บัลลังก์พญาหงส์ - บทที่ 503 ลงโทษ
น่าแปลกใจที่ฮ่องเต้ไม่ได้คิดเอาเรื่ององค์รัชทายาท แต่กลับเห็นด้วยว่าเด็กคนนั้นไม่ใช่ลูกขององค์รัชทายาท
แต่นางกำนัลคนนั้นถูกฮ่องเต้ใช้วิธีแยกชิ้นส่วน โดยมีโทษฝ่ากฎวังหลวง แน่นอนว่าตามหาตัวชายเลวคนนั้นไม่เจอ เพียงใช้เหตุผลว่าผู้หญิงคนนั้นปิดปากสนิท แต่ไม่คิดแม้กระทั่งจะสืบเรื่องนี้อย่างเอิกเกริกยิ่งใหญ่อีกครั้ง
เรื่องเหล่านี้ไม่ได้ถือว่ามีผลอะไร แม้ว่าถาวจวินหลันจะตกใจแต่ก็รู้สึกว่าสมเหตุผล เพื่อศักดิ์ศรีของราชวงศ์ ฮ่องเต้ปิดบังเรื่องนี้ไปก็ถือเป็นเรื่องปกติ อย่างไรเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นระหว่างพ่อลูก แม้ว่าจะไม่ใช่ความผิดของฮ่องเต้ แต่ลูกไม่บอกบิดาแล้วข้ามหน้าข้ามตาไป ฮ่องเต้ย่อมไม่ยอมให้ตนเองมีประวัติด่างพร้อยเช่นนี้เป็นแน่
ที่สำคัญกว่านั้นก็คือ ฮ่องเต่ไม่อาจเสียหน้าจากการที่บุตรชายลอบมีความสัมพันธ์กับผู้หญิงของตนได้
ฮ่องเต้เองก็คิดเช่นนี้ถึงได้กล้าทำเรื่องนี้ ความจริงพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าฮ่องเต้จัดการกับความคิดของตนเองได้อย่างดี แม้ว่าฮ่องเต้จะโมโหไม่อยากมองหน้าองค์รัชทายาทเพราะเรื่องนี้อีก แต่ฮ่องเต้ย่อมแสดงออกต่อหน้าไม่ได้ อย่างน้อยก็ยังรักษาตำแหน่งองค์รัชทายาทเอาไว้ได้
วิเคราะห์เรื่องเหล่านี้อย่างละเอียด ถาวจวินหลันก็นับถือฮองเฮาขึ้นมาบางส่วน หากตัวนางมีความคิดละเอียดอ่อนเหมือนฮองเฮา เกรงว่าคงไม่ต้องกลัวว่าจะเกิดเรื่องอะไร ไม่ช้าก็เร็วต้องสำเร็จตามที่หวังอย่างแน่นอน
แน่นอนว่าส่วนที่สำคัญของเรื่องนี้ไม่ได้อยู่ที่ฮองเฮา แต่เป็นคำสั่งประกาศราวสายฟ้าฟาดของฮ่องเต้
ฮ่องเต้ให้ลูกชายสองสามคนไปดูแผนการทำโทษทั้งหมด โดยเฉพาะองค์รัชทายาท จัดการสั่งให้องค์รัชทายาทเป็นผู้บังคับบัญชา ไม่เพียงเท่านั้นฮ่องเต้ยังให้คนเอาเด็กคนนั้นออกมาก่อนด้วย
วิธีการลงโทษเช่นนี้สามารถพูดได้ว่าโหดเ**้ยมเลือดเย็น นี่แตกต่างจากสิ่งที่ฮ่องเต้ถือปฏิบัติมาตลอดตั้งแต่ครองบัลลังก์นี้ ไม่เหมือนกันแม้แต่น้อย พูดได้ว่าตรงกันข้ามกันโดยสิ้นเชิง
