บัลลังก์พญาหงส์ - บทที่ 506 สาเหตุ
หลิ่วฮูหยินทั้งโมโหทั้งโกรธ แต่ก็ไม่อาจระบายกับหลี่เย่ได้ แม้นางจะคิดว่าตนเองสูงส่งกว่าคนอื่น แต่ก็ไม่คิดว่าตนเองสูงส่งไปกว่าตวนชินอ๋องหลี่เย่ ดังนั้นจึงทำได้แค่พุ่งไปทางถาวจวินหลัน แล้วถลึงตามองด้วยความโมโหพลางพูดว่า “เจ้าสมรู้ร่วมคิดกับขันทีเรื่องของซีเอ๋อร์ เจ้าคิดว่าตบตาคนอื่นได้หรืออย่างไร?”
ถาวจวินหลันสะดุ้งไป แล้วมองพร้อมหัวเราะเสียงเย็น “ท่านป้าพูดไร้เหตุผล ข้าจะไปลงมือกับจวงผินได้อย่างไรเจ้าคะ? สมรู้ร่วมคิดกับขันทีเล่นงานจวงผิน คิดไม่ถึงว่าท่านป้าจะพูดออกมาได้! เรื่องอื่นก็แล้วไป แต่เรื่องนี้ท่านไม่อาจมาใส่ร้ายป้ายสีข้าได้!”
ตอนที่นางได้ยินว่าหลิ่วฮูหยินมาหาถึงจวน ก็พอจะเดาได้แล้วว่าเกิดเรื่องขึ้นกับกู้ซี คิดไม่ถึงว่าเป็นอย่างที่คิดเอาไว้ แต่หลิ่วฮูหยินกลับพูดใส่ร้ายอย่างไร้เหตุผลเกินไป
“ไม่ใช่เจ้าแล้วจะเป็นใครกัน? เจ้ากลัวว่าซีเอ๋อร์ของข้าเข้ามาในจวนอ๋องแล้วจะแย่งตำแหน่งของเจ้า เจ้าถึงกลัว!” หลิ่วฮูหยินพูดถึงเรื่องนี้ด้วยความเป็นมารดาหูเบา ท่าทางตั้งใจหาเรื่อง ดวงตาทั้งสองข้างแดงก่ำ ไฉนเลยยังมีท่าทีของฮูหยินผู้สูงส่งอีกเล่า?
ไม่เพียงเท่านั้น หลิ่วฮูหยินยังด่าเสียงดังอีกว่า “งูพิษ! เจ้าเป็นงูพิษ!”
ถาวจวินหลันลุกพรวด หลุบตามองหลิ่วฮูหยินจากมุมสูง “คนที่ทำลายชื่อเสียงก็เหมือนฆ่าพ่อแม่ ท่านป้าเป็นผู้อาวุโส ข้าไม่อาจทำอะไรท่านได้ แต่หากสืบเรื่องนี้ชัดเจนแล้วว่าท่านป้าใส่ร้ายข้า ท่านป้าต้องมาขอโทษข้า!” จากนั้นก็มองไปทางหลี่เย่ พูดว่า “ขอให้ท่านอ๋องเชิญองค์ชายเจ็ดมาเป็นพยานด้วยเถิดเจ้าค่ะ มิเช่นนั้นพวกเราก็เข้าวังหลวงให้ไทเฮาเป็นพยาน! หากไม่สืบเรื่องนี้ให้ชัดเจนแล้ว เกรงว่าต่อจากนี้ไปตัวข้าคงจะต้องแบกข้อเสียนี้ไปตลอด!”
นางไม่ชอบกู้ซี และไม่ยินยอมให้กู้ซีเข้ามาในจวน แต่นางเคยทำอะไรหรืออย่างไร? แต่ไหนแต่ไรนางเป็นคนที่ใครไม่ทำข้า ข้าก็ไม่มีทางไปทำอะไรเจ้า เคยลงมือทำร้ายใครก่อนหรืออย่างไรกัน? ถ้าเป็นเรื่องที่นางเคยทำ นางก็ต้องกล้ายอมรับ แต่เรื่องที่ไม่ได้ทำ กลับไม่อาจให้นางรับทั้งๆ ที่เรื่องยังไม่กระจ่างเช่นนี้!
