บัลลังก์พญาหงส์ - บทที่ 582 เครือญาติ
ท่าทีเช่นนี้ของถาวจวินหลัน ทำให้คนเกิดความตื่นตกใจอีกครั้ง น้อยครั้งนักที่นางจะใช้ฐานะมาข่มเหงคู่สนทนา
ข่งฮูหยินย่อมหวาดกลัว ท่านอาคนนั้นยิ่งตกใจกลัว กลับเป็นหงหลัวและชุนฮุ่ยที่สบตากัน แล้วมองเห็นความยินดีจากแววตาของอีกฝ่าย พวกนางคิดว่าเจ้านายควรวางท่าเช่นนี้ถึงจะดี ก่อนหน้านี้ก็แล้วไป แต่ตอนนี้ฐานะยิ่งสูงส่งขึ้น ฐานันดรก็ยิ่งสูงขึ้น เจ้านายย่อมมีการเปลี่ยนแปลง มิเช่นนั้นจะปกครองคนใต้บังคับบัญชาได้อย่างไร?
กลับเป็นถาวจวินหลันที่นิ่งสงบที่สุด ในใจของนางรู้ดีว่าที่นางทำเช่นนี้ก็เพียงเพราะจะทำให้ข่งฮูหยินหวาดกลัวเท่านั้นเอง นางไม่ใช่นักบุญ ความดูหมิ่นดูแคลนที่เคยได้รับในอดีต นางย่อมต้องเอาคืนกลับไปเป็นเท่าตัว ตอนนั้นข่งฮูหยินหยิบยกชาติกำเนิดมายกเลิกการแต่งงานอย่างหยิ่งทะนงดูแคลน ในตอนนี้ฐานะของนางสูงกว่าฝ่ายตรงข้าม คิดว่าย่อมต้องดูหมิ่นได้ตามใจชอบ เป็นแค่เอาคืนกันคนละหมัด ไม่มีอะไรต้องมาคิดมากอีก
และดูจากตอนนี้แล้ว วิธีเชือดไก่ให้ลิงดูก็ไม่เลว
ถาวจวินหลันเหลือบมองท่าทีสีหน้าของคู่แม่ลูก แล้วลอบยิ้มเย็นในใจ
พอส่งฮูหยินข่งกลับไป ถาวจวินหลันถึงได้อมยิ้มมองคนที่บอกว่าตนเองเป็นอาสะใภ้ “ท่านอาอู๋สิ้นไปเพราะอะไรหรือ?” นางพอจำได้รางๆ ว่าท่านอาสะใภ้คนนี้สกุลสวี่ คนเรียกกันว่าอู๋สวี่ซื่อ
พอพูดถึงสามี ใบหน้าของอู๋สวี่ซื่อก็แสดงท่าทีระทมทุกข์ทันที “ตายเพราะโรคระบาดเจ้าค่ะ ตอนนั้นแทบจะใช้เงินทั้งหมดที่มี แต่ก็ยังรักษาไม่ได้ แม้แต่อันผิงก็ตายไปด้วย เหลือเพียงพวกเราสองแม่ลูกเท่านั้น พอจะฝืนทนใช้ชีวิตไปได้ระยะเวลาหนึ่ง แต่ตอนนี้รับไม่ไหวแล้วจริงๆ แม้แต่ที่อยู่ก็ไม่มีแล้ว ถึงได้มาขอพึ่งพิงชายารองเจ้าค่ะ”
ถาวจวินหลันยังแย้มยิ้มไม่เปลี่ยนแปลง “อย่างนั้นหรือ? ทำไมแม้แต่ที่อยู่ยังไม่มีเล่า? ข้าจำได้ว่าตอนนั้นท่านพ่อช่วยซื้อบ้านให้ แล้วยังเปิดร้านค้าให้ท่านอาอีกแห่งหนึ่ง คิดว่าหลายปีมานี้สถานภาพที่บ้านคงค่อนข้างดีมิใช่หรือ ทำไมผ่านไปไม่เท่าไรถึงได้กลายเป็นเช่นนี้”
