บัลลังก์พญาหงส์ - บทที่ 556 คลายความสงสัย
หนึ่งคือความบริสุทธิ์ของบิดา อีกหนึ่งคือลูกของหญิงอื่นกับสามีตนเอง ใครดูก็รู้ว่าต้องเลือกทางไหน ถาวจวินหลันถอนหายใจ รู้สึกว่าฮองเอากำลังมอบโจทย์ยากให้นางอยู่
อย่างไรนางเองก็เป็นคนธรรมดา ไม่ใช่พระโพธิสัตว์ที่ไหน ในเมื่อเป็นคนธรรมดา เช่นนั้นเมื่อต้องเผชิญหน้ากับสิ่งเย้ายวน ก็ยากที่จะหักห้ามใจ แม้กระทั่งในใจของนางยังมีเสียงเล็กๆ มาล่อลวงนางว่า “ตกลงเถิดๆ หากหากชื่อขุนนางนักโทษของตระกูลถาวถูกลบออกไป ไม่เพียงแค่ปลอบโยนบิดาที่ตายไปแล้ว และยังมีผลดีกับทั้งตนและถาวจิ้งผิงอีกด้วย อย่างเช่นกลายเป็นภรรยาที่ถูกต้องตามทำนองคลองธรรมของหลี่เย่ หรือทำให้อนาคตของถาวจิ้งผิงสบายมากกว่าเดิม”
ถาวจวินหลันถอนหายใจ จากนั้นก็เห็นว่าฮองเฮาทำหน้ายิ้มได้ใจ
ฮองเฮากุมชัยชนะอยู่ในมือ มองดูแล้วน่าขุ่นเคืองใจนัก ดังนั้น หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ถาวจวินหลันก็ส่ายหน้า “ขอให้เหนียงเหนียงรีบคืนเซิ่นเอ๋อร์มาเถิดเพคะ”
ถาวจวินหลันนั่งลงบนเก้าอี้ช้าๆ จากนั้นก็มีท่าทีสงบนิ่ง นางคิดจะทุ่มไปกับเรื่องนี้แล้ว ไม่มีทางเปลี่ยนใจ ใครใช้ให้ฮองเฮาไม่ยอมดีๆ เล่า
ฮองเฮาโมโหจนแทบนั่งไม่ติด แต่เดิมนางคิดว่าหลังจากใช้เหยื่อล่อนี้ไปแล้ว ถาวจวินหลันจะต้องยอมอย่างกำราบแน่นอน แต่คิดไม่ถึงว่าถาวจวินหลันจะปฏิเสธ อีกทั้งยังแสดงท่าทีเช่นนี้อีก
ฮองเฮาอดเคาะที่รองแขนเบาๆ ไม่ได้ ถาวจวินหลันกำลังบอกนางว่า หากยังไม่ส่งเซิ่นเอ๋อร์มา พวกนางก็จะอยู่กันเช่นนี้ ลองดูว่าใครจะสู้ใครได้
“ใช่แล้ว ลืมบอกพระองค์ไป เส้นตายที่เจียงอวี้เหลียนให้หม่อมฉันคือวันพรุ่งนี้ ดังนั้นหม่อมฉันจะกำหนดเส้นตายให้พระองค์เป็นวันนี้ก่อนพระอาทิตย์ตกดิน” ถาวจวินหลันอมยิ้มมองมือของฮองเฮา ในใจคิดว่า เมื่อครู่นี้คิดว่าเล็บของฮองเอาคงจะหักกระมัง? ไม่รู้ว่าเจ็บหรือไม่
ฮองเฮาเริ่มเคาะอีกครั้ง
