บัลลังก์พญาหงส์ - บทที่ 555
ฮองเฮาได้สติกลับมาทันที ยังคงอมยิ้มมองถาวจวินหลัน “เมื่อเทียบกับแผ่นดินแล้ว สิ่งเหล่านั้นถือว่าเป็นอะไรกัน”
“แต่เกรงว่าองค์รัชทายาทจะครองตำแหน่งผู้นำแผ่นดินนี้ไม่ได้อีกแล้วเพคะ” ถาวจวินหลันหัวเราะเย้ยเบาๆ น้ำเสียงแฝงไว้ก้วยความเสียดาย “ด้านนอกพูดเรื่องปลดองค์รัชทายาทกันคึกโครม เกรงว่า…”
“อย่าคิดว่าข้าไม่รู้ตัวการเบื้องหลัง” ฮองเฮาหัวเราะ สายตาเย็นเยียบ “ถาวซื่อ คนที่เป็นปฏิปักษ์กับข้าไม่ได้มีจุดจบดีนัก เจ้าเองก็ไม่อยกเว้น ตอนนี้เจ้าเข้ามาในวังของข้า คิดว่าคงไม่ง่ายดายเช่นนั้นแล้ว”
ถาวจวินหลันหลุบตาลง พูดเนิบๆ “อย่างนั้นหรือเพคะ? ถ้าเช่นนั้นเหนียงเหนียงคิดว่าจะลงมือกับหม่อมฉันอย่างไรเพคะ? ใช้ฐานะมากดดันหม่อมฉันอย่างนั้นหรือ? หรือว่าจะใช้วิธีเ**้ยมโหดมากำจัดหม่อมฉัน หรือยังมีอะไรที่พูดไม่ได้อีกหรือเพคะ? วันนี้หม่อมฉันเข้าวังหลวงมาท่ามกลางสายตาผู้คนมากมาย หากหม่อมฉันเป็นอะไรไป คิดว่าพระองค์เองก็คงหนีไม่พ้น คิดว่ายามนี้ฮ่องเต้ยังจะปกป้องพระองค์อีกหรือเพคะ?”
นางพูดไม่ผิดแม้แต่น้อย สถานการณ์ของฮองเฮาเป็นเช่นนั้นจริง หลังจากสูญเสียอำนาจไป ฮองเฮาก็ไม่ได้รับการสนับสนุนและความเชื่อใจจากฮ่องเต้ ดังนั้นสถานการณ์จึงน่าเป็นห่วง
ถาวจวินหลันเงยหน้ามองฮองเฮาที่พูดอะไรไม่ออกแล้ว จากนั้นก็พูดความจริงอย่างหนึ่งเสียงเบา “อีกทั้งพระองค์คิดว่ากำจัดหม่อมฉันไปแล้ว จะหาเด็กคนนั้นพบ และปกป้ององค์รัชทายาทได้อย่างนั้นหรือเพคะ? แล้วก็นอนตายตาหลับได้แล้วอย่างนั้นหรือเพคะ? ในเมื่อหม่อมฉันกล้ามา หากไม่มีการเตรียมพร้อมอะไร หม่อมฉันจะกล้ามาได้อย่างไร? หม่อมฉันถาวซื่อไม่กลัวตาย แต่ก็ไม่อยากทิ้งชีวิตไว้ที่นี่”
หลังจากองเฮาได้ยินเช่นนี้ก็นึกถึงเรื่องนี้ได้ ใช่แล้ว ดูเหมือนว่านางจะประเมินถาวจวินหลันต่ำไป แต่ถึงแพ้ก็จะไม่แสดงท่าทีอ่อนข้อให้ ดังนั้นนางจึงยิ้มโดยพลัน “ไม่เป็นไร ข้าก็เพียงแค่พอใจเท่านั้น อีกทั้ง ข้าเองก็ไม่ได้จำเป็นะต้องเอาเจ้าถึงตาย คิดว่าหากเจ้าเห็นลูกสาวของเจ้าถูกทรมานจนตายคงะต้องเสียใจแน่นอน”
หลังจากถาวจวินหลันได้ยินเช่นนี้ ก็รู้ว่าพูดจริงจังเข้าเรื่องแล้ว ก่อนหน้านี้ถือว่าเป็นคำพูดตามมารยาทก่อนที่พวกนางจะปะมือกันเท่านั้นเอง ตอนนี้ถือว่าเป็นการเข้าเรื่องอย่างแท้จริง
