บัลลังก์พญาหงส์ - บทที่ 526 ความตั้งใจจริง
ถาวจวินหลันคิดไม่ถึงว่าเมื่อใกล้ถึงเวลาปิดประตูวังหลวง ไทเฮาจะให้คนมาถ่ายทอดคำสั่งถึงนาง วันรุ่งขึ้นให้นางเข้าวังหลวง
ไทเฮาให้คนมาถ่ายทอดคำสั่งตอนนี้ แล้วยังเป็นเรื่องที่สำคัญเป็นอย่างมาก แต่ในตอนนี้นางเองก็ไม่สามารถที่จะเข้าวังได้ในทันใด ดังนั้นจึงทำได้รอวันรุ่งขึ้นอย่างเชื่อฟัง
รอตอนเช้าวันรุ่งขึ้น ถาวจวินหลันก็รีบเร่งเข้าวังหลวงเพื่อเข้าเฝ้าไทเฮา
พอถึงวังหย่งโซ่ว ทำความเคารพไทเฮาแล้ว ไทเฮาก็ให้นางนั่งลง ถามนางด้วยความกระวีกระวาดร้อนใจ “กลองแจ้งข่าวถูกตีดัง แท้จริงแล้วเรื่องนี้เกิดขึ้นได้อย่างไรกัน?”
ถาวจวินหลันตะลึงไป “ไทเฮาพระองค์ไม่ทราบเรื่องนี้หรือเพคะ?”
ไทเฮาได้ยินเช่นนั้นก็เม้มปากแน่นในทันใด ใบหน้ายิ่งดูไม่น่ามองมากกว่าเดิม
ถาวซินหลันมองไปยังไทเฮาทีหนึ่ง ถอนใจเบาๆ “ทุกคนล้วนปิดบังไทเฮาเพคะ ฮ่องเต้กลัวว่าไทเฮารู้เรื่องข้างนอกแล้วจะทรงกริ้วจนทรุดไปอีก เลยสั่งไม่ให้คนพูด ส่วนฮองเฮานั้น…” กลับเป็นเพราะว่าไม่อยากให้ไทเฮาเข้ามายุ่งเรื่องนี้
ถาวจวินหลันเข้าใจความหมายของถาวซินหลัน ก็ให้ถอนใจ และเลือกที่จะพูดแต่ในด้านที่ดี “ฮ่องเต้ทำเพื่อไทเฮานะเพคะ กลัวว่าร่างกายของท่านจะรับไม่ได้ นี่เห็นถึงจิตใจกตัญญูของฮ่องเต้นะเพคะ”
ไทเฮาแค่นหัวเราะออกมา “ใช่แล้ว จะไม่กตัญญูได้อย่างไร แต่หญิงชราอย่างข้ากลับต้องเป็นคนตาบอด” การกระทำของฮ่องเต้ไม่เหมือนกับตอนที่ยังเป็นองค์รัชทายาทและตอนที่เพิ่งขึ้นครองราชย์ แล้วนางจะวางใจได้อย่างไร?
“กลองแจ้งข่าวถูกตีดังจริงเพคะ” ถาวจวินหลันเห็นไทเฮาเป็นเช่นนั้น ก็พยักหน้า “เพราะเรื่องการบรรเทาภัยพิบัติ มีขุนนางทุจริตเงินบรรเทาภัยเหล่านั้นเข้ากระเป๋าตนเอง ทำให้ราษฎรต้องลำบากลำเข็ญ ส่วนขุนนางก็ปกป้องกันเอง บีบให้ประชาชนต้องเข้าเมืองหลวงมาร้องเรียน”
ไทเฮาได้ยินเช่นนั้นก็นั่งนิ่งอยู่นาน พอเอ่ยปากก็ตบโต๊ะตะโกนด่าเสียงดัง “ชั่วช้า! สัตว์เดรัจฉาน! พวกคนเนรคุณ! ถือเงินราชการแล้วยังกล้าทำเรื่องเช่นนี้! สมควรตาย!”