บรรยากาศตึงเครียดในฉับพลัน เห็นได้ชัดว่าฮองเฮาไม่ยอมถอยให้ แต่ถาวจวินหลันก็ไม่อาจถอยได้เช่นกัน หรือจะพูดว่าถาวจวินหลันกำลังให้เวลาฮองเฮาลังเล อย่างไรตอนนี้ก็ยังเป็นยามสาย ยังห่างจากช่วงเวลาพระอาทิตย์ตกเยอะนัก
ในเวลานี้นี่เอง ด้านนอกก็มีเสียงรายงานดังเข้ามา “เหนียงเหนียง อี๋เฟยขอเข้าเฝ้าเพคะ”
ถาวจวินหลันยิ้มน้อยๆ แต่ท่าทางของฮองเฮากลับไม่พอใจยิ่งนัก
อี๋เฟยมาตอนนี้ ทุกคนต่างรู้ดีว่าเพราะเหตุใด และพวกนางทั้งสองคนก็รู้ดี หากอี๋เฟยสังเกตเห็นภาพตอนนี้ รู้ว่าสุดท้ายแล้วเกิดเรื่องอะไรขึ้น นางจะต้องช่วยถาวจวินหลันสร้างแรงกดดันให้ฮองเฮาอย่างแน่นอน
แต่ในเมื่อคนมาแล้วก็ไม่อาจขัดขวางไม่ไห้เข้ามาได้ ดังนั้นฮองเฮาจึงทำได้แค่ส่งเสียงอนุญาตอย่างฝืดเคือง
เห็นได้ชัดว่าหลายวันมานี้อี๋เฟยนอนไม่ค่อยหลับนัก ใต้ตาจึงเต็มไปด้วยรอยเขียวคล้ำ และการแต่งหน้าแต่งกายก็ดูเรียบง่ายผิดปกติ ไม่ได้มีท่าทีประณีต สวยงามอย่างพระสนมที่ได้รับความโปรดปรานแม้แต่น้อย
อี๋เฟยเข้ามา แม้แต่ทำความเคารพก็ยังไม่สนใจ ทว่ารีบหันไปมองถาวจวินหลัน ถามว่า “ต้องทำอย่างไรเจ้าถึงยอมคืนเด็กให้พวกข้า?”
“หม่อมฉันเคยพูดแล้วเพคะ ได้เซิ่นเอ๋อร์กลับมาเมื่อไร เด็กคนนั้นก็จะถูกส่งกลับมาเมื่อนั้นเพคะ” อี๋เฟยจะน่ารังเกียจอย่างไร แต่พอเห็นนางรักลูกถึงเพียงนี้ ถาวจวินหลันก็อดเบนหน้าหนีไม่ได้ นางเองก็มีลูก พอเห็นท่าทีของอี๋เฟยเช่นนี้ นางก็หน้าชื่นตาบานไม่ได้จริงๆ
ถาวจวินหลันเป็นคนกำหนดความเป็นความตายของอาอู อี๋เฟยย่อมไม่กล้าใส่อารมณ์กับถาวจวินหลัน ดังนั้นอี๋เฟยจึงได้แต่มองฮองเฮา “ฮองเฮา ท่านหมายความว่าอย่างไรเพคะ?”
ในน้ำเสียงของอี๋เฟยแฝงไว้ด้วยการและข่มขู่ ด้วยนางเป็นแม่ของอาอู่ เห็นได้ชัดว่าอี๋เฟยได้ทุ่มออกไปหมดทุกอย่างแล้วจริง ไม่ว่าจะเป็นฐานะ ตำแหน่ง ศักดิ์ศรีก็ทิ้งไว้เบื้องหลังหมดแล้ว
ถาวจวินหลันยิ้มมองฮองเฮา คิดว่าอี๋เฟยมาได้ถูกเวลานัก ในตอนนี้การปรากฏตัวของอี๋เฟยได้ช่วยเหลือนางแล้ว แต่นางก็ไม่ได้ตีไข่ใส่สี หรือหาเรื่องหาราวอะไร เพียงรอนิ่งๆ เท่านั้น
