บัลลังก์พญาหงส์ - บทที่ 554 แผนร้าย
แต่ฮองเฮากลับคิดอีกวิธีหนึ่งขึ้นมาแทน จดหมายนามแฝงและรองเท้าที่เปื้อนเลือดของเซิ่นเอ๋อร์ข้างหนึ่งถูกส่งมาถึงมือของเจียงอวี้เหลียน ความหมายแอบแฝงว่าถาวจวินหลันไม่ยอมทำเรื่องนี้ เซิ่นเอ๋อร์ถึงไม่ได้กลับบ้านเสียที อีกทั้งยังบอกว่า หากถาวจวินหลันยังไม่ยอมทำ ตั้งแต่วันพรุ่งนี้เป็นต้นไป พวกเขาจะตัดนิ้วมือของเซิ่นเอ๋อร์ส่งมาทีละนิ้ว
เจียงอวี้เหลียนอ่านแล้วก็คลุ้มคลั่งทันที จากนั้นก็พุ่งเข้ามายังเรือนเฉินเซียงโดยไม่สนใจอะไร ครั้งนี้ต่อให้เตรียมพร้อมไว้ดีแล้ว แต่เจียงอวี้เหลียนก็ยังทำให้เสียแผนอยู่ดี
แล้วเจียงอวี้เหลียนก็แย่งอาอู่ไป
ตอนแรกเป้าหมายของเจียงอวี้เหลียนเป็นซวนเอ๋อร์หรือหมิงจู แต่ซวนเอ๋อร์กับหมิงจูมีคนเฝ้าไว้อย่างดี ดังนั้นนางจึงทำได้แค่ขโมยอาอู่ไป เพราะอาอู่มีแม่นมเฝ้าเพียงคนเดียวเท่านั้น ไม่สามารถขวางห้ามเจียงอวี้เหลียนได้
เจียงอวี้เหลียนบีบคอของอาอู่เอาไว้ พูดเสียงดัง “ถาวจวินหลัน หากเจ้ายังไม่เอาลูกชายของข้ากลับมา ข้าจะบีบคอเด็กคนนี้ให้ตาย!”
ถาวจวินหลันเพิ่งรีบมาจากห้องหนังสือหลังจากได้รับรายงาน นางกำลังเขียนจดหมายตอบกลับให้หลี่อย่อยู่ในห้องหนังสือ นางจึงไม่รู้ความเคลื่อนไหวทางด้านนี้ รอจนเข้าห้องมาแล้วนั้นถึงได้ยินเจียงอวี้เหลียนพูดข่มขู่นาง
ถาวจวินหลันสีหน้าเคร่งขรึมไม่น่ามอง ไม่ได้เป็นเพราะท่าทีของเจียงอวี้เหลียน แต่เป็นเพราะอาอู่ ตอนนี้อาอู่เพิ่งจะอายุเท่าไรกัน? เด็กอายุสี่เดือน คอยังอ่อนอยู่ พอถูกคนบีบไว้เช่นนี้ก็เป็นเรื่องใหญ่แล้ว
อาอู่เริ่มร้องไห้หายใจไม่ออก ปกติแล้วอาอู่มีนิสัยนิ่งสงบ น้อยครั้งที่จะร้องไห้เอาเป็นเอาตายเช่นนี้ ครั้งนี้จึงทำให้คนที่เห็นนึกสงสารยิ่งนัก
พออาอู่ร้องไห้ หมิงจูก็ร้องไห้ตาม ฉับพลันนั้นทั้งห้องก็เต็มไปด้วยเสียงร้องไห้ระงม
ถาวจวินหลันใจเต้นแรง ความรู้สึกโกรธพลุ่งพล่านมาจากก้นบึ้งหัวใจ นางถลึงตามองเจียงอวี้เหลียน “เจ้าจะทำอะไร?! เขาเป็นแค่เด็ก! เจ้าเองก็เป็นแม่คน! ทำไมเจ้าถึงกล้าทำกับเด็กคนหนึ่งแบบนี้!”