ถาวซินหลันกับถาวจวินหลันล้วนตกใจ เห็นไทเฮากริ้วเช่นนี้ ก็ยิ่งรีบห้ามไทเฮาเอาไว้ พร้อมเอ่ยปากปลอบ “ไทเฮา พระองค์อย่าทรงกริ้วไปเลยเพคะ! ร่างกายก็สำคัญนะเพคะ! ฮ่องเต้ย่อมทำโทษพวกขุนนางทุจริตคดโกงเหล่านั้นแน่นอน ท่านเพียงแค่รอดูเท่านั้น!“
ไทเฮาก่นด่าอีกเล็กน้อย แล้วก็สงบลง พอถูกห้ามแล้วนั้นก็เข้าไปนั่งพิงหมอนหอบหายใจ แต่ก็ยังโมโหอยู่มาก ผ่านไปครู่หนึ่งไทเฮาถึงยิ้มแฝงไว้ด้วยความปลงตก “ทำโทษอย่างนั้นหรือ? ควรจะต้องทำโทษ คนที่เสียหายคือรากฐานของตระกูลหลี่ของข้า! ข้าไม่กล้าคิดเลยว่าเรื่องนี้จะมีขุนนางมากมายเท่าไรเข้าไปเกี่ยวข้อง ตั้งแต่เล็กถึงใหญ่ ขุนนางแต่ละระดับคงจะไม่มีระดับไหนที่สะอาดเลย! มิเช่นนั้นแล้วราษฎรจะวิ่งมาร้องเรียนถึงเมืองหลวงที่ห่างไกลเช่นนี้หรือ?”
ไทเฮาพูดตรงประเด็น ถาวจวินหลันทำได้เพียงนิ่งเงียบไม่พูดจา เกรงว่าครั้งนี้หากตรวจสอบไปแล้ว ขุนนางทางนั้นคงจะเหลือไม่กี่คนเท่านั้น และดูจากขุนนางเหล่านี้รวมไปถึงขุนนางพื้นที่อื่น ก็ยิ่งให้เย็นเยียบขึ้นมาจากปลายเท้า
หากมีขุนนางทุจริตคดโกงอยู่ในราชสำนักเยอะขนาดนี้ แล้วจะสืบเช่นไร? เกรงว่าหลังจากตรวจจนหมดแล้ว ราชสำนักก็คงจะแตกกระจัดกระจายไปหมดเแล้ว
“ด้านนอกมีสุนัขจิ้งจอกที่หิวโหยคอยจ้องมอง ด้านไหนก็มีหนูสกปรกคอยกัดแทะ” ไทเฮาถอนใจยาว น้ำตาไหลจากดวงตาทั้งสองข้าง “เกรงว่ารากฐานของตระกูลหลี่คงถึงจุดอันตรายแล้ว!”
ถาวจวินหลันย่อมต้องรู้ว่าจิ้งจอกหิวโหยนี้หมายถึงใคร และยิ่งเข้าใจว่าหนูสกปรกคืออะไร สิ่งที่ไทเฮาพูดนี้กำลังอธิบายถึงสถานการณ์น่ากังวลทั้งภายในและภายนอก ใช่แล้ว เมื่อถูกไทเฮาพูดเช่นนี้ ในใจของนางเองก็ยังรู้สึกหวั่นเกรงอยู่เล็กน้อย
แต่อารมณ์เช่นนี้ก็เป็นเพียงเรื่องชั่วคราวเท่านั้น นางจึงรีบส่ายหัวกล่าว “ไม่เพคะ พวกเรามีแม่ทัพอาจหาญหลายล้านคน มีนายทหารองอาจอีกมากมาย แล้วยังมีประตูเมืองป้องกัน พวกจิ้งจอกหิวโหยจ้องตาเป็นมันแล้วอย่างไรเล่าเพคะ? พวกเขาไม่กล้าทำเลยขอบเขตแน่นอน ส่วนหนูสกปรกเหล่านั้น พวกเราก็มีเส้นสายแข็งแกร่ง มีบทลงโทษหนักหนา สิ่งที่พวกนั้นริบไปเป็นของตนเอง พวกเราย่อมต้องให้พวกเขาคายออกมาให้ได้เพคะ”
ถาวจวินหลันพูดด้วยความมั่นใจ ก็ให้ไทเฮาอึ้งไปครู่หนึ่ง ผ่านไปนานไทเฮาถึงหัวเราะ “ดูท่าข้าคงแก่เสียแล้ว สู้พวกเจ้าที่อายุน้อยกล้าหาญไม่ได้แล้ว”
ถาวจวินหลันเม้มปากหัวเราะ “ท่านอ๋องดูเหมือนจะอบอุ่น แต่ก็ยังมีสายเลือดของตระกูลหลี่ไหลเวียนอยู่ แล้วจะอบอุ่นอ่อนโยนเพียงอย่างเดียวได้อย่างไรเพคะ? แย่งแผ่นดินมาได้จากความวุ่นวาย ก็อธิบายได้แล้วว่าสายเลือดของตระกูลหลี่ที่ไหลเวียนอยู่นั้นเป็นสายเลือดของผู้กล้า ไทเฮาโปรดวางใจเถิดเพคะ ข้าเชื่อมั่นในตัวท่านอ๋อง ท่านอ๋องจะต้องจัดการเรื่องเหล่านี้ได้ดีเป็นแน่”
ไทเฮายกยิ้ม “พูดไปแล้ว สุดท้ายแล้วก็วนกลับมาเรื่องนี้ ตวนชินอ๋องจะได้ขึ้นครองบัลลังก์หรือไม่ เจ้ากลับดูมั่นใจมาก”
ถาวจวินหลันรู้ว่าไทเฮากำลังเย้ยหยันนาง แต่นางกลับไม่สนใจแม้แต่น้อย ยิ้มกลับไปเช่นเดียวกัน “ไทเฮาเพคะ หรือว่าท่านเชื่อใจองค์รัชทายาทเพคะ? ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ไทเฮากล้าพนันกับหม่อมฉันหรือไม่ ว่าครั้งนี้องค์รัชทายาทไปสังเกตการณ์ แล้วจะรายงานสถานการณ์ตามจริง หรือว่าปกปิดเพคะ?”
