บัลลังก์พญาหงส์ - บทที่ 563 หมดหนทาง
สุดท้ายแล้วฮ่องเต้ก็พูดก่อน เพื่อทำลายบรรยากาศกดดันจนอกสั่นขวัญแขวนภายในห้องลง “อาการขององค์ชายรัชทายาทเป็นอย่างไรบ้าง?”
ฮ่องเต้พูดด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง ฟังอารมณ์ที่แฝงอยู่ในน้ำเสียงไม่ออก แม้กระทั่งความรู้สึกเป็นกังวล เคร่งเครียดก็ยังไม่มีแม้แต่น้อย เพียงแค่ถามอย่างสงบนิ่งเท่านั้น เหมือนว่าที่ถามนั้นเป็นเพียงเรื่องธรรมดา
ถาวจวินหลันคิดว่าฮ่องเต้ยังรังเกียจองค์ชายรัชทายาท ในใจนั้นจะต้องโกรธแค้นและหวาดระแวงองค์ชายรัชทายาทแน่นอน มิเช่นนั้นแล้วตอนนี้ฮ่องเต้ก็คงต้องเคร่งเครียดอยู่บ้าง อย่างไรก็เป็นลูกชายของเขามิใช่หรืออย่างไร? เป็นลูกชายสายเลือดสืบต่อกัน แล้วยังเป็นลูกชายคนโตอีกด้วย
ถาวจวินหลันไม่รู้จริงๆ นางควรจะคิดว่าองค์ชายรัชทายาทได้รับผลกรรม ไม่ควรจะมีชีวิตอยู่ต่อ หรือจะบอกว่าฮ่องเต้เลือดเย็น ไร้เยื่อใยเกินไปกันแน่
แต่ไม่ทันให้นางคิดมาก หมอหลวงก็เอ่ยปากพูดเสียงสั่น “อาการขององค์ชายรัชทายาทไม่สู้ดีนัก ข้าน้อย…หมดหนทางแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”
สิ้นเสียง ฮองเฮาก็ไม่รักษาท่าทีอีกต่อไป กลับตะคอกเสียงดัง “พูดจาเหลวไหลอะไร? องค์ชายรัชทายาทมีบุญบารมีล้นฟ้า จะเกิดเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไร?”
ฮ่องเต้มองฮองเฮาวูบหนึ่ง ถามต่อว่า “หมดหนทางหมายความว่าอย่างไร? เจ็บป่วย สั่งยา ยังมีเวลาหมดหนทางอีกหรืออย่างไร!”
ถาวจวินหลันเองก็คิดเช่นนี้ จะรักษาได้หรือไม่ได้ ก็ควรพูดออกมาตรงๆ ที่บอกว่าหมดหนทางหมายความว่าอย่างไรกันแน่?
หมอหลวงปาดเหงื่อบนหน้าผาก ตอบกลับมาว่า “ไม่ใช่ว่าพวกข้าน้อยไม่ยินยอมรักษาองค์รัชทายาทพ่ะย่ะค่ะ แต่เพราะไม่มีวิธีแล้วจริงๆ ธนูที่แทงทะลุองค์รัชทายาทเข้าไปทำลายปอด พูดกันตามปกติแล้วก็คงทนมานานขนาดนี้ไม่ไหว แต่เป็นเพราะว่าธนูนั้นบังปากแผลไว้พอดี องค์ชายรัชทายาทจึงพอหายใจได้อยู่บ้างพ่ะย่ะค่ะ แต่เมื่อเป็นเช่นนี้หากดึงลูกธนูออกมาเมื่อไร ปากแผลก็จะมีเลือดไหลออกมาไม่หยุด ไม่มีทางย้อนกลับไปได้ แต่หากไม่ดึงออกมาไม่ช้าก็เร็วบาดแผลจะต้องเน่าพ่ะย่ะค่ะ”
ที่หมอหลวงไม่ได้พูดออกมาก็คือ เครื่องในเละเทะ แล้วจะช่วยได้อย่างไร?