อีกอย่างตอนนี้หน้าของนางยังปวดแสบปวดร้อนอยู่! แม้นวันนี้ยังไม่ยอมรับ ก็ยังตบลงมาทีหนึ่ง เกรงว่าหากเป็นจริง ชีวิตของนางต้องหาไม่อย่างแน่นอน!
หลี่เย่มองไปทางหลิ่วฮูหยิน น้ำเสียงเริ่มเย็นลง “ความคิดของท่านป้าเล่า?” ถาวจวินหลันถูกใส่ร้าย เขาเองก็ไม่พอใจเช่นเดียวกัน และยิ่งสงสารที่นางต้องมาโดนตบ แต่เขาเองก็ไม่อาจลำเอียงอย่างเปิดเผยได้ มิเช่นนั้นคงจะถูกติฉินนินทาเอาได้ ดังนั้นจึงได้แค่ทำตัวให้เป็นกลาง มีแค่เพียงในใจของพวกเราเท่านั้นที่รู้ว่าความคิดของตนเองนั้นเป็นอย่างไร
อย่างไรหลิ่วฮูหยินก็ยังพอมีสติอยู่บ้าง รู้ว่าเรื่องนี้ไม่อาจวุ่นวายไปถึงในวังหลวงได้ มิเช่นนั้นกู้ซีก็จะเสียหน้า อีกทั้งไทเฮาก็ประชวรอยู่ ยิ่งไม่อาจไปรบกวนได้ ทำได้แค่ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงพูดว่า “ถ้าเช่นนั้นก็เชิญองค์ชายเจ็ดให้มาเป็นพยานเถิด”
ถาวจวินหลันมองไปทางหลิ่วฮูหยินวูบหนึ่ง แล้วพูดกับหลี่เย่ว่า “อนุญาตให้ข้าไปจัดการตนเองสักครู่เถิดเจ้าค่ะ” รอยฝ่ามือนี้ชัดเจนมากเกินไป อย่างไรนางก็ต้องปิดบังสักหน่อย
หลิ่วฮูหยินยังคงอัดอั้นตันใจอยู่ ไม่กล้าแสดงออกกับหลี่เย่ ทำได้แค่พุ่งเป้ามาทางถาวจวินหลันเท่านั้น
ทางด้านถาวจวินหลันเพิ่งพูดจบ หลิ่วฮูหยินก็พูดว่า “ปิดบังอะไรกัน ไม่ใช่ว่าขลาดกลัวหรอกหรือ? ในเมื่อเจ้ากล้าทำเรื่องนี้ได้ ยังจะเอาหน้าไปเพื่ออะไรอีก?”
ถาวจวินหลันใจเดือดพล่าน ไม่ยอมทำทีท่ายิ้มแย้มอ่อนโยนอีกต่อไป ฉับพลันก็กวาดตามองหลิ่วฮูหยิน พูดเรียบๆ ว่า “ท่านป้าระวังคำพูดด้วย ข้าวกินมั่วได้ แต่คำพูดไม่อาจพูดมั่วได้ มิเช่นนั้นพอตายไปแล้วจะต้องถูกดึงลิ้นตกนรก อีกทั้ง ท่านไม่เอาหน้า แต่ข้ายังต้องการ”
นางตอกกลับไปอย่างไม่อ่อนไม่แข็ง ก็ให้หลิ่วฮูหยินโมโหจนสะอึกไป แต่เดิมคิดอยากจะตอกกลับ แต่หลี่เย่กลับเอ่ยปากพูดขัดว่า “เป็นเช่นนั้นจริง เรื่องยังไม่ทันชัดเจน ยังไม่มีหลักฐานมายืนยัน ท่านป้าต้องระวังคำพูดด้วย”
คำพูดของหลิ่วฮูหยินติดอยู่ในลำคอ โกรธเกรี้ยวอยู่ในใจ ด้วยคิดว่าสองคนนี้ร่วมมือกันมาตั้งตนเป็นปฏิปักษ์กับตนเอง