ไทเฮาสะอึกไปเพราะคำพูดนี้ของถาวจวินกลัน ผ่านไปนานก็ยังพูดชื่นชมองค์รัชทายาทไม่ได้ ส่วนเรื่องพนันนี้ ไทเฮากลับไม่ได้พูดถึง เพียงแค่เลี่ยงหัวข้อสนทนาพูดว่า “องค์รัชทายาทอาจจะถูกปิดปากเอาไว้”
ถาวจวินหลันยิ้มแต่ไม่พูดอะไร เพียงมองไปทางไทเฮา
ไทเฮาเองก็เริ่มประหม่าเล็กน้อย หากองค์รัชทายาทถูกปิดปากง่ายดายเช่นนั้นจริง ก็อธิบายได้ถึงปัญหาหนึ่ง นั่นก็คือองค์รัชทายาทไม่เหมาะสมที่จะเป็นกษัตริย์ และไม่เหมาะสมที่จะเป็นองค์รัชทายาท
คนที่เป็นกษัตริย์ อย่างแรกเลยคือจะต้องไม่ถูกคนปิดปากได้โดยง่ายดาย
องค์รัชทายาทนั้นไม่ได้มีความสามารถอะไรโดดเด่น หากแม้แต่ความสามารถในการแยกแยะยังไม่มี นั่นก็น่าผิดหวังเป็นที่ยิ่ง ไทเฮาพูดไม่ออกอีก เป็นกษัตริย์จะเทียบกับอาชีพอื่นได้อย่างไร หากมีอะไรผิดพลาดไป สิ่งที่ต้องเสียไปจะยิ่งใหญ่เพียงใด? แม้ว่าจะเป็นผู้นำในโลกหล้า แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะสิ้นเปลืองได้ตามใจชอบ
ถาวจวินหลันถอนใจ “หากครั้งนี้คำตอบขององค์รัชทายาทไม่ได้ทำให้คนพอใจและเชื่อใจ ไทเฮาก็คงตัดสินใจได้แล้วเป็นแน่เพคะ” ไทเฮาสนับสนุนหลี่เย่มาโดยตลอดตั้งแต่หลี่เย่ยังเป็นองค์ชาย แต่หลังจากแต่งตั้งองค์รัชทายาทแล้ว ไทเฮาก็เก็บความคิดนี้เอาไว้ และไม่ได้สนับสนุนให้หลี่เย่ไปแย่งชิงอะไรอีก ถาวจวินหลันรู้ดีว่าไทเฮาใจอ่อนแล้ว อย่างไรองค์รัชทายาทก็เป็นหลานแท้ๆ ของไทเฮา หากองค์รัชทายาทถูกปลดจากตำแหน่ง ไทเฮาย่อมต้องรู้จุดจบขององค์รัชทายาทดีกว่าใครเป็นแน่
ไม่มีย่าคนไหนอยากเห็นหลานของตนเองปัดแข้งปัดขากัน เจ้าตายข้ารอด แต่ด้วยเป็นที่พึ่งของหลี่เย่ นางจึงต้องให้ไทเฮายอมสนับสนุนพวกนางให้ได้ ดังนั้นนางจึงต้องทำเช่นนี้
ไทเฮามองถาวจวินหลันนิ่ง แสดงสีหน้าโกรธออกมาอย่างฉับพลัน “เจ้ากำลังบีบบังคับข้า”
“เพคะ หม่อมฉันยอมรับ” ถาวจวินหลันยิ้มขมขื่นพลางเอ่ยยอมรับ “หม่อมฉันบีบบังคับไทเฮาแทนขุนนางในแคว้นนี้ และขอให้พระองค์ตัดสินใจ หรือไทเฮาไม่คิดว่ารากฐานของแผ่นดินนี้จะต้องถูกฝังด้วยมือขององค์รัชทายาท?”