เมื่อฮองเฮาถูกอี๋เฟยกล่าวโทษ ก็เพียงแค่พูดเสียงเย็น “เงียบปาก เจ้าเข้าใจอะไรกัน”
“อย่างไรนั่นก็เป็นบุตรชายเพียงคนเดียวขององค์รัชทายาท ฮองเฮาดูเอาเองเถิดเพคะ” อี๋เฟยหัวเราะเสียงเย็น “แน่นอนว่า หากลูกชายของหม่อมฉันเป็นอะไรไป หม่อมฉันก็ไม่เหลืออะไรแล้ว และพร้อมทุ่มทุกอย่างโดยไม่สนอะไรอีก”
อี๋เฟยพูดตรงมากกว่าถาวจวินหลันหลายเท่านัก ความข่มขู่นั้นรุนแรงเป็นอย่างมาก
ฮองเฮาปวดหัวเป็นที่ยิ่ง และคิดว่าอี๋เฟยโง่จนนางพูดไม่ออก
อะไรเรียกว่าโง่? นี่เรียกว่าโง่ คืนเซิ่นเอ๋อร์แล้วจะเอาอะไรไปข่มขู่ถาวจวินหลันได้อีก? ถาวจวินหลันรู้เรื่องเหล่านั้น หากมีอะไรหลุดออกไปแล้วไฉนเลยจะทำให้พวกเขาอยู่สุขสบายได้อีก? แม้ว่าไม่ต้องการเด็กคนนั้นแล้ว ก็จะต้องทำให้ถาวจวินหลันตายก่อน มีเพียงวิธีนั้นถึงจะรับประกันได้ว่าถอนรากถอนโคนจนสิ้นแล้ว
นี่เป็นแผนเดิมของฮองเฮา แต่คิดไม่ถึงว่าถาวจวินหลันจะไม่ใช่คนยอมง่ายๆ ทั้งยังปกป้องป้องกันทุกอย่างรอบด้าน
พอตอนนี้มีอี๋เฟยเพิ่มเข้ามา…ฮองเฮาคิดว่าเรื่องราวที่ยุ่งอยู่แล้ว ก็ยิ่งวุ่นวายมากกว่าเดิม
“ดูท่าอี๋เฟยกับฮองเฮาเหนียงเหนียงมีเรื่องต้องปรึกษากัน เช่นนั้นหม่อมฉันขอตัวไปเข้าเฝ้าไทเฮาก่อนนะเพคะ” ถาวจวินหลันยิ้มน้อยๆ แล้วเอ่ย ‘เตือน’ ฮองเฮา “หลังจากพระอาทิตย์ตกแล้ว หากหม่อมฉันยังไม่ได้ออกจากวังหลวง จะต้องไปขอเข้าเฝ้าฮ่องเต้ด้วยตนเองเป็นแน่เพคะ”
ฮองเฮาเคาะเก้าอี้อีกครั้งอย่างทนไม่ไหว คราวนี้เล็บจึงหักไปแล้วจริงๆ ทันใดนั้นก็รู้สึกเจ็บจนต้องสูดลมหายใจเข้าลึก
นางกำนัลหน้าประตูก็ลังเลว่าจะต้องเข้ามาห้ามถาวจวินหลันดีหรือไม่ แต่ฮองเฮาไม่ได้ออกคำสั่ง พวกนางก็ไม่กล้าบุ่มบ่ามเข้าไปเอง เพียงแค่ใช้สายตาจับจ้องถาวจวินหลันเดินออกไปช้าๆ
ถาวจวินหลันออกไปจากวังของฮองเฮาอย่างง่ายดายท่ามกลางสายตาเคียดแค้น นางกำนัลภายในวังของฮองเฮาต่างก็ต้องมองนางเป็นตาเดียวกัน
แต่ถาวจวินหลันไม่ได้เก็บไปใส่ใจ จะมองก็มองไปเถิด อย่างไรนางก็ไม่ได้เสียหายอะไร แล้วต้องกลัวอะไรอีก?