ตอนนั้นท่านพ่อให้การช่วยเหลือสนับสนุนมาตลอด ไม่กี่ปีหลังจากนั้ นท่านอาอู๋ก็ไปซื้อบ่าวรับใช้มา ดูแล้วไม่น่าจะล้มละลายง่ายเช่นนี้
อู๋สวี่ซื่อกำผ้าเช็ดหน้าในมือแน่น สุดท้ายแล้วก็ถอนหายใจ “เขาชอบการพนันมาก ก่อนติดโรคระบาดที่บ้านก็แทบไม่มีเงินเหลือแล้วเจ้าค่ะ แม้แต่ฝังศพก็ต้องขายบ้านไปถึงรวบรวมเงินมาทำพิธีได้”
พอพูดเช่นนี้อู๋สวี่ซื่อก็ถือว่ามีความชอบธรรมมีศักดิ์ศรีแล้ว คนตายไป แม้กระทั่งต้องขายบ้านก็ต้องฝังศพสามีให้สมพิธี แต่คำพูดเช่นนี้ ถาวจวินหลันเพียงแค่ยกริมฝีปากยิ้มเยาะอยู่ในใจ คนที่ติดเชื้อโรคระบาดตายล้วนถูกเผาศพทำพิธีโดยราชสำนักทั้งนั้น ต่อให้จัดพิธีฝังด้วยตนเอง ที่จริงแล้วก็ไม่ได้ใช้เงินเยอะเท่าไรนัก แม้ว่าขายบ้านไปแล้ว คิดว่าจะต้องเหลือเงินไม่น้อยทีเดียว
อย่างน้อยก็ยังมีเยอะกว่าเงินที่นางมีติดตัวตอนที่ตระกูลถาวล่มสลายมากเป็นแน่
แต่เรื่องเช่นนี้ไม่ควรเอามาตรึกตรองมากนัก ถาวจวินหลันพยักหน้าถามต่อ “ถ้าเช่นนั้นตอนนี้ท่านอาสะใภ้คิดจะทำอย่างไร? อยากให้ข้ามอบเงินจำนวนหนึ่งให้ท่าน แล้วไปหาที่อยู่ใช้ชีวิตที่ดีกันเอง หรือคิดจะทำอย่างไร?”
ถามเช่นนี้ย่อมต้องมีความหมายแฝง นางอยากลองเชิงอีกฝ่ายว่ามีแผนและจุดประสงค์อะไร
อู๋สวี่ซื่อคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็พูดว่า “พวกเราหญิงม่ายและเด็กกำพร้าแล้วยังเป็นสตรีทั้งนั้น ใช้ชีวิตด้านนอกลำบากนัก ข้าจึงแบกหน้ามาขอให้ชายารองได้โปรดรับพวกเราเอาไว้ แน่นอนว่าพวกเราช่วยงานในจวนได้ ข้าเคยเลี้ยงลูกมาสองคน หากชายารองไม่นึกรังเกียจ ข้าช่วยเลี้ยงเด็กให้ท่านได้เจ้าค่ะ ลูกสาวของข้าคนนี้ก็ปรนนิบัติรับใช้ข้างกายท่านได้ เป็นญาติกันย่อมน่าเชื่อถือกว่าคนนอกนะเจ้าคะ”
ถาวจวินหลันยังนิ่งเงียบ หงหลัวก็อดหัวเราะเอ่ยพูดไม่ได้ว่า “นี่จะเรียกใช้ได้อย่างไรเจ้าคะ? พวกเราไม่ขาดคนปรนนิบัติรับใช้ ฮูหยินเป็นแขก ไฉนเลยจะต้องให้แขกมาลงมือเองด้วยเจ้าคะ? อีกทั้งไม่ว่าจะดูแลนายน้อย หรือให้อยู่ข้างกายชายารอง ก็ต้องผ่านการอบรมและสังเกตการณ์มาก่อนแล้ว ไฉนเลยจะเลือกใช้ใครมั่วๆ ได้เล่าเจ้าคะ?”
