บัลลังก์พญาหงส์ - บทที่ 509 หมอกหนา
ส่งองค์ชายเจ็ดกลับไป หลี่เย่ก็รีบกลับไปยังเรือนเฉินเซียง
ด้วยถาวจวินหลันปวดหัว จึงยังคงเอนตัวอยู่บนเตียง ให้หงหลัวนวดศีรษะให้ตน ตอนที่หลี่เย่เข้ามา ก็เห็นภาพตรงหน้านี้
ปี้เจียวเห็นหลี่เย่ ก็ส่งเสียงพูดว่า “ท่านอ๋อง”
ถาวจวินหลันได้ยินก็ลืมตาขึ้นมา เห็นว่าหลี่เย่ยืนมองตนเองอยู่หน้าเตียง บางทีอาจต้องพูดว่ากำลังมองดูบาดแผลบนใบหน้าของนาง เพราะท่าทีตั้งอกตั้งใจของหลี่เย่ ดังนั้นนางจึงเบนหน้าไปอีกข้างตามสัญชาตญาณ บังบาดแผลนั้นไม่ให้เขาเห็น
หลี่เย่กลับสะบัดมือไปทางปี้เจียว บอกให้ปี้เจียวถอยออกไป และเขากลับนั่งลงบนเตียง ยื่นมือออกไปกุมใบหน้าของนางเอาไว้ ไม่ให้นางหลบอีก
ถาวจวินหลันถอนหายใจ คิดจะใช้มือบังหน้าเอาไว้ แต่ก็ต้องถูกหลี่เย่จับมือเอาไว้อย่างดื้อดึง
เสียงของหลี่เย่นั้นเบาประหนึ่งลมอ่อนโยนกระแสหนึ่ง แต่ก็ยังเหมือนกับกรวดละเอียดที่พัดพามากับสายลม บาดจิตใจจนรู้สึกแสบคัน
เขาถามว่า “เจ็บหรือไม่?”
ถาวจวินหลันส่ายหน้า “ไม่เจ็บแล้วเพคะ เพียงแค่ตกใจเท่านั้น”
“ทำให้เจ้าต้องเจอเรื่องแย่แล้วซี” หลี่เย่ถอนหายใจด้วยท่าทีหงุดหงิดเล็กน้อย เขาต้องรู้สึกสงสารนางเป็นแน่
ถาวจวินหลันยิ้มน้อยๆ ตีมือของหลี่เย่ “ไม่ใช่ความผิดของท่านหรอกเพคะ ใครจะคิดว่าท่านป้าจะตบหน้าเต็มๆ ตั้งแต่เข้ามาเล่า ถ้ามิใช่เช่นนั้น ต่อให้บ่าวรับใช้กันเอาไว้ไม่ได้ ข้าก็หลบเองได้เพคะ อีกทั้งท่านเองก็ช่วยระบายความโกรธ และให้พวกเขาขอโทษแล้ว ไม่มีอะไรต้องเก็บมาคิดอีกเพคะ”
แม้จะบอกว่ายังแอบเก็บไปคิดและโมโหอยู่เล็กน้อย แต่ดูหลี่เย่มีท่าทีเช่นนี้ นางเองก็เริ่มปล่อยวาง ที่จริงหากจะคิดบัญชีเรื่องนี้ ก็ถือว่าเป็นแค่อุบัติเหตุเท่านั้น หากเปลี่ยนเวลาและสถานที่ นางก็ไม่ถึงกับหลบฝ่ามือนี้ไม่พ้น แต่วันนี้แค่คิดไม่ถึงจริงๆ
“ขอโทษแล้วมีประโยชน์อะไร” หลี่เย่แสดงท่าทีโมโห “ท่านลุงไม่ดูแลคนในจวนให้ดี นี่กลับเป็นความล้มเหลวอย่างมาก ต่อจากนี้ไปถ้าเจ้าเห็นผู้หญิงคนนี้อีก ก็ไม่จำเป็นต้องไว้หน้า ไม่ต้องไปสนใจหรือว่าจะหลบไปเลยก็ได้ วันนี้ข้าไว้หน้าท่านลุงก็ถือว่าเห็นแก่ความสัมพันธ์ญาติมิตรแล้ว ต่อจากนี้ไปเจ้าเองก็ไม่ต้องคิดเช่นนี้อีก ไม่ต้องเป็นกังวลมากเกินไป นางรังแกเจ้าก็เหมือนรังแกข้า พวกเราจะปล่อยให้ใครมารังแกได้อย่างไร?”