ในที่สุดฮองเฮาก็เริ่มข่มขู่นางแล้ว
เรื่องนี้ถาวจวินหลันไม่เพียงแค่ชินชา แต่กลับรู้สึกดีใจอยู่เล็กน้อย ไม่มีทาง ใครใช้ให้นางรอเวลานี้เล่า? นางจึงต้องข่มความดีใจไว้เพียงในใจ นางยิ้มและพูดว่า “ในเมื่อเหนียงเหนียงรู้เรื่องนี้ เช่นนั้นคิดว่าตอนที่องค์รัชทายาทลำบาก ก็คงต้องไม่พอใจเป็นแน่ หากนี่ทำให้ท่านหมองใจได้ ต่อให้ข้าต้องสละลูกสาวของข้าก็นับว่าคุ้มค่า”
คนโบราณว่าเท้าเปลือยไม่กลัวคนสวมรองเท้า คนไม่มีเหตุผลกลัวคนบุ่มบ่าม คนบุ่มบ่ามกลัวคนไม่รักชีวิต ถาวจวินหลันก็เป็นคนเช่นนี้ พุ่งออกไปแบบไม่คิดชีวิต ทำอย่างไรก็ได้ให้ฮองเฮาตะขิดตะขวงใจ
ฮองเฮาเข้าใจสิ่งที่แฝงอยู่ในคำพูด จึงเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย “พูดเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร?”
“ความหมายของหม่อมฉันนั้นง่ายดายนัก หากพระองค์ไม่ยอมปล่อยเซิ่นเอ๋อร์ ไม่ให้ลูกสาวของหม่อมฉันอยู่รอดปลอดภัย ถ้าเช่นนั้นหม่อมฉันก็จะทำให้องค์รัชทายาทหมดสิ้นทุกอย่าง! ไม่เพียงแค่ถูกปลด แต่จะเอาให้รักษาไม่ได้แม้แต่ชีวิตของเขา!” ปกติแล้วถาวจวินหลันนั้นเป็นดังดาบในฝัก พอชักออกมาก็มีแต่ทำให้คนตะลึง ดังนั้นพอได้เอ่ยปากพูดจึงพูดไปตรงๆ
ฮองเฮาไม่เชื่อนาง จึงอดหัวเราะเยาะไม่ได้ แต่นางเพิ่งจะยกริมฝีปากขึ้นก็ต้องถูกคำพูดที่แฝงอยู่ของถาวจวินหลันกลบรอยยิ้มไปทันที
เพราะว่าถาวจวินหลันยิ้มแย้มพูดกับนางว่า “เป็นลูกชาย บังอาจแตะต้องสตรีของบิดา ถือว่าผิดศีลธรรมหรือไม่เพคะ?”
ฮองเฮาใจเต้นรัว แล้วก็นึกถึงเรื่องของอี๋เฟยและองค์รัชทายาทได้ ถาวจวินหลันใช้เรื่องนี้มาข่มขู่นาง ที่น่าเป็นกังวลที่สุดก็คือสุดท้ายแล้วก็ยังเกิดขึ้น
แต่ถาวจวินหลันนั้นไร้เดียงสาเกินไปเสียหน่อย รู้เรื่องมากเกินไปมีบางครั้งก็ไม่ใช่เรื่องดีอะไร แต่กลับเป็นการเรียกเคราะภัยมาหาตนเอง! หากถาวจวินหลันไม่รู้เรื่องนี้ บางทีอาจจะรอดได้อีกสักปีสองปี แต่ตอนนี้…
ฮองเฮาหรี่ตาลง พยายามปิดบังซ่อนเร้นแรงอาฆาตในดวงตาเอาไว้ นางไม่มีทางปล่อยให้ถาวจวินหลันเดินออกจากพระราชฐานนี้ไปได้แน่นอน
ถาวจวินหลันเห็นฮองเฮาทำท่าทางเคียดแค้น นางก็ยิ้มบางๆ พูดว่า “ดูท่าทางฮองเฮาเหนียงเหนียงคงจะรู้เรื่องนี้อยู่แล้วเพคะ เช่นนั้นพระองค์ที่ช่วยอี๋เฟยและองค์รัชทายาทปิดบังจะเป็นอย่างไรเพคะ?”
