บัลลังก์พญาหงส์ - บทที่ 540 เพิ่มเติม
วันรุ่งขึ้นเข้าวังหลวง ถาวจวินหลันก็ ‘บังเอิญ’ พบหยวนฉงหวาที่สวนดอกไม้
เพราะว่าเวลามีจำกัด ทั้งคู่จึงไม่มีเวลาพูดตามมารยาทอีก แต่เลือกวิธีพูดขวานผ่าซากแทน
ถาวจวินหลันถามตรงๆ “เจ้ารู้ว่าบุตรชายขององค์รัชทายาทถูกเลี้ยงอยู่ที่ใดหรือไม่?”
หยวนฉงหวาอึ้งไป จากนั้นก็เลิกคิ้วแสดงสีหน้าสนใจ “อยู่ดีๆ จะถามเรื่องนี้ทำไมกัน?”
“ดูท่าทางหยวนเหลียงตี้คงรู้เรื่องเซิ่นเอ๋อร์ของจวนพวกข้าถูกลักพาตัวไปแล้ว” ถาวจวินหลันพูดช้าๆ จากนั้นก็ถอนใจ “ถ้าหาเซิ่นเอ๋อร์ไม่พบ เกรงว่าข้าตายไปก็ล้างความผิดไม่ได้ ถึงเวลานั้นบางทีพวกเขาคงคิดว่าข้าตั้งใจกำจัดภาระที่ตามมา”
แต่คิดไม่ถึงว่าหยวนฉงหวาจะถามกลับเช่นนี้ “แล้วเจ้าไม่ได้ทำอย่างนั้นหรือ?”
ถาวจวินหลันได้ยินก็หัวเราะขมขื่นทันที ดูท่าทางหยวนฉงหวาก็คิดว่านางทำเรื่องนี้ หยวนฉงหวาคิดเช่นนี้ ก็แสดงว่าคนส่วนใหญ่คิดเช่นนี้เหมือนกันกระมัง?
“เจ้าคิดว่าข้าโง่ถึงเพียงนั้นเชียวหรือ ถึงกับต้องวางแผนมากมายเพียงเพราะเด็กน้อยที่ยังไม่หย่านมคนเดียวอย่างนั้นหรือ? ต่อให้เขาคุกคามจริง แต่อย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาสิบปีหลังจากนี้ ตอนนี้ข้าร้อนใจไปไม่ใช่โง่แล้วจะเป็นอะไรไปได้? อีกอย่างในอนาคตก็ใช่ว่าจะไม่มีเด็กคนอื่นเกิดมาอีกแล้ว หรือว่าข้าจะต้องไล่ลงมือทีละคนอย่างนั้นหรือ?” ถาวจวินหลันหัวเราะเยาะ “ข้าคิดว่า ข้าคงไม่ได้โง่เง่าถึงขั้นนั้นเป็นแน่“
หยวนฉงหวาคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็หัวเราะเช่นเดียวกัน “นั่นก็ถูก”
ถาวจวินหลันกลับเข้าประเด็นหลักอีกครั้ง “เจ้าบอกข้ามาเถิด ว่าแท้จริงแล้วเจ้ารู้หรือไม่ว่าเด็กคนนั้นถูกเลี้ยงอยู่ที่ใด?”
หยวนฉงหวาหุบยิ้ม แล้วมองถาวจวินหลันนิ่ง “บอกข้ามาเถิด เจ้าคิดจะทำอะไรกันแน่ เซิ่นเอ๋อร์หายไป แล้วเกี่ยวอะไรกับเด็กคนนั้นกันแน่”
ดูจากท่าทีของหยวนฉงหวาแล้ว คล้ายจะใส่ใจเด็กคนนั้นมาก
ถาวจวินหลันมองดูด้วยท่าทีเคร่งขรึม “เจ้าคิดจะเลี้ยงเด็กคนนั้นอย่างนั้นหรือ?”