คำพูดของหงหลัวแฝงไว้ด้วยความดูแคลน แต่นางยิ้มกว้างพูดเช่นนี้ ก็ทำให้คนรู้สึกว่าคล่องแคล่วและดูคล้ายหยอกล้อ ไม่มีใครคิดว่าแฝงความเย้ยหยันแฝงไว้ด้วย
แต่ไม่ว่าจะดูแล้วมีหรือไม่ ความหมายก็เหมือนกัน
ถาวจวินหลันได้ยินแล้วก็อดหัวเราะไม่ได้ นางไม่ได้เอ่ยปากสั่งสอนหงหลัว คำพูดนี้นางไม่อาจพูดได้ หงหลัวพูดนั้นดีที่สุด ฝ่ายตรงข้ามถือว่ามีความสัมพันธ์เครือญาติ ช่างกล้ายกเรื่องนี้ขึ้นมาพูด นางไม่มีทางจัดการเพิ่มคนเข้าไปข้างกายซวนเอ๋อร์และหมิงจูมั่วๆ ไม่ต้องพูดว่าเป็นญาติห่างๆ ต่อให้เป็นอาแท้ๆ ก็ไม่มีทางจะทำตามใจได้ ส่วนข้างกายนางก็ยิ่งไม่มีทางเป็นไปได้ บางทีเป็นบ่าวขั้นสามอาจจะพอมีโอกาสบ้าง แต่หากนางเรียกใช้งานญาติตนเองจริง คนอื่นจะคิดอย่างไร? นางไม่ต้องการชื่อเสียงแล้วอย่างนั้นหรือ?
“เป็นเช่นนั้นจริง ในเมื่อเป็นญาติ ไฉนเลยยังจะมีเหตุต้องเรียกใช้ญาติอีก? หงหลัว เจ้าไปจัดการห้องพักแขกให้ท่านอาสะใภ้ แล้วบอกเรื่องนี้กับจิ้งผิงด้วย ให้เขาหาที่อยู่ให้ท่านอาสะใภ้เสีย” ถาวจวินหลันออกคำสั่งยิ้มๆ ความหมายชัดเจนอยู่แล้ว ให้รับรองเพียงชั่วคราวได้ แต่จะอยู่ตลอดชีวิตคงไม่มีทาง
อีกทั้งถาวจวินหลันไม่อยากไปยุ่งกับเรื่องนี้มาก แต่มอบให้ถาวจิ้งผิงจัดการต่อ ดูจากนิสัยของถาวจิ้งผิงแล้ว คิดว่าแม่ลูกคู่นี้จะต้องไม่ได้ผลประโยชน์อะไรเป็นแน่
แต่อู๋สวี่ซื่อคนนี้ยังถือว่าฉลาดมาก รู้จักลากข่งฮูหยินมาเกี่ยว แล้วมาหาถึงจวนอย่างเอิกเกริกเช่นนี้ เพราะว่าพอเป็นอย่างนี้แล้ว ถาวจวินหลันย่อมไม่อาจนิ่งเป็นทองไม่รู้ร้อนได้ ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องไว้หน้าอยู่บ้าง
พอพูดจบ ถาวจวินหลันก็ตั้งใจจะลุกขึ้นเดินออกไป แต่ก็มีบ่าวเข้ามาส่งข่าว “ท่านอ๋องกลับมาแล้วเจ้าค่ะ บอกว่าเอาผลไม้หายากกลับมาเล็กน้อย ให้ชายารองไปดูเจ้าค่ะ”
ถาวจวินหลันรับคำ จากนั้นก็ได้ยินอู๋สวี่ซื่อพูดอึกอักว่า “ท่านอ๋องกลับมาแล้วอย่างนั้นหรือ? เช่นนั้นพวกเราควรไปทำความเคารพเสียหน่อย”
ถาวจวินหลันชะงักฝีเท้า แต่เดิมคิดจะพูดว่าไม่จำเป็น แต่สายตาเหลือบเห็นท่าทีบนใบหน้าของอู๋สวี่ซื่อ จึงยิ้มเยาะรับคำ คิดว่านางเป็นคนโง่ ไม่รู้ว่าพวกนางวางแผนอะไรกันอย่างนั้นหรือ?