พอเดินทางมาถึงวังของไทเฮา หลังจากถาวจวินหลันทำความเคารพแล้ว นางก็ช่วยนวดขาให้ไทเฮา ยามนี้ขาของไทเฮาไม่มีความรู้สึกแล้ว เพื่อไม่ให้มีเลือดลมติดขัด จึงต้องมีคนคอยนวดให้ทุกวัน
นางไม่อยากให้ไทเฮารู้เรื่องชั่วของอี๋เฟยและองค์รัชทายาท นางจึงไม่บอกเรื่องนั้นกับไทเฮา พอไทเฮาสงสัยว่าทำไมนางเข้าวังหลวงมาบ่อยครั้ง นางก็เพียงแค่ยิ้มตอบว่า “ก่อนท่านอ๋องออกไปเคยกำชับหม่อมฉันว่าให้ดูแลพระองค์แทนเขา ไม่ว่าอย่างไรอยู่ที่จวนอ๋องก็ว่าง ไม่สู้เข้าวังหลวงมาเดินเล่นดีกว่าเพคะ”
ไทเฮาก็ไม่ได้คิดมาก เพียงแค่ขมวดคิ้ว “เจียงซื่อสร้างเรื่องวุ่นวายอีกแล้วหรือ?” เจียงอวี้เหลียนสูญเสียลูกไป จะสร้างเรื่องวุ่นวายก็ถือเป็นเรื่องปกติ และเจียงอวี้เหลียนคนนั้น แต่เดิมก็ไม่ใช่คนคิดถึงใจคนอื่นอยู่แล้ว
ถาวจวินหลันเห็นไทเฮาเข้าใจผิดเรื่อง ก็ปล่อยให้เป็นไปตามนั้น “จะไม่ใช่อย่างนั้นได้อย่างไรเพคะ? แม้ว่านางสูญเสียลูก แต่ก่อเรื่องวุ่นวายเช่นนี้ก็น่ารำคาญเป็นที่ยิ่งเพคะ ดังนั้นหม่อมฉันถึงได้ออกมาหลบเสียหน่อย อย่างไรหม่อมฉันก็ไม่อาจเสกเด็กมาคืนให้นางได้หรอกกระมัง”
ไทเฮาก็ถอนหายใจตามมาเช่นเดียวกัน “เจ้าเองก็อย่าทรมานนางนักเลย นางน่าสงสารนัก”
ถาวจวินหลันหัวเราะขมขื่น ในใจคิดว่า ไฉนเลยหม่อมฉันจะกล้าทรมานนางเล่า? ตอนนี้อาอู่อยู่ในมือของนางแล้ว
แต่เมื่อคิดท่าทีของอาอู่ในตอนนั้น สุดท้ายถาวจวินหลันขมวดคิ้ว พูดว่า “ไม่ใช่ว่าหม่อมฉันจะมาระบายกับไทเฮา และไม่ใช่ว่าหม่อมฉันจงใจฉวยโอกาสในการกดหัวนางลง แต่ชายารองเจียงคนนี้นิสัยเป็นเด็กไม่รู้จักโตเพคะ คิดถึงแต่ตนเองอยู่ตลอดเวลา อีกทั้งยังสร้างแต่เรื่องน่าปวดหัว และทำให้คนอื่นหัวเราะเยาะ ไม่เพียงเท่านั้น นางยังหูเบาหลอกใช้ได้ง่ายมากเพคะ”
ไทเฮามองถาวจวินหลันทีหนึ่ง นิ่งเงียบอยู่ในภวังค์ครู่หนึ่งแล้วถึงพูดว่า “ถ้าเช่นนั้นเจ้าคิดจะจัดการอย่างไร?”
“หากหาเซิ่นเอ๋อร์พบแล้ว พระองค์ก็รับนางเข้ามาพักในวังหลวงสักช่วงหนึ่งดีหรือไม่เพคะ?” ถาวจวินหลันยิ้มพูดด้วยท่าทางสบายๆ เงียบไปครู่หนึ่งก็เสนอความเป็นไปได้อีกอย่าง “หรือไม่ก็ส่งนางไปบ้านพักก็ได้เพคะ รอจนทุกอย่างสงบลงก็ค่อยรับกลับมา แน่นอนว่าไม่ทอดทิ้งนางเป็นแน่เพคะ”
ไทเฮาลังเลอยู่ครู่หนึ่งก็ยังให้คำตอบไม่ได้ สุดท้ายก็พูดว่า “ข้าจะลองคิดดูก่อน”
ถาวจวินหลันไม่ได้พูดเรื่องนี้ขึ้นอีก เปลี่ยนไปพูดเรื่องหลี่เย่แทน