แต่หลิ่วฮูหยินกลับไม่กล้าพูดออกมาจริง นางทำผิดกับถาวจวินหลันได้ แต่ไม่อาจทำผิดกับหลี่เย่ มิเช่นนั้นเกรงว่าความสัมพันธ์ระหว่างจวนตวนชินอ๋องและตระกูลกู้ รวมถึงความสัมพันธ์กับไทเฮาจะต้องถึงจุดสิ้นสุดเป็นแน่
ถาวจวินหลันเข้าไปในห้อง หลังจากส่องกระจกดูแล้วก็ต้องสูดลมหายใจเย็นเข้าไปทีหนึ่ง รอยฝ่ามือนี้ใช้แป้งฝุ่นก็ยังไม่อาจปิดบังได้ อีกทั้งเกรงว่าต้องใช้เวลาหลายวันถึงจะหายดี หรือจะพูดว่าหลังจากนี้หลายวันนางไม่สามารถออกจากจวนได้แล้ว ทางที่ดีที่สุดคืออย่าให้คนอื่นเห็น
ถาวจวินหลันสงบไฟแค้นเอาไว้ แล้วสั่งให้ชุนฮุ่ยใช้แป้งปิดเอาไว้ แม้ว่าจะปิดได้ไม่หมด แต่ก็ทำให้รอยฝ่ามือนั้นไม่เด่นจนเกินไป ถึงเวลานั้นองค์ชายเจ็ดจะต้องไม่จ้องมองใบหน้าของนางอยู่แล้ว หรืออาจจะไม่สังเกตเลยแม้แต่น้อย
ตอนที่ปะแป้ง ถาวจวินหลันก็เจ็บจนเหงื่อไหล ผิวหน้าอ่อนนุ่มบอบบางถูกตบทีหนึ่ง เพียงแค่แตะก็เจ็บมากแล้ว
พอเก็บกวาดเสร็จแล้ว ถาวจวินหลันก็รวบผม พยายามทำให้ตนเองดูเป็นปกติ ก่อนเดินออกไป
หลี่เย่เงยหน้ามองถาวจวินหลันทีหนึ่ง จากนั้นก็ก้มหน้าดื่มชาต่อไป
หลิ่วฮูหยินนั่งตัวตรง ไม่ได้ดื่มชา แต่ดวงตาทั้งสองข้างกลับแหลมคมประหนึ่งมีดแหลม มองเขม็งไปยังถาวจวินหลัน
ถาวจวินหลันย่อมต้องรู้สึกได้ แต่นางก็ไม่ได้ขลาดกลัว ยืดหลังตรงเดินเข้าไปถึงที่นั่งของตนเอง นั่งลงไปนิ่งๆ ทั้งใจเย็นและสง่างาม แสดงออกถึงความทรงอำนาจของตนเองให้หลิ่วฮูหยินดูในทุกการกระทำ
เจียงอวี้เหลียนยิ้มพลางยกชาขึ้นจิบ จากนั้นก็พูดขึ้นว่า “ไม่ทราบว่าชายารองถาวใช้แป้งฝุ่นอะไรหรือเจ้าคะ? ได้ผลดียิ่งนัก กลับไปแล้วแบ่งให้ข้าใช้สักกล่องหนึ่งซี ที่จริงถ้าจะให้ข้าพูด ก็ไม่เห็นจะต้องปิดซ่อนอะไร ชายารองถาวได้รับความไม่ยุติธรรม ก็ควรให้คนเห็น”
ถาวจวินหลันหรี่ตาลง มองไปยังเจียงอวี้เหลียน ก่อนพูดช้าๆ ว่า “ทำไมหรือ ชากับของว่างยังปิดปากของชายารองเจียงไม่ได้หรืออย่างไรกัน? หากอยากดูเรื่องวุ่นวาย เพียงแค่ยืนอยู่ข้างๆ ก็พอแล้ว เจ้ามายุ่งเช่นนี้คิดอยากทำอะไรกันแน่?”