หยวนฉงหวาพยักหน้ารับทันที “แน่นอน นั่นเป็นสายเลือดเพียงคนเดียวขององค์รัชทายาท และเป็นเพียงคนเดียวที่จะได้รับการสืบทอดจากองค์รัชทายาท หากข้าเลี้ยงดูเขา เขาก็เลี้ยงดูข้ายามแก่ชราได้มิใช่หรือ? องค์รัชทายาทฆ่าลูกของข้า เขาย่อมต้องชดใช้ให้ข้าคนหนึ่ง”
ถาวจวินหลันขมวดคิ้วเล็กน้อย “แต่ชาติกำเนิดของเด็กคนนั้นก็ไม่ได้ดี เลี้ยงไปก็เกรงว่าคงไม่ได้รับการยอมรับ อีกอย่างลูกของอนุภรรยาคนอื่นก็ดีกว่ามิใช่อย่างนั้นหรือ? ทั้งถูกต้องตามทำนองคลองธรรม ทั้งยังเดินทางที่ถูกต้องอีกด้วย”
“เจ้าคิดว่าผู้หญิงมากมายขององค์รัชทายาทยังมีใครตั้งครรภ์ได้อีก?” หยวนฉงหวาหัวเราะเสียงเย็น มองไปยังถาวจวินหลัน “โดยเฉพาะหลังจากหวังเหลียงตี้เข้ามาในจวน บรรดาบ่าวรับใช้เหล่านั้นก็ถูกสั่งดื่มยานั่นกันทั้งนั้น”
หยุดไปครู่หนึ่ง หยวนฉงหวาก็แย้มยิ้ม “เจ้าคงจะไม่รู้ ที่จริงแล้วหวังเหลียงตี้มีบุตรไม่ได้แล้ว ตอนที่นางเพิ่งเข้ามาเดือนแรก ข้าแอบใส่ยาทำหมันในชาของนางติดต่อกันหนึ่งเดือน ต่อจากนี้ไปนางอย่าคิดจะมีลูกอีกเลย”
ถาวจวินหลันได้ยินความโหดร้ายของหยวนฉงหวาก็นิ่งอึ้งไป ผ่านไปครู่ใหญ่ถึงได้สติกลับมา “นี่ เจ้าไม่กลัวคนรู้เลยหรืออย่างไร? หากถูกคนพบเล่า? พอถึงเวลาสืบจริงๆ เกรงว่าเจ้า…”
หยวนฉงหวายังคงรักษารอยยิ้มเหมือนเดิม น้ำเสียงก็ดูสบายใจ “ข้ายังต้องกลัวอะไร? เจ้าคิดว่าพระชายาองค์รัชทายาทไม่รู้อย่างนั้นหรือ? ต่อให้พระชายาไม่รู้ทั้งหมด แต่ก็ต้องคาดเดาได้บ้าง เจ้าว่าทำไมนางถึงไม่ขัดขวางข้าเล่า? นั่นเป็นน้องสาวแท้ๆ ของนางนะ”
หยวนฉงหวาส่งเสียงหัวเราะฮึ พลางพูดทอดถอนรำพัน “ดูสิ พี่น้องแท้ๆ ยังเป็นเช่นนี้ ช่างน่าขันจริงๆ เจ้าว่าจริงหรือไม่?”
น่าขันจริง ถาวจวินหลันลอบถอนใจ ทั้งอนาถใจเป็นที่ยิ่ง ทั้งรู้สึกโชคดียิ่งนัก ยังดีที่จวนตวนชินอ๋องไม่มีผู้หญิงอย่างหยวนฉงหวา ยังดีที่ศัตรูของหยวนฉงหวาเป็นผู้หญิงขององค์รัชทายาท
ฮองเฮาคงคิดไม่ถึงแน่ นางตั้งใจพาหวังเหลียงตี้เข้าวังหลวงมา ก็ด้วยอยากให้องค์รัชทายาทได้ทายาทสืบทอดเชื้อสาย แต่ที่จริงแล้วกลับทำร้ายหลานสาวของตัวเองอีกคนหนึ่ง และเรื่องทั้งหลายเหล่านี้ก็ยังเกิดขึ้นใต้จมูกของพระชายาองค์รัชทายาท และพระชายาองค์รัชทายาทก็ยังอนุญาตเป็นนัยด้วย
แม้แต่ตัวของหวังเหลียงตี้เองก็ยังคิดไม่ถึง นางไม่มีโอกาสได้เป็นแม่คนอีกแล้ว แม้กระทั่งพี่สาวของนางแท้ๆ ก็ยังยอมให้เป็นไปเช่นนี้
“ข้าจะไม่ทำร้ายเด็กคนนั้น” ถาวจวินหลันถอนใจ ในเมื่อองค์รัชทายาทไม่มีลูกคนอื่น ถ้าเช่นนั้นเด็กคนนี้ก็สำคัญมากจนไม่อาจบรรยายได้ นางเข้าใจความคิดของหยวนฉงหวา ดังนั้นจึงออกปากรับประกันทันที
หยวนฉงหวากลับไม่ค่อยเชื่อนัก “ข้าจะเอาอะไรมาเชื่อเจ้า?”