“เพคะ” ถาวจวินหลันยิ้ม หันไปปลอบหลี่เย่ “เกรงว่าท่านป้าคงไม่อยากเห็นหน้าข้าอีกแล้ว แต่วันนี้ปล่อยให้องค์ชายเจ็ดเห็นเรื่องวุ่นวายนี่แล้ว รู้สึกเสียหน้าเสียจริง แต่ยังดีที่เรื่องนี้จบเพียงเท่านี้ คิดว่าคงไม่มีคนนอกรับรู้อีกนะเพคะ”
หลิ่วฮูหยินยอมบากหน้าพูดขอโทษ ย่อมไม่พูดต่อเป็นแน่ และนางก็ดูแลจวนอยู่ ยิ่งไม่กล้าพูดออกไป ส่วนองค์ชายเจ็ด คิดว่าต้องไม่พูดเป็นแน่ คนนอกย่อมไม่รู้แน่นอน ดังนั้นเสียหน้าเพียงช่วงเวลาสั้นๆ ผ่านไปไม่นานก็จะลืมไป
“กลับเป็นท่านที่วันนี้พูดเด็ดขาดมากนักเพคะ ท่านลุงคงจะต้องตะขิดตะขวงใจเป็นแน่” ถาวจวินหลันคิดถึงคำพูดของหลี่เย่ที่บอกว่าไม่ให้หลิ่วฮูหยินมาที่จวนอีก ก็เริ่มกังวลเล็กน้อย พูดกล่อมหลี่เย่เสียงอ่อน “ท่านเองก็หาเวลาไปชดเชยอ้อมๆ หน่อยเถิด อย่างไรเขาก็เป็นลุงของท่าน ไทเฮานั้นย่อมอยากเห็นพวกท่านปรองดองกัน หากข้าทำลายความสัมพันธ์นั้นลง ก็จะกลายเป็นความผิดของข้า ตอนนี้ไทเฮามีพระวรกายอ่อนแอ ทำให้นางสบายใจได้ก็ทำเถิดเพคะ”
อย่างแรกด้วยนางสงสารไทเฮาจริงๆ อย่างที่สอง ด้วยคิดถึงความกตัญญูของหลี่เย่ อย่างที่สามก็ด้วยไม่ยินยอมให้ไทเฮาเกลียดนางมากขึ้นเพราะเรื่องนี้
พอพูดถึงไทเฮา หลี่เย่ก็ยิ่งมีท่าทีคิดมาก “พระวรกายของไทเฮาแย่ลงอีกแล้ว เมื่อวานเสด็จพ่อให้คนไปเร่งสร้างหลุมฝังศพของไทเฮาแล้ว ที่จริงแล้วด้วยเป็นไทเฮาที่อายุยืนคนหนึ่ง หลุมฝังศพของไทเฮาจึงสร้างเสร็จเอาไว้นานแล้วตั้งแต่ตอนที่ยังเป็นฮองเฮา แต่ด้วยลูกชายต้องกตัญญูต่อมารดา ดังนั้นหลังจากฮ่องเต้นั่งบัลลังก์ จึงได้สั่งให้ขยายหลุมฝังศพของไทเฮา แรงงานจึงยิ่งเพิ่มมากขึ้นเป็นเท่าตัว”
ไทเฮาอ่อนแรงลงทุกปี อีกทั้งอายุก็มากขนาดนี้แล้ว เรื่องนี้ก็ควรเร่งดำเนินการเผื่อไว้ แม้แต่ของที่ต้องใช้ในงานศพ ก็ต้องเริ่มจัดเตรียมได้แล้ว
แม้ว่าถาวจวินหลันจะยังพูดไม่ได้ว่าชื่นชอบไทเฮา แต่ก็เคารพไทเฮามาก อีกทั้งไม่อยากให้หลี่เย่เสียใจ นางจึงหดหู่อยู่หลายส่วน
แต่นางก็ทำได้เพียงปลอบหลี่เย่เสียงเบาเท่านั้น “นี่เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลเพคะ จะมีใครบ้างที่อายุยืนยาวไม่แก่เฒ่า? อีกอย่างพระวรกายของไทเฮาไม่ดีอย่างไรก็ยังไม่ถึงขั้นพลังชีวิตใกล้มอดดับ ขอเพียงแค่บำรุงรักษาให้ดี ก็ยืดระยะเวลาได้อีกนะเพคะ”