ฉับพลันนั้นใบหน้าของเจียงอวี้เหลียนก็แดงเห่อเหมือนตับหมู เป็นชายารองเหมือนกัน แม้ว่าถาวจวินหลันจะระดับสูงกว่าหนึ่งขั้น แต่ปกติแล้วนางไม่เคยคิดว่าพวกนางแตกต่างกันตรงไหน ดังนั้นถึงได้โอหังกำเริบเสิบสาน รู้สึกว่าต่อให้นางทำให้ถาวจวินหลันไม่พอใจมากเพียงใด ถาวจวินหลันก็ไม่มีทางทำอะไรนางเป็นแน่
แต่คิดไม่ถึงว่าวันนี้ถาวจวินหลันกลับเปลี่ยนท่าทีอ่อนน้อมของตนไป พูดประโยคที่ไม่เกรงใจเช่นนี้ อีกทั้งน้ำเสียงสูงส่งวางตัวของถาวจวินหลันก็ยิ่งทำให้นางไม่อยากยอมแพ้
ตอนแรกคิดอยากจะโต้กลับไป แต่พอคิดดูแล้วเจียงอวี้เหลียนกลับมองไปยังหลี่เย่ พูดด้วยความน้อยใจ “ท่านอ๋อง”
หลี่เย่มองไปทางเจียงอวี้เหลียน พูดออกมาเรียบๆ “หากชากับของว่างอุดปากเจ้าไม่ได้ เจ้าก็กลับไปเสีย” หากไม่ใช่เพราะตอนนี้หลิ่วฮูหยินยังอยู่ เขคงจะไม่เกรงใจแบบนี้แน่
บนใบหน้าของเจียงอวี้เหลียนเขียนความคิดเล็กคิดน้อยอยู่ แต่ทำไมยังมีใครไม่เข้าใจอีก? อีกอย่างเขาก็ลำเอียงอยู่แล้ว ก่อนเจียงอวี้เหลียนจะทำเรื่องเช่นนี้ เกรงว่าคงไม่คิดถึงผลลัพธ์เลยสักนิด
หลี่เย่พูดเช่นนี้เท่ากับออกหน้าแทนถาวจวินหลัน เจียงอวีเหลียนจึงหงอยไปทันที นั่งลงไปข้างๆ ด้วยความโมโห แต่กลับไม่กล้าพูดอะไรอีก
ถาวจวินหลันมองไปทางหลี่เย่ ในแววตาแฝงไว้ด้วยความขบขัน
หลี่เย่ยังคงรักษาท่าทีอบอุ่นนิ่งสงบ นั่งนิ่งหลังตรงสง่างามตลอด
พอองค์ชายเจ็ดเข้าห้องมาถึง เมื่อเห็นหลิ่วฮูหยินก็ทำเป็นมองไม่เห็น เพียงแค่หันไปพูดกับหลี่เย่ “พี่รองก็จริงๆ เลย ทำไมถึงไล่ให้ข้าไปที่ห้องหนังสือคนเดียวเล่า? ในเมื่อจะเรียกให้ข้ามา ก็ควรให้ข้ามาด้วยตั้งนานแล้ว วิ่งไปวิ่งมา ลมเย็นเต็มท้องไปหมดแล้ว”
หลี่เย่กวาดตามององค์ชายเจ็ด องค์ชายเจ็ดที่โอดโอยกล่าวโทษพลันก็เงียบเชียบ และรู้สึกอึดอัดใจ วันนี้พี่รองเป็นอะไรไป? เหมือนว่า…โกรธอย่างนั้นหรือ?
“มีเรื่องในจวนที่อยากให้เจ้าช่วยเป็นพยาน” หลี่เย่พูดเรียบๆ มองไปยังหลิ่วฮูหยิน แล้วถามองค์ชายเจ็ดว่า “เรื่องของจวงผิน เจ้าเองก็รู้ เจ้าคิดว่าชายารองถาวเป็นคนวางแผนอยู่เบื้องหลังหรือไม่?”
องค์ชายเจ็ดมีท่าทีบอกว่า ‘ท่านโกหกหรือเปล่า’ ทันที หลังจากตื่นตะลึงไปครู่หนึ่ง เขาก็ตั้งสติกลับมาได้ เบนหน้าไปยังหลิ่วฮูหยิน พร้อมพูดอย่างไม่เกรงใจว่า “ใครโง่ขนาดเอากระโถนมาขว้างใส่คนอื่นกัน?”
หลิ่วฮูหยินได้ยินก็โมโหแทบหงายท้องตึง ผ่านไปครู่หนึ่งถึงสงบอารมณ์ได้ พูดเสียงสั่นว่า “องค์ชายเจ็ดหมายความว่าอย่างไร? แม้แต่องค์ชายเจ็ดก็ลำเอียงเข้าข้างหญิงงูพิษเช่นนี้ด้วย?”