ความคิดของฮ่องเต้นั้นคาดเดาได้ไม่ยาก ไม่มีอะไรไปกว่ากลืนความโกรธนี้ไม่ลง ใช้วิธีนี้เป็นการเตือนลงโทษองค์รัชทายาท และใช้เรื่องนี้เตือนลูกชายคนอื่นเท่านั้น อย่างไรเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นแล้วครั้งหนึ่ง ไม่ว่าใครก็ต้องตะขิดตะขวงใจทั้งนั้น ในความเป็นจริงแล้วถาวจวินหลันรู้สึกว่าต่อจากนี้ไปฮ่องเต้คงไม่ยอมให้ลูกชายที่บรรลุนิติภาวะแล้วเข้าวังอีกเป็นแน่
วิธีการลงโทษด้วยการเฉือนเนื้อนั้นปกติแล้วหาพบได้น้อย นอกจากมีโทษหนักฉกรรจ์ มิเช่นนั้นก็จะไม่ถึงขั้นใช้วิธีการลงโทษโหดเ**้ยมเช่นนี้ เพียงคิดถึงภาพเหตุการณ์นั้น ถาวจวินหลันก็ตัวสั่นสะท้านอย่างห้ามไม่ได้ จากนั้นก็ขนลุกขนชันไปทั้งตัว
นางไม่ค่อยพอใจที่หลี่เย่จะต้องไปดูภาพเหตุการณ์เช่นนั้น “ดูแล้วเกรงว่าคงฝังใจไปอีกนาน อีกทั้งยังต้องเป็นฝันร้ายวนเวียนไปตลอด ฮ่องเต้ก็จริงๆ เลย เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับท่านเสียหน่อย ทำไมจะต้องให้ท่านไปดูด้วย?”
หลี่เย่หัวเราะขมขื่น กลับพูดหยอกเล่นว่า “นี่เรียกว่าประตูเมืองไฟไหม้ เป็นภัยลามถึงปลาในสระ ไม่ต้องพูดถึงข้า แม้แต่เจ้าเจ็ดก็ต้องไปดูเช่นกัน เขาเพิ่งจะอายุเท่าไรกัน? เกรงว่าคงตกใจมากเป็นแน่ อี้เฟยขอร้องให้เห็นใจอยู่ช่วงหนึ่งก็ยังไม่ได้ผล แต่กลับถูกว่ากล่าวไปอีกรอบหนึ่ง” หยุดไปครู่หนึ่งก็เห็นว่าถาวจวินหลันยังคงไม่วางใจอยู่ดี ดังนั้นเขาจึงพูดอีกว่า “ถ้าดูต่อไปไม่ไหวจริงๆ ข้าแอบเบนสายตาไปก็ได้แล้ว อย่างไรพวกเราก็มองดูจากที่ไกล ไม่เหมือนองค์รัชทายาทที่อยู่ท่ามกลางสายตาผู้คนมากมาย อยากจะหลบก็ไม่มีทาง”
เพราะว่าถูกคนจ้องมอง องค์รัชทายาทย่อมไม่กล้าเบนสายตาหนีแน่ ดังนั้นฮ่องเต้ถึงได้ออกคำสั่งเช่นนี้ใช่หรือไม่?
หลี่เย่คิดในใจ ที่จริงแล้วเสด็จพ่อเป็นคนใจเ**้ยมโหดโดยแท้ องค์รัชทายาทประสบผ่านเรื่องนี้ไป เกรงว่าคงไม่กล้าไปพบใบหน้าที่เหมือนกับอี๋เฟยไปอีกนาน และยิ่งไม่กล้าโดนตัวสตรีอีกใช่หรือไม่? แม้แต่ในใจหรือในฝันก็ไม่รู้ว่าจะต้องทรมานอีกนานเท่าไร พี่ชายของเขาคนนั้นไม่ใช่คนใจกล้าไม่หวาดกลัวอะไร ในความเป็นจริงแล้วหากขาดแรงสนับสนุนจากฮองเฮา ก็บอกได้ว่าพี่ใหญ่ของเขาเป็นเพียงคนขี้ขลาดเท่านั้น
ถาวจวินหลันได้ยินคำพูดนี้ของหลี่เย่ก็อดถอนหายใจไม่ได้ “ถ้าดูเสร็จแล้ว ท่านก็เรียกองค์ชายเจ็ดให้มาที่จวนของพวกเราเพื่อดื่มชาสงบใจสักหน่อยเถิด ถึงเวลานั้นข้าจะให้คนเตรียมอาหารมังสวิรัติให้พวกท่านได้ทานกัน” ดูภาพเหตุการณ์น่ากลัวแบบนั้น เกรงว่าคงไม่อยากเห็นเนื้อไปพักใหญ่