แววเย็นชาในสายตาของฮองเฮาชัดเจนยิ่งกว่าเดิม สุดท้ายนางก็พูดเนิบๆ ว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้าก็ไม่ต้องออกไปแล้ว”
ถาวจวินหลันถอนหายใจ อมยิ้มมองฮองเฮาโดยไม่ได้มีท่าทีหวาดกลัวแม้แต่น้อย เหมือนว่าไม่เข้าใจความหมายของฮองเฮา “ดูท่าทางเหนียงเหนียงคงจะไม่ได้ตั้งใจฟังหม่อมฉันพูด ตอนที่หม่อมฉันมาก็พูดไปแล้ว หม่อมฉันมาเพื่อพาเด็กกลับ ทางที่ดีที่สุดเหนียงเหนียงคืนเซิ่นเอ๋อร์มาดีกว่า มิเช่นนั้นแล้วหม่อมฉันคงไม่ยอมออกจากที่นี่ไปแน่เพคะ”
ความหมายโดยผิวเผินของทั้งสองคนดูแล้วเหมือนกัน แต่ความเป็นจริงแล้วแตกต่างกันมหาศาล ความหมายของฮองเฮาคือถาวจวินหลันไม่มีทางได้ออกไปตลอดกาล เพราะว่าคนตายจะได้ออกไปหรือไม่ก็เกรงว่าตัวนางเองคงไม่รู้ แต่ถาวจวินหลันหมายความว่า หากไม่คืนเซิ่นเอ๋อร์กลับคืนมา นางก็จะดึงดันอยู่ที่นี่ไม่ไปไหน
ฮองเฮามองถาวจวินหลัน ความโกรธในใจพลันพลุ่งพล่าน แต่ฮองเฮาก็ข่มความโกรธนี้ลงอย่างรวดเร็ว ตะโกนสั่งคน “ให้คนเข้ามา!” จะต้องไปเอาความอะไรกับคนที่จะตายเล่า?
ถาวจวินหลันมองไปทางฮองเฮา ไม่ได้ขยับตัว เพียงแค่พูดเรียบๆ ว่า “ดูท่าทางเหนียงเหนียงคงจะไม่ยอมร่วมมือ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ หม่อมฉันก็จะบอกเหนียงเหนียงเสียหน่อย ก่อนที่หม่อมฉันจะมา หม่อมฉันได้บอกคนเอาไว้จำพวกหนึ่งก่อนแล้ว หากหม่อมฉันไม่ได้ออกไปอย่างปลอดภัย หรือว่าเซิ่นเอ๋อร์ไม่ได้ถูกส่งกลับไป เช่นนั้นก็จะมีคนเอาจดหมายลับที่หม่อมฉันเขียนเอาไว้มอบให้ฮ่องเต้และไทเฮา รวมถึงขุนนางที่มีอำนาจสูงทั้งหลายทันที”
ฮองเฮาสูดลมหายใจเย็น สิ่งที่ถาวจวินหลันทำนี้ถือว่าเป็นการยิงธนูเข้าเป้า โดนเข้าใจกลางพอดี
ถาวจวินหลันยิ้มกว้าง แลดูชอบใจเล็กน้อย “ฮองเฮาเหนียงเหนียงคงจะคิดฆ่าหม่อมฉันใช่หรือไม่เพคะ?” นางพูดออกมาตรงๆ แต่กลับทำให้คนที่ฮองเฮาเพิ่งเรียกเข้ามาเหล่านั้นกระวนกระวายไม่รู้ต้องทำอย่างไร