ไทเฮานิ่งเงียบไปอีกครั้ง
“หม่อมฉันจะไม่พูดเรื่องอื่น คิดว่าไทเฮาต้องมีคำตอบในใจแล้วเป็นแน่เพคะ ขอแค่พวกเรารอวันที่ฎีกาขององค์รัชทายาทกลับมา” ถาวจวินหลันถอนใจอีกครั้ง ก่อนเอ่ยเสียงเบา แม้ว่าจะบีบบังคับ แต่ก็ไม่ได้มัดมือชก มิเช่นนั้นไทเฮาจะยิ่งต่อต้าน
“บางทีฮองเฮาอาจจะเข้าไปยุ่งเพคะ” ถาวจวินหลันพูดต่อไป “หม่อมฉันให้คนเร่งเดินทางไปแล้ว เพื่อรับประกันว่าฎีกาที่องค์รัชทายาทส่งกลับมานั้น ยังคงอยู่ในรูปแบบเดิมและฉบับเดิมเพคะ”
ไทเฮานิ่งไป จากนั้นก็พูดตามสัญชาตญาณ “เจ้าไม่คิดจะทำอะไรกับมันอย่างนั้นหรือ?”
ถาวจวินหลันส่ายหน้า “หม่อมฉันไม่น่ารังเกียจขนาดนั้นหรอกเพคะ ไทเฮาวางใจได้เพคะ ครั้งนี้ สิทธิ์ในการเลือกอยู่ในมือขององค์รัชทายาท พวกเราไม่มีใครใส่ร้ายเขาเป็นแน่เพคะ”
เห็นชัดว่าไทเฮาไม่เชื่อ เพียงแค่พูดว่า “เจ้ากล้าสาบานหรือไม่?”
ถาวจวินหลันแย้มยิ้ม แล้วก็หรี่ตาลง ใบหน้าเคร่งขรึม ส่งเสียงพูด “เพคะ หม่อมฉันขอสาบาน หากหม่อมฉันแก้ไขฎีกาขององค์รัชทายาท ขอให้หม่อมฉันต้องตกนรกขุมลึกไปชั่วกัลป์ ไม่มีวันได้กลับมาเกิดใหม่! และให้แม่ลูกต้องแยกจากกัน ไม่มีวันได้พบหน้ากันอีก! และขอให้สิ่งที่หม่อมฉันปรารถนาไม่มีทางสำเร็จ ต้องทนทุกข์ทรมานไปทั้งชีวิตเพคะ!”
คำสาบานที่ถูกกล่าวออกมาติดๆ กัน ก็ให้ถาวซินหลันร้อนรน “ท่านพี่!”
ไทเฮานิ่งเงียบไป ผ่านไปนานถึงพูดว่า “เอาเถิด ข้าจะเชื่อเจ้าสักครั้งก็แล้วกัน“
ถาวจวินหลันยิ้มบางๆ “ที่จริงแล้วไทเฮาเรียกหม่อมฉันมาวันนี้ เกรงว่าคงไม่ได้อยากทราบว่าแท้จริงแล้วเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ใช่หรือไม่เพคะ? หรือจะบอกว่าที่วันนี้ท่านพูดมาขนาดนี้ก็เพราะว่าอยากให้หม่อมฉันรับประกันกันแน่เพคะ?”
ท่าทีของไทเฮาเปลี่ยนไป จากนั้นก็หัวเราะ “เจ้าคิดว่าอย่างไรเล่า?”
ถาวจวินหลันไม่ได้พูดอะไรอีก ก่อนเก็บเรื่องนี้ไว้ในก้นบึ้งหัวใจ นางเอนเอียงไปที่ไทเฮารู้เรื่องนี้นานแล้ว แต่เพียงแค่แสดงละครกับนางเท่านั้น แต่เรื่องนี้นางรู้อยู่ในใจก็พอแล้ว ไม่จำเป็นต้องเปิดปากพูด มีแต่จะทำให้อีกฝ่ายอึดอัดใจ
ถาวซินหลันมองไทเฮาอย่างสงสัย และมองไปยังพี่สาวของตนเอง แต่ในใจนั้นยิ่งรู้สึกขมขื่นหนักหน่วง นางไร้เดียงสาเกินไปอย่างนั้นหรือ?