หลี่เย่ยิ้ม แต่ท่าทีดูฝืดเคือง เขาย่อมต้องรู้ว่านางเพียงแค่ปลอบประโลมเขาเท่านั้น ความเป็นจริงแล้วทุกคนรู้อาการของไทเฮาดี ว่าปีนี้อาจจะไม่มีปัญหาอะไร แต่สุดท้ายแล้วก็มีเวลาอีกเพียงแค่สามสี่ปีเท่านั้น
“ช่างเถิด ไม่พูดเรื่องนี้แล้วเพคะ” ถาวจวินหลันเปลี่ยนเรื่องคุย “คราวที่แล้วบอกว่าจะให้องค์รัชทายาทไปดูสถานการณ์บรรเทาภัยพิบัติมิใช่หรือ? เรื่องนี้ไปถึงไหนแล้วเพคะ? ยังมีเวลาอีกเจ็ดวัน คำพูดที่องค์ชายเจ็ดพูดเป็นจริงหรือไม่? องค์รัชทายาทตกใจมากเลยหรือ?”
พอพูดถึงเรื่องนี้หลี่เย่ก็ทิ้งความหดหู่ แล้วแย้มยิ้มกล่าว “พวกข้าก็เพียงแค่เห็นผู้หญิงคนหนึ่งถูกแล่เนื้อเท่านั้น แต่องค์รัชทายาทต่างกัน ผู้หญิงคนนั้นเป็นคนที่เขาเคยมีสัมพันธ์ทางกายด้วย เขาย่อมต้องรู้สึกต่างกับพวกข้าเป็นแน่ ครั้งนี้เกรงว่าคงต้องใช้เวลานานกว่าจะฟื้นกลับมาได้ ส่วนเรื่องออกไปสังเกตการณ์นั้น คิดว่าคงจะใช้เวลาอีกแค่สิบกว่าวันนี้แล้ว”
ที่เขาไม่ได้พูดคือ เขารู้สึกว่าฮ่องเต้ตั้งใจลงโทษองค์รัชทายาทอย่างหนัก มิเช่นนั้นคงไม่ทำให้องค์รัชทายาทต้องทรมานเช่นนี้
ถาวจวินหลันเลิกคิ้วเล็กน้อย “ฮองเฮาจะเห็นด้วยหรือ?” องค์รัชทายาทถูกทรมานมากเช่นนี้ หากต้องออกไปทรมานอีก กลับมาก็ไม่รู้ว่าจะเป็นเช่นไร
“ไม่เห็นด้วยแล้วจะอย่างไร? หากเสด็จพ่อมั่นใจแล้ว ใครจะมาสั่นคลอนได้?” หลี่เย่หัวเราะเสียงเบา “ฟ้าผ่าฝนตกถือเป็นน้ำใจของกษัตริย์ เพียงให้องค์รัชทายาทไปสังเกตการณ์ ไม่ได้ให้องค์รัชทายาทไปตายเสียหน่อย พูดมากมายไปก็หาเหตุผลมาขัดขวางไม่ได้ นอกจากองค์รัชทายาทกลับไปแล้วตกใจล้มป่วยจนลุกขึ้นมาไม่ได้”
ถาวจวินหลันครุ่นคิดความเป็นไปได้นี้อย่างละเอียด สุดท้ายก็ส่ายหน้าไปมา “นอกจากองค์รัชทายาทไม่ต้องการชื่อเสียงของตนเองอีกแล้ว มิเช่นนั้นต่อให้ป่วย แต่ถ้าไม่ใช่เพราะว่าลุกขึ้นมาไม่ไหวจริง ก็ไม่มีทางเป็นเช่นนี้” มิเช่นนั้นเรื่องนี้กระจายออกไป คนอื่นจะไม่ขบขันหรืออย่างไร? ผู้ครองแคว้นในอนาคตขี้ขลาดตาขาวแบบนี้
แต่คิดถึงความตกใจที่องค์รัชทายาทได้รับในวันนี้ ถาวจวินหลันก็คิดว่าองค์รัชทายาทล้มป่วยก็เป็นเรื่องสมเหตุสมผล ปกติองค์รัชทายาทไม่ใช่คนเด็ดเดี่ยว มิใช่หรือ?