ในเมื่อพวกนางอยากพบหลี่เย่ถึงเพียงนี้ นางก็จะทำให้พวกนางสมหวัง
พอพบหลี่เย่ หลี่เย่เพิ่งเงยหน้าขึ้นมาส่งยิ้มจะพูดกับนาง ก็เห็นว่าด้านหลังมีอีกสองคนเดินตามมา จึงเลิกคิ้วเป็นเชิงถามไถ่
ถาวจวินหลันยิ้มพลางพูดแนะนำ จากนั้นอู๋สวี่ซื่อคู่แม่ลูกก็ทำความเคารพหลี่เย่อย่างนอบน้อม
หลี่เย่พยักหน้า “ที่แท้ก็เป็นญาติ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็ต้องดูแลให้ดี” นอกเหนือจากนี้ก็ไม่ได้พูดอะไรอีกเลย ในความเป็นจริงแล้วที่พูดเช่นนี้ก็เพราะว่าไว้หน้าถาวจวินหลัน
ถาวจวินหลันอมยิ้มมองอู๋สวี่ซื่อทีหนึ่ง จากนั้นก็พูดว่า “ในเมื่อมาทำความเคารพแล้ว ท่านอาก็ไปพักก่อนเถิด”
นางเพิ่งพูดจบ คนที่บอกว่าเป็น ‘น้องสาว’ ก็รีบทำความเคารพทันที เอ่ยปากพูดกับหลี่เย่ว่า “ขอบพระทัยท่านอ๋องและชายารองถาว ชิ่นหลานจักสำนึกบุญคุณไปตลอดชีวิต แม้ว่าไม่มีของตอบแทน แต่ท่านพ่อเคยสอนไว้ว่า ‘ไม่กินอาหารให้ทาน’ ขอให้ท่านอ๋องและชายารองได้โปรดรับชิ่นหลานไว้ทำงานเรือนด้วยเถิด เช่นนี้ชิ่นหลันถึงจะสบายใจเพคะ ”
นี่เป็นครั้งแรกของวันนี้ที่ ‘น้องสาว’ นามอู่ชิ่นหลานคนนี้เอ่ยปากพูด น้ำเสียงก้องกังวาน ฟังดูแล้วหนักแน่นเป็นอย่างมาก ที่สำคัญนางยังพูดดัง ‘หยิ่งทระนงอยู่ในกระดูก ศักดิ์ศรีเป็นดั่งต้นไผ่’ จนคนอดมองด้วยสายตาตะลึงไม่ได้
ถาวจวินหลันเลิกคิ้ว เบนหน้ามองท่าทางของหลี่เย่ ก็ทันเห็นว่าหลี่เย่เองก็ชะงักไปเช่นเดียวกัน
เห็นได้ชัดว่าพวกเขาตกใจกับคำพูดของอู๋ชิ่นหลานไปแล้ว
“ท่านอ๋องว่าอย่างไรเพคะ?” ถาวจวินหลันยิ้มหันไปถามหลี่เย่
หลี่เย่ส่ายหน้า “เป็นญาติกันทั้งนั้น ไม่จำเป็นต้องห่างเหินเช่นนี้” พอพูดจบก็อ้างว่ามีธุระต้องไปห้องหนังสือเล็กที่เรือนเฉินเซียง
ถาวจวินหลันพูดตามมารยามอีกเล็กน้อย ไม่ปล่อยให้ชิ่นหลานพูดอะไรอีก ก็ให้คนพาออกไป เหลือเพียงหงหลัวเอาไว้ช่วยจัดการ ส่วนตนเองกลับไปพูดคุยกับหลี่เย่
แล้วหลี่เย่ก็พูดว่า “น้องสาวห่างๆ ของเจ้าคนนี้คงเคยเรียนหนังสือมาบ้าง นางถึงได้กล้าหาญเช่นนี้”
ถาวจวินหลันเพียงแค่ยิ้มเยาะ “นางเคยเรียนหนังสือมาก่อน ตอนนั้นนางกับซินหลันเรียนหนังสือมาด้วยกัน ท่านพ่อของข้ายังช่วยหาบ้านให้พวกเขา แล้วถึงได้ย้ายออกไป ส่วนตนเองก็เชิญครูมาสอนคัดตัวอักษรที่บ้าน”