พูดตามจริงแล้ว พวกเขายังไม่เคยเห็นใครเจออันตรายแล้วยังแย้มยิ้มได้เช่นนี้ พอเห็นแบบนี้…ก็ให้คนรู้สึกไม่พอใจ และท่าทีของฮองเฮาก็ชวนให้ทำตัวไม่ถูก
พูดตามเหตุผลแล้วฮองเฮาควรจะเป็นคนที่ได้ใจมากที่สุด แต่ในความเป็นจริงแล้วนั้นสีหน้าของฮองเฮากลับไม่น่ามองนัก เหมือนทั้งโมโหและอับอายเป็นอย่างยิ่ง และคล้ายกำลังตกที่นั่งลำบาก ท่าทีของทั้งสองคนตรงข้ามกันอย่างแท้จริง
คนที่เข้ามาต่างก็เป็นคนสนิทของฮองเฮา ย่อมต้องรู้ว่าเจ้านายของตนเองเรียกเข้ามาด้วยเหตุใด พวกเขาจึงค่อยๆ เข้าไปล้อมรอบถาวจวินหลันไว้ รอเพียงแค่คำสั่งจากฮองเฮาเท่านั้น
ถาวจวินหลันไม่ปรายตามองคนเหล่านั้นแม้แต่น้อย แต่ยังนิ่งมองฮองเฮา นางดูแล้วเหมือนจะสงบนิ่ง ใบหน้ามีรอยยิ้มประดับ แต่มีเพียงแค่ตัวนางเองที่รู้ว่าฝ่ามือของนางชุ่มไปด้วยเหงื่อ
ปี้เจียวกับชุ่นฮุ่ยที่ตามถาวจวินหลันเข้าวังมาด้วยก็เคร่งเครียดเช่นเดียวกัน จึงรีบเข้าไปใกล้เจ้านายของตนเองมากขึ้น ทั้งสามคนแทบจะตัวติดกันอยู่แล้ว ทำเช่นนี้ถึงได้รู้สึกว่าปลอดภัยขึ้นเล็กน้อย แต่ที่พวกนางไม่รู้ก็คือ เจ้านายของตนเองไม่ได้สงบนิ่งเหมือนที่แสดงออกแม้แต่น้อย
ฮองเฮาสบตากับกับถาวจวินหลันอยู่นาน สุดท้ายแล้วฮองเฮาก็สะบัดมือให้คนถอยออกไป
ถาวจวินหลันจึงคลายมือออกทันที นางรู้ว่าครั้งนี้ตนเองชนะแล้ว
“ดูท่าทาง ถาวซื่อคงไม่รักชีวิตของตนเองอีกแล้ว“ ฮองเฮาหัวเราะเสียงเย็น “เพื่อเด็กที่เกิดจากสามีของตนเองกับหญิงอื่น เจ้าจำเป็นจะต้องลงทุนทำเช่นนี้หรือ?”
ถาวจวินหลันถอนหายใจ “ย่อมต้องจำเป็น หากไม่จำเป็น หม่อมฉันจะต้องทำเช่นนี้หรือเพคะ? เด็กคนนั้นแม้ว่าหม่อมฉันจะไม่ได้ให้กำเนิดเอง แต่ก็เป็นสายเลือดของท่านอ๋อง เป็นคนของจวนตวนชินอ๋องของข้า!”