หลี่เย่ยิ้มพลางพยักหน้า “เจ้าเองก็อย่ากังวลมากเกินไป เป็นผู้ชายทั้งนั้น ไฉนเลยจะขี้ขลาดหวาดกลัวเช่นนั้นเล่า? อย่าเห็นว่าเจ้าเจ็ดอายุยังน้อย แต่เขาเองยังคิดจะนำทหารออกไปรบด้วยซ้ำไป” ทันใดนั้นก็เปลี่ยนเรื่องพูด ทั้งสองคนต่างไม่พูดถึงเรื่องการเฉือนเนื้ออีกต่อไปอย่างรู้ใจกัน
รอจนถึงวันที่ลงโทษ ถาวจวินหลันกลับคิดไม่ถึงว่าภายในจวนนั้นยังมีคนจะมาร้องขอโอกาสออกจากจวนเพื่อไปดู คนที่อยากไปดูนั้นมีไม่น้อย กู้อวี้จือ ถาวจือ แล้วยังมีเจียงอวี้เหลียน ทั้งสามคนอยากไปดูทั้งนั้น
โดยเฉพาะเจียงอวี้เหลียน ยังมานัดนางไปดูด้วยกันด้วยซ้ำไป ถาวจวินหลันเอ่ยปฏิเสธทันควัน สถานการณ์เช่นนี้ไม่มีอะไรน่าดูเลยสักนิด นางกลัวว่าพอดูแล้วจะทิ้งร่องรอยบาดแผลเอาไว้ในใจ และต้องฝันร้ายติดๆ กัน
ถาวจวินหลันแต่เดิมนั้นไม่อยากให้พวกนางไปดู แต่พอพูดสองสามประโยคกลับถูกคำพูดเป็นนัยของเจี้ยงอวี้เหลียนเยาะเย้ยไปรอบหนึ่ง ก็ปิดปากสนิท หลังจากที่จัดการเรื่องรถม้าให้พวกนางอย่างรวดเร็วแล้วก็โยนเรื่องนี้ไปไกล
พูดตามจริง นางคิดว่าที่พวกเจียงอวี้เหลียนอยากไปดู ก็เพียงเพราะว่าว่างจนเกินไปเท่านั้น อีกทั้งนางคิดว่ารอจนพวกเขากลับมา สีหน้าคงต้องไม่น่าดูอย่างแน่นอน อีกทั้งคงไม่มีความอยากอาหารไปหลายวัน
เพราะคิดว่าองค์ชายเจ็ดจะมา ดังนั้นถาวจวินหลันจึงลงครัวด้วยตนเองทีหนึ่ง ทำของว่างที่แต่ก่อนนี้องค์ชายเจ็ดชอบบางอย่าง และให้ห้องครัวทำอาหารมังสวิรัติที่หอมกรุ่นหลากรสชาติมาอีกโต๊ะหนึ่ง และยังสั่งห้องครัวไม่อนุญาตทำกับข้าวที่มีสีแดง หรือทำอาหารมังสวิรัติที่คล้ายกับเนื้อโดยเด็ดขาด กลัวว่าพวกเขาจะคิดถึงภาพตอนลงโทษขึ้นมา
สุดท้ายแล้วนางก็ให้ห้องครัวเคี่ยวชาสงบใจ และนำยันต์ป้องกันตื่นกลัวออกมาเตรียมไว้
นางยังคงคิดว่าองค์ชายเจ็ดยังเป็นเด็กน้อยที่หลบอยู่หลังหลี่เย่ภายในวังเต๋ออัน เด็กที่กลัวว่าหลี่เย่จะจากเขาไป ดังนั้นแม้ว่าตอนนี้องค์ชายเจ็ดจะโตเป็นหนุ่มรูปงามแล้ว แต่นางก็ยังอดปฏิบัติต่อองค์ชายเจ็ดเหมือนเด็กน้อยคนหนึ่งไม่ได้
ตอนที่หลี่เย่และองค์ชายเจ็ดกลับมา สีหน้าล้วนไม่ค่อยน่าดูเท่าไรนัก ใบหน้าขององค์ชายเจ็ดนั้นยังแอบเขียวเล็กน้อย ทำให้ถาวจวินหลันตกใจมาก “เกิดอะไรขึ้นเพคะ?”
