นาน ขันทีเป่าฉวนก็ออกมาประกาศว่า “ฮ่องเต้ฟื้นแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ทุกอย่างเริ่มโกลาหลทันที คนที่มาจากที่อื่นทำได้ดีกว่า ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้อย่างนั้นหรือ? หมอหลวงสิบกว่าคนยังรักษาฮ่องเต้ให้หายดีไม่ได้ หมอที่มาจากด้านนอกเพิ่งมา ฮ่องเต้ก็ตื่นขึ้นมาทันที
ในตอนนี้ยังมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่คิดว่าฮ่องเต้แสร้งป่วย คนที่รู้ก็ได้แต่อมยิ้มไม่พูดอะไร
เหมือนกับตอนมา ไทเฮานำคนจำนวนหนึ่งจากไปอย่างรวดเร็ว ถาวจวินหลันก็ตามไทเฮาไป
แต่ก่อนที่ไทเฮาจากไปก็ทิ้งท้ายไว้เรื่องหนึ่ง “จวงผินเป็นสนมเก้า ควรมาปรนนิบัติฮ่องเต้ ฮองเฮาเจ้าไปจัดการเสีย”
ถาวจวินหลันได้ยินเช่นนี้ ก็มองไทเฮาวูบหนึ่ง เห็นได้ชัดว่าไทเฮากำลังปูทางเดินให้กับจวงผิน แม้ว่าเรื่องของจวงผินจะทำให้ไทเฮาเสียหน้า แต่อย่างไรแล้วก็ยังเป็นสายเลือดของตระกูลกู้ ไม่ว่าอย่างไรไทเฮาก็ยังตัดขาดไม่ลง
อย่างไรก็อยู่กับฮ่องเต้แล้ว หากจวงผินไม่ได้รับความโปรดปราน เช่นนั้นชีวิตที่เหลือจะทำเช่นไร? แม้ว่าตอนนี้จะมีลูกไม่ได้ แต่ได้รับความโปรดปรานก็ยังถือว่ามีชีวิตที่ดีอยู่เล็กน้อย
ฮองเอากลั้นลมหายใจเบาๆ จากนั้นก็ทำได้แค่ยิ้มรับ พร้อมส่งเสด็จไทเฮา
พอออกมาจากตำหนักไท่เหอ ถาวจวินหลันก็สังเกตเห็นเรื่องหนึ่ง นั่นก็คือสีหน้าของไทเฮาไม่ค่อยดีเท่าไรนัก
กลับมายังวังหย่งโซ่ว ถาวซินหลันก็ส่งสายตาให้ถาวจวินหลัน รีบให้นางขอตัวลาออกไป เพื่อเลี่ยงไม่ให้ไทเฮาอารมณ์เสีย เอานางมาเป็นเป้าระบายอารมณ์ ถาวจวินหลันย่อมไม่ยินยอมเป็นเป้านิ่งอย่างแน่นอน จึงรีบขอทูลลาออกจากวังหลวงไป
ตอนนี้อารมณ์ของนางกับตอนที่เข้าวังมาไม่เหมือนเดิม ตอนที่เข้าวังหลวงมา ในใจของนางเต็มไปด้วยความกังวล ตอนนี้นางมีแต่ความสบายใจ
ฮ่องเต้ฟื้นขึ้นมาแล้ว ทางด้านหลี่เย่คงไม่ต้องกลัวว่าจะต้องเผชิญหน้ากับพรรคพวกของฮองเฮาอีก ในเมื่อฮ่องเต้ไม่ได้มีอะไรน่าเป็นกังวลแล้ว ทั้งสองฝ่ายก็ยังคงรักษารูปแบบต่างฝ่ายต่างไม่ล้ำเส้นกัน มิเช่นนั้นหากต้องสู้กันจริงๆ เกรงว่าสุดท้ายต่อให้ชนะ ก็คงถูกฮ่องเต้หวาดระแวงเป็นแน่
แต่เรื่องครั้งนี้ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีประโยชน์เลยแม้แต่น้อย เรื่องเหล่านั้นที่ฮองเฮาทำฮ่องเต้ย่อมรู้ดีแก่ใจ ต่อจากนี้ไปคงจะต้องลงมือลดทอนอำนาจฮองเฮาอีกเป็นแน่ แล้วยังมีทางด้านตระกูลหวังอีก และคนสุดท้ายก็คือองค์รัชทายาท นางให้คนกระจายข่าวออกไป และส่งฎีกาปลดองค์รัชทายาท ฮ่องเต้เห็นแล้วยังไม่รู้ว่าจะจัดการอย่างไร?
แล้วยังมีจวงอ๋อง ครั้งนี้ดึงเอาจวงอ๋องลงน้ำมาด้วย ถือว่าเป็นการตีน้ำให้ขุ่น น้ำขุ่นจะจับปลาได้ดีขึ้น นี่ถือว่าดีที่สุดแล้ว
เมื่อคิดเช่นนี้จวนตวนชินอ๋องก็ไม่ได้รับความเสียหายเลยแม้แต่น้อย อย่างไรซะก็ได้รับผลประโยชน์ไม่น้อย ช่างทำให้คนรู้สึกดีใจเสียจริง
ถาวจวินหลันถึงขั้นคิดวางแผนในใจ มื้อเย็นวันนี้ให้ห้องครัวทำอาหารหลายอย่าง นางและหลี่เย่จะได้เฉลิมฉลองกันสักครั้ง แล้วยังมีซวนเอ๋อร์และหมิงจู หลายวันมานี้นางละเลยพวกเขาทั้งสองคน ในตอนนี้จึงต้องชดเชยให้เสียหน่อย