“ไทเฮายังมีเรื่องอื่นอีกหรือไม่เพคะ?” ถาวจวินหลันไม่ยินยอมอยู่นาน จึงถามโดยตรงเช่นนี้ หากไม่มีเรื่องอื่น นางย่อมต้องทูลลาขอออกจากวังหลวง พูดจริงๆ เลยว่าพฤติกรรมของไทเฮาเช่นนี้ นางเองก็รู้สึกไม่สบายใจอยู่บ้าง
ไทเฮามองไปยังถาวจวินหลันทีหนึ่ง กลับพูดว่า “เรื่องการแต่งตั้งจวงผินเป็นเฟยนั้น เจ้ามีความเห็นอย่างไร?”
ถาวจวินหลันรู้อยู่แก่ใจว่าไทเฮามีแผนการอยู่แล้ว แต่ก็ไม่ได้คิดจะรื้อฟื้นอะไรอีกต่อไป เพียงแค่พูดว่า “ในเมื่อจะเลื่อนเป็นเฟย ตัวของจวงผินเองก็ไม่ได้มีเรื่องอะไรที่ควรค่าแก่การเลื่อนเป็นเฟย เช่นนั้นจัดระบบวังหลังใหม่ดีหรือไม่เพคะ?”
“จัดระบบวังหลังใหม่” ไทเฮาหัวเราะออกมา ถามอีกว่า “อี๋เฟยเป็นเฟยแล้ว ถ้าเลื่อนขึ้นไปอีกจะเป็นหวงกุ้ยเฟย แล้วยังมีจิ้งเฟย ซูเฟยจะทำเช่นไร?”
“อี๋เฟยนั้นแต่เดิมก็ได้รับการแต่งตั้งหลังจากคลอดลูกชาย คราวนี้ย่อมไม่จำเป็นต้องแต่งตั้งอีก ต่อให้ถูกแต่งตั้งเป็นหวงกุ้ยเฟย ซูเฟย จิ้งเฟย อี้เฟยล้วนเป็นตำแหน่งเฟยด้วยกันทั้งนั้น อี๋เฟยยังมีผลงานน้อยเกินไป อีกอย่างปีหน้าก็จะมีการคัดเลือกหญิงสาว หากเลื่อนตำแหน่งขึ้นตอนนี้ ก็จะได้มีตำแหน่งว่างให้กับคนใหม่ นั่นไม่ใช่เรื่องดีหรือเพคะ?” ถาวจวินหลันหัวเราะ ตอบอย่างไม่ใคร่สนใจนัก จะแต่งตั้งอย่างไรก็ไม่อาจเหนือไปกว่าฮองเฮาได้ แม้ว่าจะแต่งตั้งให้ฐานะสูงขึ้นแล้วจะอย่างไร? ต่อให้แต่งตั้งอี๋เฟยแล้วจะทำไม? นางยังถือไพ่ตายของอี๋เฟยเอาไว้ อยากจะทำลายเมื่อไรก็ถือเป็นเรื่องง่ายดายมิใช่หรืออย่างไร? แต่คำพูดนี้ยังไม่อาจพูดกับไทเฮาได้ ดังนั้นนางจึงทำได้แค่เงียบขรึม
“อีกอย่าง เช่นอิงผินที่ให้กำเนิดองค์หญิงก็ควรต้องได้เลื่อนขั้นด้วย อย่างแรกเพราะว่ามีประสบการณ์ อย่างที่สองก็ถือเป็นการให้เกียรติองค์หญิงแปด เมื่อเป็นเช่นนี้ จวงผินถูกบีบอยู่ตรงกลางก็จะดูไม่เด่นจนเกินไป” สุดท้ายถาวจวินหลันยังพูดถึงอิงผินด้วย ย่อมต้องเป็นเพราะว่าเรื่องที่นางรับปากกับองค์หญิงแปดเอาไว้
ไทเฮามองถาวจวินหลันอยู่ครู่หนึ่ง อดลอบถอนใจไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา เพียงแค่พูดว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้เจ้าก็กลับไปเถิด ในใจของข้ารู้ดี”