เจียงอวี้เหลียนตาแดงก่ำทั้งสองข้าง ไม่ได้สั่นคลอนเพราะคำพูดนางแม้แต่น้อย เพียงแค่ตะคอกถามสุดเสียง “แล้วจะทำไม? ข้าก็มีเพียงเซิ่นเอ๋อร์ของข้าเท่านั้น! ถาวจวินหลัน ถ้าเจ้าไม่หาเซิ่นเอ๋อร์ของข้ากลับมา ข้าจะบีบคอเด็กคนนี้! ข้าพูดจริงทำจริง!”
พอพูดจบ เพื่อพิสูจน์ว่าตนเองทำได้จริง เจียงอวี้เหลียนจึงบีบนิ้วมือเข้าหากันแน่นขึ้นอีก จนเสียงร้องไห้ของอาอู่จุกอยู่ในลำคอ ใบหน้าก็เริ่มเห่อแดงอย่างรวดเร็ว
ถาวจวินหลันไม่กล้าเสี่ยงอันตราย และไม่สนใจอย่างอื่น นางจึงรีบรับปากเสียงดัง “ได้ ข้ารับปากเจ้า! ข้ารับปากเจ้า! เจ้าปล่อยมือก่อน!“ อาอู่เพิ่งจะอายุเท่าไรกัน? เขาจะทนได้อย่างไร?
พอเจียงอวี้เหลียนได้ยินถึงได้ผ่อนแรงลง แล้วอาอู่ก็ไอสำลัก ร้องไห้ด้วยความหวาดกลัว
แม้ว่าจะไม่ใช่ลูกของตนเอง แม้ว่าจะไม่มีความผูกพัน ถาวจวินหลันก็ยังรู้สึกสงสารมาก
แต่เจียงอวี้เหลียนกลับไม่รู้สึกรู้สาอะไร นางอุ้มอาอู่อย่างเย็นชา “วันพรุ่งนี้ข้าต้องได้พบเซิ่นเอ๋อร์!” ไม่รอให้ถาวจวินหลันพูดอะไร นางก็หันตัวและเดินออกไปในทันที
นางอุ้มอาอู่เอาไว้ คนอื่นย่อมไม่กล้าไปขวางหรือโต้แย้ง แม้แต่ตัวยังเกร็งไปตามๆ กัน ตอนนี้คนอื่นเห็นเจียงอวี้เหลียนไม่ต่างอะไรจากคนบ้าแม้แต่น้อย
คนปกติใครกล้าทำเรื่องเช่นนี้บ้าง? ใครจะเสียใจสิ้นสติจนลงมือกับเด็กอายุสี่เดือน?
แม้ว่าเจียงอวี้เหลียนเป็นเช่นนี้เพราะสูญเสียลูกชาย แต่สุดท้ายแล้วหากไม่ใจเ**้ยมก็คงทำไม่ได้
หลังจากเจียงอวี้เหลียนกลับไปแล้ว แม่นมที่ดูแลอาอู่ก็คุกเข่าลงพื้นทันที เพราะว่าหวาดกลัวจนเกินไป ทั้งร่างถึงได้สั่นสะท้านเป็นลูกนก แม้แต่พูดก็ยังพูดไม่ออก
ถาวจวินหลันเหลือบมองทีหนึ่ง ก่อนถอนใจเบาๆ แต่กลับไม่ได้ไประบายความโกรธใส่แม่นมอย่างที่ทุกคนคิดเอาไว้ และยังไม่มีท่าทีกล่าวโทษแต่อย่างไร เพียงแค่สะบัดมือ “ช่างเถิด เจ้าตามอาอู่ไปเถิด แม้จะบอกว่าไปอยู่ที่เรือนชิวอี๋ชั่วคราว แต่อาอู่ก็ต้องมีนมกิน เขาคุ้นเคยสนิทกับเจ้า เจ้าตามเขาไปก็จะไม่กลัวขนาดนั้น”