ฮองเฮารับเรื่องนี้ไม่ได้ แทบจะเต้นเร่าด้วยความโมโห “พูดเหลวไหล พูดโกหกทั้งนั้น! ในเมื่อองค์รัชทายาทปลอดภัยมาตลอดทาง ย่อมต้องรักษาให้หายดีได้แน่! พวกเจ้าไร้ความสามารถก็ยอมรับออกมา ทำไมต้องพูดเช่นนี้!”
ถาวจวินหลันเห็นฮองเฮาร้อนใจแบบนี้ กลับรู้สึกสงสารฮองเฮาขึ้นมาโดยพลัน เพราะเป็นมารดาเหมือนกัน นางจึงเข้าใจความรู้สึกของฮองเฮา แต่สงสารไม่ได้หมายความว่าใจอ่อน
ไม่มีแม่คนไหนอยากเห็นลูกตนเองตาย และไม่มีแม่คนไหนที่รับได้ว่าลูกชายของตนใกล้จะตาย
กลับเป็นฮ่องเต้ที่ใจเย็นมาก “ไม่มีวิธีช่วยได้แล้วจริงๆ อย่างนั้นหรือ?”
หมอหลวงต่างก็พากันส่ายหน้า หมอบคลานอยู่กับพื้นไม่กล้าหายใจเสียงดัง
“เสด็จพ่อ หรือจะเรียกหมอชาวบ้านมารวมตัวกันดีพ่ะย่ะค่ะ ด้านนอกมีคนเก่งกาจ ฝีมือดีจำนวนมาก บางทีอาจจะมีวิธีรักษาบาดแผลเช่นนี้ได้” หลี่เย่เสนอความเห็นได้สมควรแก่เวลา แม้จะบอกว่าไม่ได้เป็นห่วงอะไรมาก แต่ก็ยังดีกว่าฮ่องเต้นัก
แน่นอน ไม่ว่าในใจของหลี่เย่จะคาดหวังให้องค์ชายรัชทายาทตายไปให้พ้นหรือไม่ แต่เขาก็ไม่อาจนิ่งไปตลอดได้ พูดออกไปเช่นนี้ไม่ว่าสำหรับใครก็ส่งผลดีทั้งนั้น
ถาวจวินหลันคิดว่า ที่จริงแล้วหลี่เย่ไม่ยินยอมให้องค์ชายรัชทายาทตายไปเช่นนี้จริงกระมัง? แม้จะบอกว่าปะทะกันอย่างดุเดือด แย่งชิงตำแหน่งกษัตริย์มาโดยตลอด แต่ภายในใจของหลี่เย่นั้นก็ไม่หวังให้องค์ชายรัชทายาทตายไปแบบนี้
เขาเคยพูดว่าหลังจากปลดองค์ชายรัชทายาทแล้ว ก็จะให้องค์ชายรัชทายาทใช้ชีวิตจนถึงบั้นปลาย
อยู่ในจวนคังอ๋อง อย่างไรก็เป็นพี่น้องกัน ไม่อาจสังหารราบเรียบได้
ส่วนฮองเฮา เขาไม่มีทางปล่อยไปแม้แต่นิดเดียวแน่นอน
ฮองเฮาสนับสนุนรีบสนับสนุนข้อเสนอนี้ พูดอย่างเด็ดเดี่ยวว่า “ใช่! หมอหลวงในวังไร้ความสามารถ ถ้าเช่นนั้นก็ประกาศตกรางวัล! ขอเพียงรักษาองค์ชายรัชทายาทได้ ก็ให้ยศให้ตำแหน่งกับเขา มอบรางวัลทองคำหนึ่งพันชั่ง!”
ฮ่องเต้มองฮองเฮาวูบหนึ่ง ไม่ได้คัดค้านอะไร แล้วพูดว่า “ทำตามนั้นเถิด” พูดจบแล้วก็ลุกขึ้นมา “ข้ายังมีเรื่องต้องไปจัดการ ฮองเฮาดูแลองค์ชายรัชทายาทให้ดี” จากนั้นก็มองไปทางหลี่เย่ “ตวนชินอ๋องหลังจากไปทำความเคารพไทเฮาแล้ว ก็ออกจากวังไปเถิด”
หลี่เย่จึงพาถาวจวินหลันขอตัวทูลลาออกมา
พอออกมาจากวังของฮองเฮา หลี่เย่ก็ถามเสียงเบาว่า “เจ้ามาได้อย่างไร?”