ถาวจวินหลันถอนใจทีหนึ่ง “แล้วทำไมเจ้าถึงไม่เชื่อข้า? เจ้ารู้จักข้ามาตั้งแต่เด็ก ก็น่าจะรู้ว่าข้าถาวจวินหลันไม่ใช่คนเอ่ยวาจาปลิ้นปล้อน”
เรื่องนี้เป็นความจริง หยวนฉงหวาครุ่นคิดรอบคอบ ยังหาเรื่องที่ถาวจวินหลันกลับคำไม่ได้ พูดตามตรงแล้วถาวจวินหลันก็มีชื่อเสียงดีมาโดยตลอด
“เจ้าเองก็ใช้ประโยชน์จากเรื่องนี้เอาเด็กมาเลี้ยงโดยถูกต้องได้” ถาวจวินหลันหัวเราะเบาๆ “ใช้โอกาสตอนที่ไทเฮายังไม่รู้เรื่องหวังเหลียงตี้ให้กำเนิดไม่ได้ แล้วเจ้าเองก็เลี้ยงเด็กคนนี้ไว้ชั่วคราวก่อน ต่อจากนั้น องค์รัชทายาทจะทนได้อีกนานเท่าไรกัน? เรื่องปลดองค์รัชทายาทเป็นเอกฉันท์แล้ว เขาไม่มีที่ให้ดิ้นหนีไปไหนอีก คิดว่าเจ้าคงจะรู้เรื่องนี้ดีกว่าข้า”
“องค์รัชทายาทถูกปลดไม่ใช่เรื่องสำคัญ ขอเพียงยังเหลือจวนคังอ๋องไว้ก็พอแล้ว แม้ว่าจะเป็นท่านอ๋องไม่ได้ แต่เป็นคุณชายก็ยังดี” หยวนฉงหวาครุ่นคิดอย่างรอบคอบ สุดท้ายก็พูดเช่นนี้
ถาวจวินหลันย่อมเข้าใจความหมายของหยวนฉงหวา จึงพยักหน้ารับปาก “แน่นอนอยู่แล้ว อย่างไรพ่อของเขาก็เป็นพี่น้องของท่านอ๋อง นี่เป็นหลานแท้ๆ ของเขา แม้ว่าชาติกำเนิดจะไม่ได้สูง แต่อย่างไรก็ไม่ละเลยเขาเป็นแน่ ถึงตอนนั้นเจ้าถือเป็นมารดาที่เลี้ยงเขาจนโต คิดว่าเขาจะต้องตอบแทนเจ้าแน่นอน”
หยวนฉงหวาคล้ายคิดภาพตามคำพูดของถาวจวินหลัน ก่อนยิ้มน้อยๆ ดูแฝงไว้ด้วยท่าทีอบอุ่น สุดท้ายแล้วหยวนฉงหวาจึงยอมบอกสถานที่แห่งหนึ่ง “องค์รัชทายาทย้ำข้าเอาไว้ก่อนไป ให้ข้าไปดูแลแทนเขา มิเช่นนั้นข้าเองก็คงไม่รู้ ไม่ต้องพูดถึงข้า แม้แต่ฮองเฮาและพระชายาองค์รัชทายาทก็ไม่รู้เรื่องแม้แต่น้อย”
ถาวจวินหลันหัวเราะ นางเดาความคิดขององค์รัชทายาทได้ นี่เพราะกลัวว่าฮองเฮาจะลงมือฆ่า และกลัวว่าพระชายาองค์รัชทายาทรู้เข้าแล้วจะลงมือทำร้าย องค์รัชทายาทจึงกำลังป้องกันทุกทาง
“วางใจเถิด ข้าไม่ละเลยเด็กคนนี้แน่นอน เพียงแค่เอามาเลี้ยงไม่กี่วันเท่านั้น จากนั้นก็จะเอาไปแลกกับเซิ่นเอ๋อร์” ถาวจวินหลันยิ้มบางๆ พลางพูดปลอบประโลมหยวนฉงหวาอีกครั้ง