แม้ว่าในหัวของถาวจวินหลันจะยุ่งเหยิงวุ่นวาย แต่ก็รู้ดีแก่ใจว่าไม่ใช่เวลามาโทษใคร ในตอนนี้ที่สำคัญมากที่สุดมีเพียงตามเซิ่นเอ๋อร์กลับมาทันที เจียงอวี้เหลียนถึงจะยอมสงบใจได้
แม้ว่าองค์รัชทายาทกับฮองเฮาจะน่ารังเกียจเพียงใด แต่ถาวจวินหลันก็ยังไม่คิดจะกำจัดลูกขององค์รัชทายาท และยิ่งไม่อยากให้อาอู่ที่เป็นแค่เด็กตัวเล็กๆ ต้องมารับผิดชอบอะไร ที่สำคัญที่สุดก็คือ นางเห็นอาอู่สำคัญมาก ก่อนอื่น นางเคยรับปากหยวนฉงหวาไว้แล้ว และนางยังหวังใช้อาอู่เป็นตัวทำลายความสัมพันธ์ระหว่างอี๋เฟยกับฮองเฮา อีกทั้งยังใช้มาขมขู่ฮองเฮาไม่ให้ลงมือกับหลี่เย่ได้ด้วย
แน่นอนว่าเรื่องนี้ยังไม่ต้องพูดถึง อย่างไรนางก็ดูอาอู่ตายคามือเจียงอวี้เหลียนไม่ได้กระมัง? หากเป็นเช่นนั้นจริงนางก็นับเป็นฆาตกร ถ้าไม่ใช่เพราะนางพาอาอู่มาอยู่ที่เรือนเฉินเซียง ถ้าไม่ใช่เพราะนางลักพาตัวอาอู่มา อาอู่จะมาเจอเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไร?
ถาวจวินหลันไม่รู้ว่าตนเองรู้สึกผิดหรือโทษตนเองมากกว่ากัน แน่นอนว่าตอนนี้นางไม่มีเวลาไปคิดเรื่องเหล่านี้แล้ว เพียงแค่พิจารณาอยู่ครู่หนึ่ง ถาวจวินหลันก็ลุกขึ้นมาพูดว่า “เปลี่ยนชุดให้ข้า ข้าจะเข้าวังหลวง”
ปี้เจียวย่อมต้องรู้ความรุนแรงของเรื่องนี้ รีบเข้าไปช่วยถาวจวินหลันเลือกชุด เตรียมเครื่องประดับ
“ดูแล้วใกล้จะถึงสิ้นปีมากขึ้นเรื่อยๆ เลือกสีสดใสหน่อยจะดีกว่า เครื่องประดับก็เลือกเอาที่มีราคาหน่อย อย่าให้ฐานะของจวนตวนชินอ๋องพวกเราดูด้อยค่า แล้วก็เอาดอกหมู่ตานนั้นออกมาให้ข้า วันนี้ข้าจะใส่ไป” ถาวจวินหลันคิดถึงเรื่องที่ตนเองกำลังจะทำ ก็สั่งปี้เจียวดังนี้
เพียงไม่นาน นางก็แต่งหน้าแต่งตัวเรียบร้อย แล้วเร่งรีบเข้าวังหลวงไป แน่นอนว่าที่จริงแล้วไม่ได้มีอะไรแตกต่างจากวังธรรมดา แต่ที่ร้อนรนนั้นก็เป็นเพียงแค่จิตใจนางเท่านั้นเอง แต่ต่อให้ร้อนรนเพียงใดนางก็ยังคงรักษาความสงบนิ่งเอาไว้ได้
ถาวจวินหลันตรงไปพบฮองเฮาทันที
ฮองเฮากลับไม่ได้ปฏิเสธการขอเข้าเฝ้า แต่หลังจากพบถาวจวินหลันแล้วก็หัวเราะพูดว่า “ดูท่าทางชายารองถาวจะมาเพื่อขอร้องกระมัง?”