ถาวจวินหลันตื่นตะลึง “ไม่ใช่ว่าวังหลวงส่งคนไปเรียกข้ามาหรือเพคะ?”
หลี่เย่ก็ตะลึงไป จากนั้นสีหน้าก็ดูย่ำแย่ลงหลายส่วน
ถาวจวินหลันเข้าใจว่าเขาคิดอะไรอยู่ ทันใดนั้นท่าทีก็เปลี่ยนไปในทันใด เห็นได้ชัดว่าคนในวังหลวงไม่ได้เรียกนางเข้าวัง อย่างไรเรื่องเช่นนี้นางไม่มาก็ไม่ได้มีผลอะไร นางไม่ใช่หมอ ไม่อาจรักษาองค์ชายรัชทายาทได้ อีกทั้งหลี่เย่ก็ไม่ใช่เด็กสามขวบ ยังต้องมีคนมารับเข้าออกจากวังอีกหรือ
ดังนั้นน่าจะมีคนจงใจถ่ายทอดคำสั่ง จากนั้นก็คิดจะลงมือกับนาง
แต่ถาวจวินหลันไม่สนใจตัวการแล้ว เพราะไม่ต้องเดาก็รู้ว่าเป็นใคร
นางจึงหัวเราะเยาะกล่าว “คิดไม่ถึงว่ามาถึงขั้นนี้แล้ว ฮองเฮาก็ยังมีใจจะทำเรื่องนี้อีก”
ด้วยสีหน้าของหลี่เย่ไม่ค่อยดีนัก ถาวจวินหลันจึงรีบเปลี่ยนเรื่องคุยทันที “ทำไมท่านถึงได้กลับมาตอนนี้เล่า? เรื่องทางนั้นจัดการเรียบร้อยแล้วหรือ?”
หลี่เย่ส่ายหน้า “เรื่องนี้ข้ามอบให้เฉินฟู่จัดการ ส่วนตัวข้าก็กลับมาก่อน ที่จริงแล้วตอนนี้จะสืบอะไรได้หรือไม่คงไม่จำเป็นอีกแล้ว ที่สำคัญทางนั้นเริ่มมีผู้ลี้ภัยถืออาวุธออกมาประท้วงแล้ว”
ถาวจวินหลันตกตะลึงกับข่าวนี้ “อะไรนะเพคะ? ถืออาวุธขึ้นประท้วงอย่างนั้นหรือ?” เรื่องเช่นนี้ใช่ว่าจะไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน แต่ปกติแล้วจะเกิดขึ้นตอนมีการผลัดแผ่นดิน และในตอนนั้นก็ต้องเป็นผู้นำที่ไม่มีศีลธรรม ไม่สนใจประชาชนถึงก่อนให้เกิดการประท้วงเช่นนี้
แต่คิดไม่ถึงว่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นตอนนี้ จะต้องรู้ว่าตอนนี้ยังถือว่ารุ่งเรือง มั่งคง ไม่ได้มีการรบราอะไรกัน และประชาชนก็อยู่เย็นเป็นสุข พ่อค้าแม่ขายไปมาหาสู่ทำการค้า ทุกที่ต่างก็เจริญก้าวหน้าเป็นอย่างดี แน่นอนว่า นอกจากพื้นที่ประสบภัยแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะขุนนางทุจริต เกรงว่ายามนี้พื้นที่ประสบภัยเหล่านั้นคงจะไม่ได้ลำบากเช่นนั้นแล้ว
“ถ้าอย่างนั้นองค์รัชทายาทเล่า?” หลังจากถาวจวินหลันได้สติมาจากความตื่นตะลึง ก็รีบถามเรื่องนี้ เพราะหากเกิดเรื่องนี้ขึ้นทำให้หลี่เย่ต้งกลับมารายงานก่อนกำหนด ก็ถือว่าสมเหตุสมผล
หลี่เย่ถอนหายใจ “องค์รัชทายาทถูกทหารกบฏทำร้าย ตอนนั้นเขาอยู่ในพื้นที่ที่เกิดการปะทะกันเป็นที่แรก พอข้าได้ยินข่าวแล้วเร่งรุดไปก็ไม่ทันแล้ว”
ถาวจวินหลันอ้าปากค้าง แล้วไม่ได้ส่งเสียงอะไรออกมาอีก กว่าจะได้เสียงกลับมา ก็อดถามไม่ได้ “เป็นเช่นนี้จริงหรือ? ไม่ทันจริงหรือเพคะ?”