ถาวจวินหลันแสดงออกชัดเจนเกินไป หลี่เย่ย่อมสัมผัสได้ จึงลองพูดเรื่องที่คาดเดาว่า “ไม่ว่าอย่างไร อดีตก็ถือว่าผ่านไปแล้ว หากเจ้าไม่ชอบพวกนางก็ให้จิ้งผิงไปจัดการเสียเถิด อย่างไรตอนนี้จิ้งผิงก็เป็นเสาหลักของตระกูลถาว ถือเป็นญาติที่ถูกต้องตามทำนองคลองธรรม”
ถาวจวินหลันได้ยินก็หัวเราะ “กลับไปจิ้งผิงก็คงจะต้องจัดการเรื่องวุ่นวายนี้แล้ว คิดแล้วคงหงุดหงิดอย่างมาก”
“พูดไปแล้ว ข้าก็ไม่เคยเห็นเจ้าพูดเรื่องญาติมาก่อน“ หลี่เย่ย้อนคิดไป ไม่ว่าอย่างไรก็น่าจะมีญาติอยู่บ้าง แต่ถาวจวินหลันไม่เคยพูดถึงเลย
“แต่เดิมบรรพบุรุษของพวกข้าก็ไม่ได้อยู่ที่นี่ เพราะว่ารับตำแหน่งราชการถึงได้ย้ายมาอยู่เมืองหลวง” ถาวจวินหลันหัวเราะ “ญาติเหล่านั้นจากบ้านเดิมก็ไม่ค่อยได้ไปมาหาสู่กัน ส่วนพวกที่อยู่ในเมืองหลวงก็ไม่อยากเข้ามายุ่งเรื่องวุ่นวายด้วย ย่อมต้องตัดขาดอยู่แล้วเพคะ”
“พอพูดอย่างนี้ ท่านอาของเจ้าก็คงเคยทำเช่นนั้นเป็นแน่” หลี่เย่พูดอย่างมั่นใจ จากนั้นก็ยิ้มกว้าง “เช่นนั้นหน้าก็ไร้ยางอายเสียจริง”
ถาวจวินหลันไม่คิดยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูดอีก จึงพูดว่า “ท่านไม่ได้บอกว่ามีของหายากให้ข้าดูหรือเพคะ?”
ด้วยเปลี่ยนหัวข้อเรื่องในฉับพลัน จึงไม่มีใครยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูดอีก
กลับเป็นวันรุ่งขึ้นคู่แม่ลูกอู๋สวี่ซื่อก็มาทำความเคารพด้วยตนเอง และยกเรื่องมาช่วยทำงานพูดขึ้นมาอีก ถาวจวินหลันเอ่ยปฏิเสธอีกครั้ง แต่คิดไม่ถึงว่าอู๋ชิ่นหลานจะพูดขึ้นว่า “ได้ยินว่าไทเฮามีพระวรกายไม่ค่อยแข็งแรง ข้าขอเข้าวังหลวงไปปรนนิบัติไทเฮาเองเจ้าค่ะ อย่างแรกถือว่าแสดงความกตัญญูแทนท่านอ๋องและชายารอง อย่างที่สองถือว่าขอชีวิตที่สมหน้าตาแทนท่านแม่ของข้า ขอชายารองช่วยด้วยเถิดเจ้าค่ะ”
ไม่เพียงเท่านี้อู๋ชิ่นหลานนั้นยิ่งแสดงท่าทีขึ้นมาเอง บอกว่าตนเองสามารถช่วยถาวจวินหลันสืบเสาะข่าวในวังหลวงได้ ถือว่าเป็นหมากของจวนตวนชินอ๋อง
ถาวจวินหลันอดถามกลับด้วยความตกใจไม่ได้ “ใครบอกเจ้า คิดว่าข้างกายไทเฮาจะส่งใครเข้าไปปรนนิบัติก็ได้ง่ายๆ อย่างนั้นหรือ?”
อู๋ชิ่นหลานหน้าแดงก่ำ จากนั้นก็พูดว่า “ข้าได้ยินว่าท่านพี่ซินหลันเคยปรนนิบัติข้างกายไทเฮามาก่อน ถึงได้…”