หลี่เย่หัวเราะขมขื่น มองดูองค์ชายเจ็ดและพูดว่า “เขาอาเจียนจนกลายเป็นเช่นนี้” ไม่ต้องพูดถึงองค์ชายเจ็ด แม้แต่ตัวเขาเอง ก็จวนจะอาเจียนออกมาเช่นกัน
ถาวจวินหลันตกใจถลึงตาโต จากนั้นก็รู้สึกว่าสมเหตุสมผล สถานการณ์เช่นนั้นช่างอึดอัดใจเสียจริง องค์ชายเจ็ดยังอายุน้อย รับเรื่องเหล่านี้ไม่ไหวก็ถือเป็นเรื่องสมเหตุสมผล
“องค์รัชทายาทแย่กว่าข้ามากนัก” สุดท้ายแล้วองค์ชายเจ็ดก็ยังมีนิสัยเด็กอยู่ เห็นถาวจวินหลันแล้วก็อดพูดมากไม่ได้ “พี่สะใภ้รอง ท่านไม่ได้เห็น องค์รัชทายาทอาเจียนจนสุดท้ายแล้วต้องให้คนประคองไปตลอดทาง ทั้งร่างนั้นซีดเซียวไร้เรี่ยวแรง ดูแล้วน่าตกใจยิ่งนัก ไม่รู้ว่ากลับไปแล้วเขาจะฝันร้ายหรือไม่”
ได้ยินน้ำเสียงซ้ำเติมขององค์ชายเจ็ด ถาวจวินหลันก็อดหัวเราะไม่ได้ จากนั้นก็พูดว่า “ดูท่าทีเช่นนี้ กลับไม่จำเป็นต้องเอาชาสงบใจให้เจ้าแล้ว เจ้าและพี่รองของเจ้าไปนั่งเล่นก่อนเถิด รออีกครู่หนึ่งพอทำเสร็จแล้ว พวกเราค่อยตั้งโต๊ะสำรับ”
องค์ชายเจ็ดได้ยินคำว่าจัดโต๊ะสำรับ ก็รีบส่ายหน้า “วันนี้ข้าไม่อยากอาหารแล้ว”
“ล้วนเป็นอาหารมังสวิรัติ รสอ่อนนัก ดูแล้วสดใหม่ วางใจเถิด จะต้องไม่ทำให้เจ้าหมดความอยากอาหารแน่นอน” ถาวจวินหลันเม้มปากหัวเราะ พลางเหลือบสังเกตมองหลี่เย่ทีหนึ่ง เห็นท่าทีของหลี่เย่นั้นดูปกติไม่มีอะไรผิดแผกไป ก็รู้สึกสบายใจเล็กน้อย แต่เดิมนั้นนางยังเป็นกังวลว่าหลี่เย่จะรับไม่ไหว
ผ่านไปไม่นานก็มีคนมารายงานถาวจวินหลัน บอกว่าเจียงอวี้เหลียนและคนอื่นกลับมาแล้ว ถาวจวินหลันเองก็วางใจ ไม่คิดเรื่องนี้อีก คำนวณเวลาตั้งโต๊ะอาหาร เพราะว่าองค์ชายเจ็ดโตแล้ว ดังนั้นนางจึงไม่ได้ร่วมโต๊ะกินข้าวกับพวกเขา ไปนั่งทานอาหารอยู่ตามลำพัง เพียงบอกหลี่เย่ให้ต้อนรับองค์ชายเจ็ดให้ดี
ถาวจวินหลันปลีกตัวไป องค์ชายเจ็ดกับหัวเราะและพูดกับหลี่เย่ว่า “ตอนนั้นที่อยู่ในวังเต๋ออัน ข้าไม่เคยคิดว่านางจะกลายมาเป็นพี่สะใภ้รองของข้า”
หลี่เย่หัวเราะ “ทำไมเล่า? เจ้าคิดว่าไม่ดีหรือ?”