ถาวจวินหลันยืนนิ่งอยู่ที่เดิม ไม่ได้ทำความเคารพอย่างเวลาปกติ เพียงแค่มองฮองเฮานิ่งๆ ได้ยินเช่นนี้นางก็เข้าใจทันทีว่าฮองเฮากำลังรอนางเช่นกัน นางเองก็ไม่ปล่อยให้เสียเวลา หัวเราะเย้ยพูดว่า “ขอร้อง? ฮองเฮาเหนียงเหนียงคิดว่าหม่อมฉันมีอะไรต้องขอร้องหรือเพคะ? น่าเสียดายที่ต้องทำให้ฮองเฮาเหนียงเหนียงผิดหวังแล้วเพคะ ในทางกลับกันหม่อมฉันมาทวงเด็กคืนเพคะ”
ฮองเฮายังยิ้มเหมือนเดิม แล้วค่อยๆ หยิบผลส้มขึ้นมาปอกเปลือก เล็บสีแดงสดที่ถูกทาเอาไว้อย่างประณีตบรรจงนั้นดูแล้วเหมือนมีกลิ่นของเลือดสดอบอวลอยู่ตลอด ชวนให้คนรู้สึกเหม็นคาวเลือดยิ่งนัก
ฮองเฮายิ้มพูดต่อไป “มีคำพูดที่ว่า ถึงเป็ดตายก็ยังปากแข็ง ไม่รู้ว่าถาวซื่อเคยได้ยินหรือไม่ แล้วยังมีอีก เรียกว่า ข้อศอกไม่สามารถงัดข้อกับต้นขาได้ ไม่รู้ว่าถาวซื่อเคยได้ยินมาก่อนหรือไม่?”
ถาวจวินหลันรู้ว่าฮองเฮากำลังเย้ยหยันตนเองอยู่ อีกทั้งเห็นได้ชัดว่าฮองเฮาดูอารมณ์ดีมาก นางจึงอดเลิกคิ้วขึ้นมาไม่ได้ ในใจคิดว่า ฮองเฮาคงคิดว่าบีบนางจนถึงทางตันแล้ว จึงทำได้เพียงร้องขอเท่านั้นหรือ? ฮองเฮาคิดว่าตนเองกุมชัยชนะอยู่ในมือแล้วหรืออย่างไร?
ถาวจวินหลันยิ้มสดใส มองฮองเฮานิ่งพลางถามอย่างเฉียบคมว่า “เหนียงเหนียงคิดว่ากุมชัยชนะอยู่หรือเพคะ? ไม่ทราบว่าเอาความมั่นใจมาจากที่ใดกันเพคะ? เพราะว่าเจียงอวี้เหลียนอย่างนั้นหรือ? ทำไมเหนียงเหนียงถึงคิดว่าเจียงอวี้เหลียนจะข่มขู่หม่อมฉันได้เพคะ? ต่อให้เจียงอวี้เหลียนอุ้มหมิงจูไปแล้วจะเป็นอย่างไร? หม่อมฉันไม่เชื่อว่านางจะกล้าทำอะไรหมิงจู นอกเสียจากนางไม่อยากมีอนาคตแล้ว”
ทั้งๆ ที่เจียงอวี้เหลียนเอาอาอู่ไป แต่ถาวจวินหลันกลับพูดว่าหมิงจู ก็ด้วยนางมั่นใจว่าฮองเฮายังไม่รู้ข่าว ก่อนออกมานางได้ออกคำสั่งปิดจวนอ๋องทุกด้านแล้ว ไม่อนุญาตให้ข่าวแพร่กระจายออกไปข้างนอก ไม่เพียงแค่กันคนไว้ แม้แต่นกบนฟ้าก็ห้ามบินผ่าน
หากทำเช่นนี้แล้วยังปิดบังไม่ได้ นางก็ไม่มีวิธีอื่นแล้ว ต่อให้ปิดบังไม่ได้ แต่ให้ยืดเวลาออกไปอีกเล็กน้อยก็พอทำได้ อย่างน้อยตอนนี้นางก็มั่นใจว่าฮองเฮายังไม่รู้เรื่องเจียงอวี้เหลียนลักพาตัวใครไป