ผ่านไปอีกสองสามวัน ก็ไม่เห็นรอยบาดแผลของถาวจวินหลันแล้ว และพอดีว่าวันนี้ก็ได้รับคำสั่งให้นางไปเข้าพบไทเฮาวันรุ่งขึ้น
ถาวจวินหลันคิดแค่ว่าไทเฮาคิดถึงซวนเอ๋อร์ วันรุ่งขึ้นจึงพาซวนเอ๋อร์เข้าวังหลวง
หลังจากผ่านการบำรุงและฝังเข็มมาหลายวัน ร่างกายของไทเฮาก็ดีขึ้นไม่น้อย อย่างน้อยตอนนี้ก็เริ่มมีความรู้สึกและขยับมือได้แล้ว จึงสามารถกินข้าวและทานยาเองได้
ไทเฮาดูมีท่าทีดีขึ้นเล็กน้อย อาจด้วยรู้สึกเบื่อ ดังนั้นวันนี้ไทเฮาถึงนั่งพิงอยู่บนเตียงอ่อน บนร่างคลุมผ้าขนสัตว์อ่อนเอาไว้ ทั้งอบอุ่นและเบาบาง บนหน้าผากยังมีผ้าคาดหงส์คู่ฝังหยก ปิดบังผมขาวไปได้บางส่วน ทำให้ทั้งร่างดูมีเรี่ยวแรงไม่น้อย
จางหมัวหมัวกับถาวซินหลันปรนนิบัติอยู่ข้างกาย จางหมัวหมัวช่วยบีบขาให้ไทเฮา ถาวซินหลันกลับอยู่ข้างๆ ช่วยปอกผลไม้เตรียมไว้ป้อนไทเฮา นี่เป็นสาลี่หอมที่เป็นของบรรณาการใหม่ ขนาดไม่ได้ใหญ่มากแต่กลับเปลือกบางและน้ำเยอะ เนื้อก็หวานและละเอียดอ่อน จวนตวนชินอ๋องเองก็ได้รับมาชะลอมหนึ่ง นอกจากเด็กบางคนได้ไปคนละสิบกว่าลูกแล้ว คนอื่นกลับไม่ได้แม้แต่ลูกเดียว
ถาวจวินหลันยิ้มพลางทำความเคารพไทเฮา และเรียกให้ซวนเอ๋อร์มาทำความเคารพ วันนี้ซวนเอ๋อร์ดูเรียบร้อยเชื่อฟังเป็นพิเศษ หลังจากทำความเคารพไทเฮาแล้วก็มองไปยังถาวซินหลัน อมยิ้มพลางเรียก “ท่านน้า”
ถาวซินหลันยกมือขึ้นมาบีบหน้าของซวนเอ๋อร์ “ข้ายังกลัวว่าซวนเอ๋อร์จะลืมข้าเสียแล้ว”
ไทเฮาเห็นถาวซินหลันพาซวนเอ๋อร์ไปกินสาลี่ ก็รั้งถาวจวินหลันเอาไว้พูดคุย
ถาวจวินหลันถึงได้สติ บางทีที่ไทเฮาเรียกนางเข้ามาในวังหลวง คงไม่ใช่เพราะว่าอยากเจอซวนเอ๋อร์ แต่เพราะอยากเจอนาง?
ตอนที่กำลังตกอยู่ในภวังค์ ไทเฮาก็เปิดปากพูดว่า “ได้ยินว่าหลิ่วซื่อไปทะเลาะกับเจ้าที่จวนตวนชินอ๋องอย่างนั้นหรือ?”