องค์ชายเจ็ดหัวเราะลั่น “ลำเอียงอย่างนั้นหรือ? ทำไมข้าต้องลำเอียงด้วย? ข้าเพียงพูดความจริงเท่านั้น ในเมื่อท่านเป็นมารดาของจวงผิน คิดว่าต้องรู้สิ่งที่เสด็จพ่อจัดการกับเรื่องนี้แล้วเป็นแน่ ในเมื่อเสด็จพ่อยังสืบไม่พบ แล้วท่านเอาอะไรมากล่าวโทษ? ทำไมหรือ เสด็จพ่อไม่เฉลียวฉลาด ไร้ความสามารถ ไม่ทันเล่ห์เหลี่ยมคน มองไม่เห็นปัญหาเล็กๆ น้อยๆ สู้ท่านไม่ได้อย่างนั้นหรือ?”
ด้วยตรงนี้มีอยู่แค่ไม่กี่คน องค์ชายเจ็ดถึงไม่ได้ปิดบังแอบซ่อนอะไร พูดผลที่ได้สืบมาอย่างละเอียดตรงๆ “เป็นนางกำนัลคนหนึ่ง นางซื้อตัวขันทีรับใช้เบื้องหน้าเสด็จพ่อ คิดอยากใช้โอกาสนี้เปลี่ยนจากนกเป็นหงส์ แต่เพราะจวงผินโชคไม่ดี บังเอิญเจอเรื่องนี้เข้า หลังจากเรื่องเกิดขึ้นแล้วขันทีและนางกำนัลคนนั้นก็ถูกจับโบยตายทั้งหมด”
“ไฉนเลยจะบังเอิญเช่นนั้นจริง?” หลิ่วฮูหยินหัวเราะโต้กลับมา ยังคงยึดมั่นในความคิดของตนเอง
ถาวจวินหลันหัวเราะเสียงเย็น พูดขัดว่า “ถ้าเช่นนั้นก็ขอให้ท่านป้าเอาหลักฐานออกมาซีเจ้าคะ”
“ทำไมยังจะต้องการหลักฐานอีกเล่า?” หลิ่วฮูหยินจ้องเขม็งไปทางถาวจวินหลัน “เจ้าไม่ยอมให้ซีเอ๋อร์เข้ามาในจวนอ๋อง จึงวางแผนเล่นงานนาง เจ้าปิดบังคนอื่นได้ แต่ปิดบังข้าไม่ได้! มิเช่นนั้นซีเอ๋อร์ยังจะไปทำผิดกับใครอีก ถึงได้ทำให้ถูกเล่นงานเช่นนี้?”
“พูดเช่นนี้ ท่านป้าก็ไม่มีหลักฐานมาแสดงน่ะซีเจ้าคะ!” ถาวจวินหลันพูดเนิบช้า โต้กลับอย่างอ่อนน้อมถามหลิ่วฮูหยิน “ท่านเอาแต่พูดว่าข้าเป็นคนวางแผนเรื่องนี้ ข้าอยากจะถามท่านว่า ข้าจะวางแผนเช่นไร? ข้าเข้าวังหลวงไปตอนไหน? และข้าเคยมีโอกาสติดต่อขันทีข้างกายฮ่องเต้ตั้งแต่เมื่อใด? ข้าจะรู้ได้อย่างไร ว่าขันทีคนไหนเป็นคนเดินนำทางจวงผิน? อีกอย่าง ต่อให้ข้าไม่ยินยอมรับจวงผินเข้ามาในจวนอ๋อง ก็คงไม่ถึงขั้นใช้วิธีเช่นนี้ ทำให้คนอื่นเสียหายแล้วยังไม่ได้รับประโยชน์! ข้าเป็นบ้าหรือว่าโง่อย่างนั้นหรือ ถึงได้กล้าเหยียบศักดิ์ศรีของจวนตวนชินอ๋องไว้ใต้เท้า?! อีกอย่างท่านก็เอาแต่พูดว่าข้ากลัวว่าจวงผินเข้าจวนอ๋องมาแล้วจะแย่งตำแหน่งของข้า ข้าอยากจะถามท่าน ว่าท่านเอาความมั่นใจมาจากไหนเจ้าคะ? ข้ากับท่านอ๋องผูกพันกันมาหลายปี และมีลูกหญิงชายด้วยกันสองคน จวงผินจะเอาอะไรมาเทียบ? เป็นชายารองเหมือนกัน นางจะเอาอะไรมาสูงส่งกว่าข้า? อีกทั้งสิทธิดูแลจวนก็อยู่ในมือของข้า ข้าจะถูกคนกดหัวไปได้อย่างไรเจ้าคะ?”