ฮองเฮาเผยสีหน้าเสียดายออกมาตามคาด ก่อนถอนหายใจพูดว่า “เจียงอวี้เหลียนปีนกำแพงได้เสียเมื่อไร หากนางลักพาตัวซวนเอ๋อร์ไป เจ้าคงไม่ใจเย็นเช่นนี้เป็นแน่” เงียบไปครู่หนึ่ง นางก็มองถาวจวินหลันอย่างแปลกใจ “แต่พูดไปแล้ว เจ้านับว่าโชคดีเสียจริง ไม่ว่าอย่างไรสวรรค์ก็ช่วยเจ้าอยู่ดี”
นี่เป็นครั้งแรกที่ฮองเฮาพูดแบบนี้ต่อหน้าถาวจวินหลัน แฝงความน้อยใจและความอิจฉาไว้เล็กน้อย
ถาวจวินหลันยิ้มบางๆ แล้วยอมรับทันที “ก่อนหน้านี้ลำบากมาเยอะ คิดว่าสวรรค์คงยอมช่วยหม่อมฉันเพคะ” นางรู้สึกสบายใจขึ้นเล็กน้อย ดูท่าทางฮองเฮาจะยังไม่รู้สถานการณ์เป็นแน่แท้ และยังหลอกผ่านไปได้ เช่นนั้นให้อาอู่ไปเลี้ยงไว้กับทางเจียงอวี้เหลียนชั่วคราวก็คงไม่มีปัญหาอะไร อย่างน้อยก็ไม่ต้องกังวลว่าฮองเฮาจะพาอาอู่กลับไป
หลังจากสบายใจได้แล้ว ถาวจวินหลันก็มีอารมณ์พูดเรื่องอื่น นางมองไปยังฮองเฮา ถามกลับเสียงเบา “ฮองเฮาเหนียงเหนียงคิดว่าต่อให้ซวนเอ๋อร์ถูกเจียงอวี้เหลียนแย่งไปข่มขู่หม่อมฉัน หม่อมฉันก็ต้องเชื่อฟังคำพูดของฮองเฮาเหนียงเหนียงหรือเพคะ? คิดว่าหม่อมฉันไม่มีไพ่ตายใบอื่นหรืออย่างไรเพคะ?”
“ข้าไม่เอาเด็กคนนั้นแล้ว” ฮองเฮายิ้มบางๆ “องค์รัชทายาทยังอายุน้อย หากรักษาหายก็กลับมามีลูกได้เหมือนเดิม แม้ว่าจะมีลูกไม่ได้จริงๆ ถึงเวลานั้นรับเด็กเชื่อฟังมาสักคนก็ไม่ใช่เรื่องยาก อีกอย่างลืมบอกเจ้าไป ที่จริงแล้วองค์รัชทายาทเลี้ยงดูผู้หญิงไว้ข้างนอกไม่น้อย เมื่อวานนี้มีผู้หญิงคนหนึ่งให้กำเนิดลูกชาย อีกทั้งยังมีอีกสามคนตั้งครรภ์ด้วย”
ถาวจวินหลันตกใจกับข่าวนี้เล็กน้อย แต่ก็เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ผ่านไปครู่หนึ่งนางก็หัวเราะ “แล้วจะเป็นเช่นไรเพคะ? เด็กที่เพิ่งเกิดออกมาจะเลี้ยงจนเติบใหญ่ได้หรือไม่ก็ยังเป็นปัญหา อีกทั้งเด็กคนนี้ท่านบอกไม่เอาก็ทอดทิ้งได้อย่างนั้นหรือ แม่แท้ๆ ของเด็กคนนี้คงไม่พอใจเป็นแน่ แม้แต่องค์รัชทายาทเอง พอรู้เรื่องนี้แล้วจะปฏิบัติกับมารดาเช่นท่านอย่างไร? จะเกลียดเข้ากระดูกดำหรือไม่เพคะ?”
ฮองเฮามีสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย รักษารอยยิ้มไม่ได้อีกต่อไป นางมองถาวจวินหลันนิ่ง สายตาแหลมคมเหมือนคมดาบ แต่ฮองเฮาผ่านเรื่องราวมาเยอะ นางจะหวาดกลัวเพียงเพราะคำพูดสองสามคำนี้ได้อย่างไร?