ไม่ว่าอย่างไรเรื่องนี้ก็ดูบังเอิญเกินไป เกรงว่าหากเป็นคนอื่นคงจะไม่คิดว่าเรื่องเป็นเช่นนี้แน่นอน อย่างไรองค์รัชทายาทได้รับบาดเจ็บหนัก แต่ทำไมบนร่างของหลี่เย่ถึงไม่มีบาดแผลเลยแม้แต่น้อยเล่า?
หลี่เย่ยิ้มบางๆ “ย่อมเป็นเช่นนี้ เจ้าวางใจเถิด ตอนนั้นมีคนมากมายตามข้ามุ่งหน้าไปที่นั่น เรื่องนี้ไม่มีใครกล้าพูดนินทาแน่นอน”
หลี่เย่พูดด้วยท่าทีเด็ดเดี่ยว และมั่นใจเป็นที่ยิ่ง
ถาวจวินหลันถึงได้วางใจ นางเกรงว่าหลี่เย่จะอธิบายให้ชัดเจนไม่ได้ ถึงเวลานั้นจะถูกฮองเฮาไล่ถาม ถูกฮ่องเต้สงสัย และจะเสียชื่อเสียงเพราะเรื่องนี้
“องค์รัชทายาทได้รับบาดเจ็บที่ใด?” ถาวจวินหลันคิดถึงท่าทีของหมอหลวง จึงเอ่ยถามอีก
หลี่เย่มีท่าทีนิ่งขรึมเล็กน้อย ก่อนถอนหายใจตอบ “ที่จริงแล้วถูกธนูยิงเข้าไปที่หน้าอกขวา น่าจะแทงเข้าไปในปอด และด้วยหมอไม่กล้าดึงด้ามธนูออก บอกว่าหลังจากที่ดึงออกมาแล้วจะต้องเสียชีวิตในทันใด ดังนั้นข้าจึงไม่ได้ให้หมอดึงออกมา เพียงแค่ให้ใช้กรรไกรตัดส่วนที่อยู่ด้านนอกออกเท่านั้น ส่วนข้างในไม่ได้ไปขยับอะไร จากนั้นก็รีบพาองค์รัชทายาทกลับมาอย่างลืมวันลืมคืน”
ลืมวันลืมคืน คำนี้ไม่ได้กล่าวเกินจริงแม้แต่น้อย ตลอดทางไม่รู้ว่าเปลี่ยนม้าไปตั้งกี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ยังดีที่อาการบาดเจ็บขององค์รัชทายาทแม้ว่าจะรุนแรง แต่ก็ยังทนการกระแทกและสั่นคลอนได้ ดังนั้นจึงได้เร่งรีบกลับมา อย่างน้อยตอนที่ส่งมาถึงหน้าฮองเฮา องค์รัชทายาทก็ยังมีสติรับรู้
“องค์รัชทายาทไอเป็นเลือดแล้ว ครั้งแรกแค่เริ่มเห็นลิ่มเลือดเล็กน้อย แต่ตอนนี้ก็กลับสำรอกออกมามากจนควบคุมไม่ได้ เกรงว่าคงเหลือเวลาไม่มากแล้ว” ตอนที่หลี่เย่พูดเช่นนี้ ก็เหม่อลอยและโศกเศร้าเล็กน้อย
ที่จริงแล้วหลี่เย่เคยคิดจุบจบขององค์รัชทายาทมามากมาย เคยคิดว่าบางทีองค์รัชทายาทอาจจะตายด้วยน้ำมือของเขา หรือเขาจะต้องจัดการให้องค์ชายรัชทายาทอยู่แต่ในจวนคังอ๋องไปทั้งชีวิต ไม่ให้ออกมาอีก แม้จะบอกว่าโหดร้ายแต่อย่างน้อยก็ยังไว้ชีวิตขององค์ชายรัชทายาท เขาไม่เคยคิดว่าองค์ชายรัชทายาทจะตายไปเช่นนี้
นี่เทียบได้กับคนเก่งทั้งสองคนปะมือกัน ตอนที่กำลังจะออกแรก แต่ฝั่งตรงข้ามกลับตายเพราะสำลักน้ำ ช่างน่าขันมากจริงหรือไม่?