“อย่าลืมไป ว่าเจ้าเองก็มีลูกชาย! หรือเจ้าไม่กลัวว่าพอเด็กคนนั้นเติบใหญ่ จะแย่งชิงตำแหน่งของลูกชายเจ้าอย่างนั้นหรือ?” ฮองเฮาพูดเสียงสูง น้ำเสียงแฝงไว้ด้วยเจตนาชักจูง
ถาวจวินหลันได้แต่ถอนหายใจ มองฮองเฮาแล้วส่ายหน้า “คำพูดไม่เป็นไปในทางเดียวกัน หม่อมฉันกับเหนียงเหนียงไม่ใช่คนแบบเดียวกัน ที่พระองค์กลัว หม่อมฉันไม่ได้กลัว อีกอย่างหากลูกชายมีความสามารถ ก็ไม่มีใครแย่งชิงกับเขาได้ หากตนเองไร้ความสามารถ แล้วจะต้องโทษคนอื่นหรือเพคะ? หม่อมฉันไม่เหมือนกับพระองค์ หม่อมฉันไม่มีทางลงมือกับเด็กคนหนึ่งเพียงเพราะกลัวถูกข่มหรอกเพคะ”
เงียบไปครู่หนึ่งถาวจวินหลันก็พูดเสียงแข็ง และดูอำนาจอีกครั้ง “อีกอย่าง ไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่น เพียงแค่เขาเป็นคนของจวนตวนชินอ๋อง ไม่ว่าใครก็ห้ามาแตะต้องตามใจชอบ! และอย่าหวังจะได้ลงมืออะไรทั้งนั้น! รวมถึงท่าน ฮองเฮาเหนียงเหนียง”
นางพูดขู่ไว้ก่อน
ถาวจวินหลันอมยิ้มมองทางฮองเฮา ดูสีหน้าของฮองเฮาที่เปลี่ยนแปลงไปมาอย่างรวดเร็วดั่งถาดสี นางก็แอบกระหยิ่มยิ้มย่องอยู่ในใจ นางอยากพูดแบบนี้กับฮองเฮามานานแล้ว วันนี้ถือว่าได้ทำตามหวังแล้ว
ฮองเฮาครุ่นคิด พูดว่า “เจ้าไม่อยากเรียกร้องความยุติธรรมให้พ่อของเจ้าแล้วหรือ? พวกเราทำข้อตกลงกันดีหรือไม่?”
ถาวจวินหลันเลิกคิ้ว “ข้อตกลงอะไรหรือเพคะ?”
ฮองเฮาได้ยินถาวจวินหลันพูดเช่นนี้ ก็แย้มยิ้มทันที “ข้าช่วยคืนความยุติธรรมให้พ่อของเจ้าได้ เรื่องนี้ตกลงตามนี้เป็นอย่างไร? ข้ายังจะช่วยไปแย่งลูกสาวของเจ้าคืนมาอีกด้วย ว่าอย่างไร?
ถาวจวินหลันเลิกคิ้วสูงขึ้น “อย่างนั้นหรือเพคะ? คิดว่าฮองเฮาเหนียงเหนียงคงจะรู้เรื่องในตอนนั้น หม่อมฉันคิดว่าพระองค์ต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ด้วยสินะเพคะ?”
ฮองเฮายังคงมีท่าทางแบบเดิม ในเมื่อไม่ยอมรับและไม่ปฏิเสธ แต่ถาวจวินหลันกลับกำมือแน่น ฮองเฮาต้องมีเรื่องแอบแฝงอยู่เป็นแน่ จากที่ได้ยินตอนนี้ก็ไม่ต้องลังเลอีกแล้ว
“ไม่มีหลักฐาน เจ้าคิดจะคืนความยุติธรรมก็คงเป็นไปไม่ได้ หากยอมทิ้งโอกาสเพียงหนึ่งเดียวไปก็คงไม่ดี เจ้าไปใคร่ครวญมาให้ดี น่าเสียดายที่คนซื่อสัตย์ ก้มหน้าก้มตา เคารพราชสำนักเช่นพ่อเจ้ากลับต้องมาตาย ตอนที่ตายไม่เพียงแค่สูญเสียชื่อเสียง แล้วยังบ้านแตกสาแหรกขาด ช่างน่าเสียดายจริงๆ เจ้าเป็นลูกสาว เคยคิดแทนพ่อของตนบ้างหรือไม่? คับอกคับใจบ้างหรือไม่?” ฮองเฮาเหมือนจะคิดว่าครั้งนี้ถาวจวินหลันจะต้องยอมเป็นแน่ รอยยิ้มบนใบหน้าเริ่มมากขึ้นทีละน้อย
ต้องพูดเลยว่า ฮองเฮาจับจุดสำคัญในชีวิตของถาวจวินหลันอยู่จริง นางเป็นลูกสาว ย่อมคิดฝันอยากช่วยให้พ่อของตนเองได้รับความเป็นธรรม ล้างความผิดออกไป นางฝันเห็นพ่อของตนเองไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ตอนที่ตื่นขึ้นมาก็น้ำตาไหลอาบเต็มสองแก้มเสมอ
ข้อเสนอนี้ปฏิเสธได้ยากยิ่ง และยิ่งทำให้คนคล้อยตามอย่างไม่มีที่เปรียบ