หยวนฉงหวาพยักหน้า จากนั้นก็หัวเราะชั่วร้าย “ข้าบอกอีกเรื่องหนึ่งเพิ่มเติมกับเจ้าก็แล้วกัน หลังจากเห็นการเฉือนหนังครั้งนั้นแล้ว องค์รัชทายาทก็ไม่ถูกโลกีย์ยั่วยวนอีก ไม่ว่าผู้หญิงจะล่อลวงอย่างไร องค์รัชทายาทก็ไม่ตอบโต้แม้แต่น้อย และพอเห็นร่างเปลือยของสตรีก็มีเหงื่อเย็นไหลไปทั้งร่าง อีกทั้งหน้าซีดเผือด และมีอาการคลื่นไส้อาเจียน”
ถาวจวินหลันได้ยินก็ตกตะลึงตาค้าง สุดท้ายก็หัวเราะเย้ย “ช่างเป็นข่าวดีเสียจริง” ผู้หญิงขององค์รัชทายาทให้กำเนิดไม่ได้แล้ว ที่จริงแล้วก็ไม่เห็นว่าจะทำให้ฮองเฮาจะสนใจเด็กคนนั้น แต่หากองค์รัชทายาทไม่มีกามารมณ์อีกเล่า? ก็หมายความว่าต่อให้ผู้หญิงทั้งใต้หล้าเสนอตัวให้กับองค์รัชทายาท ก็ไม่อาจให้กำเนิดเชื้อสายกับองค์รัชทายาทได้ เมื่อเป็นเช่นนี้ คนอื่นจะไม่คิดมากเรื่องผู้สืบสายเลือดเพียงคนเดียวขององค์รัชทายาทได้อย่างไร?
เมื่อพูดออกมาจากใจจริงแล้ว ถาวจวินหลันก็คิดว่าหยวนฉงหวาจงใจเปิดเผยเรื่องนี้ให้ตนเองทราบ ที่จริงแล้วก็เพียงเพราะอยากให้องค์รัชทายาท ฮองเฮา และพระชายาองค์รัชทายาทถูกบีบบังคับเท่านั้น แต่ก็ต้องยอมรับว่าข่าวนี้เป็นประโยชน์มาก
ถาวจวินหลันจึงพูดขอบคุณจากใจ “ขอบใจเจ้ามาก”
หยวนฉงหวาเม้มปากยิ้ม แฝงไว้ด้วยความสะใจเล็กน้อย “หากเจ้าอยากขอบคุณข้าจริง ก็จัดการเอาเด็กคนนี้มาไว้ใต้ชื่อข้าให้ได้แล้วกัน”
ถาวจวินหลันยิ้มรับ “ในเมื่อเจ้าช่วยข้ามากมายเช่นนี้ ข้าย่อมไม่มีทางละเลยเจ้าแน่”
นางกับหยวนฉงหวานับว่าแลกเปลี่ยนโดยยุติธรรมมิใช่หรืออย่างไร? หยวนฉงหวาแสดงความจริงใจมากเช่นนี้ นางย่อมไม่ให้หยวนฉงหวาเสียเปรียบแน่นอน
“ข้ายังต้องไปพบไทเฮาเพื่อขอยาให้ชายารองเจียง คงอยู่คุยกับชายารองหยวนไม่ได้แล้ว “ ถาวจวินหลันอมยิ้ม หางตาก็เหล่มองไปทางนางกำนัลที่ก้มๆ เงยๆ อยู่ไม่ไกล จากนั้นก็ก้าวเข้าไปใกล้หยวนฉงหวา “ดูท่าทาง เจ้าเองก็ต้องระวังเช่นเดียวกัน เห็นได้ชัดว่ามีคนไม่เชื่อใจเจ้า เพื่อสนองน้ำใจซึ่งกันและกันข้าช่วยเจ้าสักครั้งเป็นอย่างไร?