พอพูดเรื่องที่หลี่เย่เขียนมาในจดหมายทั้งหมดแล้ว ก็พยายามทำให้ไทเฮาวางใจ
เมื่อใกล้ถึงเวลาอาหารกลางวัน กู้ซีก็มาถึง ไทเฮาย่อมต้องดีใจ ถาวจวินหลันกับกู้ซีช่วยกันปรนนิบัติไทเฮาเสวยอาหารกลางวัน เฝ้าไทเฮาบรรทม แล้วถึงได้ถอยออกมาทานอาหารกลางวัน
เวลานี้ไทเฮาทานได้แต่อาหารรสอ่อนและนิ่ม ดังนั้นอาหารของพวกนางจึงถูกส่งมาจากห้องเครื่อง
วังหลวงอย่างไรก็เป็นวังหลวง อากาศหนาวเย็นแสบผิวเช่นนี้ก็ยังมีผักสดๆ ผัดถั่วฝักยาวจานหนึ่งให้คนอยากอาหารมากขึ้น ไม่ต้องพูดถึงหน่อไม้เลย
แม้แต่กู้ซีเองก็อดยิ้มเย้ยไม่ได้ “พวกเราต้องเกาะใบบุญแล้ว มิเช่นนั้นไฉนเลยจะได้กินของพวกนี้”
ถาวจวินหลันหัวเราะมองกู้ซี รู้สึกว่าหลังจากเข้าวังหลวงมาแล้วกู้ซีก็เริ่มสดใสมากขึ้นกว่าเดิม และไม่ได้เอาแต่เขินอายอย่างเดียว คำพูดคำจาก็ดูพัฒนามากขึ้น
ถาวจวินหลันจึงรำพึงรำพันเล็กน้อย หากตอนนั้นกู้ซีเข้าประตูของจวนตวนชินอ๋องไป ก็ไม่รู้ว่าจะเป็นภาพเหตุการณ์เช่นไร?
พอรับประทานอาหารแล้ว กู้ซีก็เสนอให้ออกไปเดินข้างนอกเพื่อย่อยอาหาร บอกว่าภายในวังหลวงนมีดอกเหมยสีแดงบานสวยงาม จึงอยากให้นางลองไปดู
ถาวจวินหลันคิดถึงสถานการณ์ในตอนนี้ของตน สุดท้ายแล้วก็ส่ายหน้าปฏิเสธ บอกแค่ว่าเดินเล่นภายในสวนดอกไม้ของวังไทเฮาก็พอแล้ว
กู้ซีเองก็ไม่ดึงดัน ทั้งสองคนจึงเดินออกมาจากห้องช้าๆ เพราะว่าอยู่ภายในวังของไทเฮา ดังนั้นจึงไม่ค่อยมีคนตามมามากเท่าไร อีกทั้งยังได้พูดคุยกันสะดวกจึงไม่ให้คนตามมาใกล้เกินไป
แล้วกู้ซีก็พูดถึงเรื่องอี๋เฟย “หลังจากครั้งนั้นอี๋เฟยก็สงบลงไปตามคาด แม้แต่ฮ่องเต้เรียกพบก็ยังบอกว่าร่างกายไม่แข็งแรงไม่สามารถไปได้ พูดไปแล้วคำคาดการณ์ของเจ้าแม่นยำเสียจริง”
ถาวจวินหลันยิ้มเล็กน้อย “แค่รู้ว่าอี๋เฟยอารมณ์ไม่ดีเท่านั้นเองเพคะ ไม่มีเหตุผลอื่นหรอกเพคะ”
“พูดไปแล้วก็น่าสงสัย จี้อายุยืนเส้นนั้นเป็นของใครกันแน่หรือ? ทำไมพออี๋เฟยเห็นแล้วถึงได้มีท่าทีเช่นนั้นเล่า”? อี๋เฟยยิ้มถาม “หรือว่าอี๋เฟยจะมีความลับอะไรอย่างนั้นหรือ?”
หยุดไปครู่หนึ่งกู้ซีก็พูดต่อ “หลังจากนั้นอี๋เฟยยังไปพบฮองเฮา แล้วฮองเฮาก็เรียกพบพระชายาองค์รัชทายาทต่อ คงไม่ใช่ว่าความลับนั้นเกี่ยวข้องกับฮองเฮาหรอกกระมัง?”
กู้ซีถามเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าอยากให้ถาวจวินหลันไขข้อสงสัยให้นาง