พอถาวจวินหลันมั่นใจจุดประสงค์ของไทเฮาแล้ว ก็รู้สึกว่าใจหล่นวูบ ก่อนหัวเราะน้อยๆ “เรื่องผ่านไปแล้วเพคะ และก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร”
นางไม่คิดว่าหากตนเองร้องทุกข์หรือน้อยใจแล้วไทเฮาจะมาช่วยตัดสินให้นางได้ อย่างแรกเพราะเรื่องนี้ผ่านไปแล้ว อย่างที่สองเพราะว่าไทเฮาสนิทสนมใกล้ชิดกับทางตระกูลกู้มากกว่า ไม่มีทางเข้าข้างนางแน่นอน
ด้วยนางรู้เรื่องเหล่านี้อยู่แก่ใจ จึงคิดว่าไม่พูดอะไรเลยคงดีกว่า
“ข้ารู้เรื่องที่ตวนอ๋องจัดการแล้ว จริงๆ เรื่องนี้ไม่ยุติธรรมกับเจ้า หลิ่วซื่อทำเกินไปหน่อย” ไทเฮาถอนหายใจ หัวเราะขมขื่น คล้ายหงุดหงิดเล็กน้อย “ไม่ว่าจะผ่านไปนานเพียงใด นิสัยเสียของหลิ่วซื่อก็ยังแก้ไม่หายนิสัย ได้แต่หวังว่าเรื่องเช่นนี้จะไม่เกิดขึ้นอีก”
ถาวจวินหลันก้มหน้าไม่พูดไม่จา เรื่องนี้นางย่อมไม่อาจเปิดปากวิจารณ์ได้
“เจ้าเองก็อย่าเก็บไปใส่ใจ” ไทเฮามีเมตตาอย่างเห็นได้ยาก ได้ยินเช่นนี้ก็ให้ถาวจวินหลันรู้สึกตื่นตะลึง และตื่นตกใจ ด้วยไม่คิดว่าจะได้รับความเมตตา
นางย่อมต้องรู้ดีว่าไทเฮาอยากได้ยินคำตอบอย่างไรจากนาง จึงตอบไปตามน้ำ “เรื่องนี้ผ่านไปแล้วเพคะ ต่อจากนี้พวกเราไม่พูดถึงอีกก็พอแล้วเพคะ อย่างไรญาติก็เป็นญาติ ต่อให้ทะเลาะเบาะแว้งอย่างไร ก็ไม่กระทบถึงความผูกพันธ์ทางสายเลือดนะเพคะ”
ไทเฮาพยักหน้าพอใจตามที่คาดเอาไว้
“หลายวันมานี้ซินหลันต้องเหนื่อยแล้ว ข้าเองก็เริ่มดีขึ้นบ้าง อีกไม่กี่วันก็ให้นางกลับเถิด มิเช่นนั้นรอให้ตระกูลเฉินกล่าวโทษคงไม่ดี” ไทเฮาเปลี่ยนเรื่องพูด
ถาวจวินหลันหัวเราะทันที “ตระกูลเฉินจะกล่าวโทษได้อย่างไรเพคะ? แม้แต่ดีใจยังแทบไม่ทันเลยเพคะ ให้ซินหลันมาดูแลท่านสักช่วงหนึ่ง พวกเขาก็คงวางใจ”
“ข้าได้ยินว่าฮ่องเต้ตั้งใจจะให้องค์รัชทายาทออกไปสังเกตการณ์อย่างนั้นหรือ?” ไทเฮาถามเรื่องนี้อีกครั้ง
ถาวจวินหลันพยักหน้า “ได้ยินมาเช่นนั้นเพคะ แต่ก็ไม่มีรับสั่งอะไร เหมือนว่าฮองเฮายังตัดไม่ขาดนัก ที่สำคัญก็คือองค์รัชทายาทยังไม่หายดีเพคะ”
“ลูกที่แม่รักตามใจเกินไปมักจะเหลวไหล” ไทเฮาหัวเราะเสียงเย็น
ถาวจวินหลันครุ่นคิด แล้วก็คิดบางอย่างได้ ยิ้มและพูดว่า “เพราะว่าฮองเฮาปกติแล้วก็สนใจแค่เพียงองค์รัชทายาทเท่านั้น ถึงได้กลายเป็นเช่นนี้เพคะ ถ้าหากว่าแบ่งใจของฮองเฮาเหนียงเหนียงมาบ้างก็คงจะดีบ้างเพคะ”
ไทเฮามองถาวจวินหลัน หรี่ตาลงเล็กน้อยพลางพูดเนิบๆ ว่า “เจ้ามีอะไรจะพูดก็พูดมาเถิด อย่ามาอ้อมค้อมกับข้าเลย คราวที่แล้วเจ้ากล้าพูดเช่นนั้น ตอนนี้ยังต้องอ้อมค้อมอีกทำไม”