พอพูดจบ นางก็ผลักหยวนฉงหวาเบาๆ พร้อมหัวเราะเย้ยว่า “เจ้าคิดว่าตนเองเป็นใคร? คิดว่าพูดเช่นนี้ได้หรือ? ให้ข้าทำความเคารพเจ้า? เป็นแค่เหลียงตี้เท่านั้น ฐานะของพวกเราก็เท่ากันย่อมต้องเสมอภาค อีกทั้งข้าเป็นมารดาของซวนเอ๋อร์ อีกทั้งตอนนั้นบิดาของเจ้าก็เป็นเพียงแค่ลูกน้องของจวนพวกข้า เจ้ายังมีหน้ามาตั้งท่าอะไรต่อหน้าข้าอีก?”
หยวนฉงหวาได้สติทันที หัวเราะเสียงเย็นตอบกลับ “เป็นแค่ชายารองชินอ๋องเท่านั้น รอมีพระชายาตวนชินอ๋องเมื่อไร เจ้าจะเป็นตัวอะไร?” นางพูดตะคอก ก่อนสะบัดแขนเสื้อเดินจากไป แล้วยังทำเสียงดังตำหนินางกำนัล “ยังจะเก็บกวาดหิมะอะไรอีก? เจ้านายถูกเยาะเย้ย พวกเจ้าไม่มีปากพูดหรืออย่างไร!”
วันนี้หยวนฉงหวาออกมาด้วยข้ออ้างว่าออกมาปัดหิมะบนดอกเหมยที่ใช้ชงชา ในตอนนี้เมื่อพูดขึ้นมา ย่อมต้องดูสมเหตุสมผล
ถาวจวินหลันยิ้มบางๆ หมุนตัวแล้วถึงเดินทางไปยังวังหย่งโซ่ว
พอถึงวังหย่งโซ่วแล้ว ไทเฮาก็เพิ่งจะทานอาหารเช้าเสร็จ กำลังเอนกายบนตั่งพูดคุยขบขันกับจางหมัวหมัวและถาวซินหลัน อีกทั้งยังมีนางกำนัลยิ้มน้อยๆ คอยนวดขาให้ไทเฮาไปด้วย
พอถาวจวินหลันเข้าไปแล้ว บรรยากาศภายในห้องก็เปลี่ยนเป็นเย็นเยียบลง รอยยิ้มบางๆ บนใบหน้าของไทเฮาพลันก็จางหายไป “เป็นอย่างไรบ้างแล้ว?”
ถาวจวินหลันถอนใจ ก่อนส่ายหน้าน้อยๆ “ยังไม่มีเบาะแสอะไรเพคะ กลายเป็นว่าชายารองเจียงอารมณ์พลุ่งพล่าน ท่าทางดูไม่ค่อยดีนักเพคะ เมื่อคืนนี้ก็ไม่นอนทั้งคืน หากเป็นเช่นนี้ต่อไป เกรงว่านางคงรับไม่ไหวเพคะ อาการบาดเจ็บจากครั้งที่แล้วก็ยังไม่หายดีนัก ตอนนี้ยังเป็นเช่นนี้อีก ร่างกายจะรับไหวได้อย่างไรเพคะ?”
ไทเฮาก็ถอนใจเช่นกัน “นางมีชีวิตลำบาก เอาแต่พบพานเรื่องร้าย”
ถาวจวินหลันหัวเราะขมขื่น พูดว่า “ดังนั้นหม่อมฉันถึงได้แบกหน้าเข้าวังหลวงมา อยากขอยาดีๆ จากไทเฮา กลัวว่าถึงเวลาที่ตามหาเซิ่นเอ๋อร์พบ นางกลับต้องล้มป่วยไปแทน”