องค์ชายเจ็ดส่ายหัว “เป็นไปได้อย่างไรกัน? พูดตามจริงนะพี่รอง ท่านดูพระชายาองค์รัชทายาท ดูพระชายาจวงอ๋อง พระชายาอู่อ๋อง มีใครเทียบกับพี่สะใภ้รองได้เล่าขอรับ? แม้แต่เสด็จแม่ของข้า พออยู่ปกติแล้วยังแอบเปรียบเทียบพี่สะใภ้รองมาเป็นแบบหาชายาเอกให้ข้าเลย”
หลี่เย่ได้ยินเช่นนี้ ก็สะอึกเล็กน้อย จากนั้นก็เหลือบไปมององค์ชายเจ็ดทีหนึ่ง ในใจคิดว่า ในตอนนี้วิธีการเยินยอขององค์ชายเจ็ดยิ่งพัฒนาขึ้นแล้ว
“ตอนนั้นข้ายังนึกอิจฉาพี่รองที่ได้นางกำนัลเช่นนี้มาปรนนิบัติข้างกาย ตอนนี้ข้าก็ยิ่งอิจฉาพี่รอง พี่สะใภ้รองเอาใจใส่ขนาดนี้ แล้วยังเฉลียวฉลาดรู้เรื่องรู้ราว ช่างน่าอิจฉาเสียจริง” องค์ชายเจ็ดถอนหายใจพลางรำพึงรำพันออกมา เม้มปากพูดออกมา “ไม่รู้ว่าข้าจะมีโชคเช่นนี้หรือไม่ หาพระชายาเช่นนี้สักคนหนึ่ง”
คราวนี้หลี่เย่สะอึกจริงๆ อดถลึงตามององค์ชายเจ็ดไม่ได้ เขาพูดด้วยความเคร่งขรึมส่วนหนึ่งและจนปัญญาส่วนหนึ่ง “กินข้าวก็กินข้าวไป ตอนกินข้าวห้ามพูด” ส่วนดีของถาวจวินหลันนั้นเขาย่อมรู้ แต่เขาก็ไม่พอใจที่องค์ชายเจ็ดพูดออกมาเช่นนี้
ในความเป็นจริงแล้วเขาครุ่นคิดแล้วว่าต่อจากนี้ไปควรซ่อนถาวจวินหลันดีหรือไม่ อย่างน้อยก็ไม่ให้องค์ชายเจ็ดมาที่จวนอ๋องอีก
ทางด้านถาวจวินหลันนั้นไม่รู้ว่าเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้น ในตอนนี้นางเพิ่งได้รับคำรายงานจากคนเฝ้าประตู บอกว่าหลิ่วฮูหยินจากตระกูลกู้มา อยากขอพบนาง
ถาวจวินหลันได้ยินเช่นนั้นก็ตะลึงไป หลิ่วฮูหยินอยากพบนางตอนนี้อย่างนั้นหรือ? นี่เกิดอะไรขึ้น? หรือเกิดเรื่องกับกู้ซีที่อยู่ในวังหลวงหรือ? แต่ถ้าเป็นเช่นนั้นหลิ่วฮูหยินก็ควรจะต้องเข้าวังไปถึงจะถูก
ในใจกำลังอึดอัดอยู่ แต่นางก็ยังคงพยักหน้า “รู้แล้ว รีบพาเข้ามาเถิด” ในขณะเดียวกันนางก็เรียกหงหลัวให้เอาผ้าคลุมลมออกมา ออกไปรับหลิ่วฮูหยินด้วยตนเอง
อย่างไรนั่นก็เป็นป้าสะใภ้ของหลี่เย่ นางไม่อาจละเลยได้ แม้ว่านางจะไม่ค่อยชอบหลิ่วฮูหยิน แต่ก็ต้องทำดีด้วยเป็นมารยาทมิใช่หรือ? มิเช่นนั้นก็เป็นการหาเรื่องให้หลี่เย่มิใช่หรือหาเรื่องให้ตนเองหรืออย่างไร?