ถาวจวินหลันนิ่งอยู่ในภวังค์ไปครูใหญ่ สุดท้ายแล้วก็พูดปลอบหลี่เย่ว่า “องค์รัชทายาทเองก็ได้รับกรรมแล้ว” ขุนนางคดโกงส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับองค์รัชทายาททั้งนั้น ถึงแม้องค์รัชทายาทรู้เรื่องแต่ก็ไม่รายงาน ซ้ำยังช่วยกันปิดบัง พูดตามจริงแล้วนี่นับว่าเป็นผู้สมรู้ร่วมคิด สุดท้ายองค์รัชทายาทก็ถูกทหารกบฏยิงธนูใส่จนตัวตาย นับว่ากรรมตามสนองจริง
หลี่เย่ถอนหายใจยาว พูดอีกว่า “หลังจากไทเฮารู้เรื่องนี้แล้ว ไม่รู้ว่าจะต้องเสียใจมากเพียงใด” ต่อให้ไทเฮาจะไม่ชอบองค์ชายรัชทายาท แต่อย่างไรองค์ชายรัชทายาทก็ยังเป็นหลานแท้ๆ ของไทเฮา คนผมหงอกต้องมาส่งผมดำไปสวรรค์ ความเศร้าเช่นนี้ไทเฮาจะรับไหวได้อย่างไร?
ถาวจวินหลันได้ยินเช่นนั้นก็ถอนหายใจ เกรงว่าไทเฮาจะต้องเสียใจแน่นอน แต่นอกจากหาคำพูดดีๆ ไปปลอบประโลมแล้ว พวกเขาก็ทำอะไรไม่ได้อีก
แต่ทุกคนกลับคิดไม่ถึงว่า หลังจากไทเฮาได้ยินเรื่องนี้แล้ว ก็เพียงถอนหายใจ แล้วไม่ได้พูดอะไรแม้แต่คำเดียว หลังจากเหม่อลอยไม่ได้สติ ก็หัวเราะน้อยๆ ก่อนให้หลี่เย่กับนางกลับจวนไป
หลี่เย่ไม่วางใจ แต่ก็ไม่อาจทัดทานความแน่วแน่ของไทเฮาได้ จึงได้แต่กลับจวนไปพร้อมกับถาวจวินหลัน
เพราะเหน็ดเหนื่อยมาตลอดทาง พอหลี่เย่ขึ้นรถม้าก็หาววอดติดๆ กัน ถาวจวินหลันพูดว่า “ท่านนอนเถิด หนุนตักข้า แล้วหลับตาพักสักหน่อย”
หลี่เย่เหนื่อยแล้วจริงๆ จึงไม่ได้เอ่ยปากปฏิเสธ กลับนอนลงอย่าว่าง่าย แล้วถาวจวินหลันก็เอาผ้าห่มที่เตรียมไว้บนรถม้าออกมาคลุมให้เขา
หลี่เย่นอนหลับไปอย่างรวดเร็ว แล้วกรนส่งเสียงออกมาเล็กน้อย คิดว่าเป็นเพราะหายใจไม่สะดวกนัก
ถาวจวินหลันก้มหน้ามองใบหน้าด้านข้างของหลี่เย่ พลางลูบฝุ่นทบนผมเขา ถอนหายใจออกมาเบาๆ องค์ชายรัชทายาทไม่ช้าก็เร็วก็ต้องตาย การแข่งขันครั้งนี้จะจบลงเช่นนี้หรือไม่? หากเป็นเช่นนี้ ถือว่าทุกคนล้วนปิติยินดี
ที่น่ากลัวก็คือ ความตายขององค์ชายรัชทายาทนั้นไม่เพียงแค่จะทำให้ทุกอย่างไม่จบ แล้วยังเป็นการทำให้น้ำบ่อนี้ยิ่งสกปรกมากกว่าเดิม