บัลลังก์พญาหงส์ - บทที่ 588 โหดร้าย
วิธีที่หลี่เย่บอกคือให้ฮ่องเต้ออกหน้า ตอนที่ข่าวลือกระจายไปได้ขั้นหนึ่ง เช่นนั้นก็จะต้องมีคนที่ทนไม่ไหว หลุดโพล่งปัญหานี้ออกมาต่อหน้าหลี่เย่ตอนว่าราชการเช้าอย่างแน่นอน
หลี่เย่ย่อมปฏิเสธเสียงแข็ง จากนั้นก็รายงานเรื่องนี้กับฮ่องเต้
ฮ่องเต้กริ้วโกรธอย่างฉับพลัน นอนอยู่บนเตียงส่งเสียงดุด่าขุนนางที่พูดเรื่องนี้ “เอาจิตใจที่คับแคบของตนไปเปรียบกับคนที่ใจคอกว้างขวาง! ตอนที่องค์รัชทายาทได้รับบาดเจ็บ มีคนเห็นอยู่มากมาย ใครจะทำอะไรได้? ตวนชินอ๋องรีบเร่งกลับมาเมืองหลวงไม่ได้พัก หากไม่ได้มีใจคอกว้างขวาง ก็สามารถเดินทางมาช้าๆ ได้ ปล่อยให้องค์รัชทายาทตายกลางทาง! อีกทั้งตอนที่องค์รัชทายาทกลับมาก็ยังมีสติครบถ้วน องค์รัชทายาทยังไม่เคยคิดสงสัยตวนชินอ๋องด้วยซ้ำไป แล้วพวกเจ้ากล้าได้อย่างไร?! ทั้งดูหมิ่นกัน แล้วยังพูดจาไม่เกรงใจ สมควรตาย!”
ฮ่องเต้ต้องการมอบความตายให้ขุนนางคนนั้นจริง ใครใช้ให้เขาเป็นหมากที่คนอื่นดันขึ้นมาเล่า? แต่เดิมตำแหน่งหน้าที่ก็ไม่ได้สูง แล้วยังกล้าพูดเรื่องเช่นนี้ ไม่สมควรตายแล้วจะเป็นอะไร? อีกทั้งตอนนี้ราชสำนักก็อยู่ในช่วงเวลาอันตราย กลุ่มประท้วงจับจ้องตาเป็นมัน ราชสำนักยังไม่ทันได้จัดการปัญหานี้ แล้วฮ่องเต้ก็ยังนอนประชวรลุกจากเตียงไม่ไหว พวกเขากล้าดูหมิ่นหลี่เย่เช่นนี้ หากกลายเป็นความจริง สำหรับราชสำนักแล้วก็ถือว่าเป็นการโจมตีอีกอย่างเช่นเดียวกัน
ฮ่องเต้มีแผนต้องการสั่นคลอนบรรดาขุนนาง ราชสำนักจะต้องสมัครสมานสามัคคีเป็นหนึ่งเดียวถึงจะถูก ไม่ใช่มาทะเลาะเบาะแว้งเพราะเรื่องไม่สลักสำคัญ
ความจริงฮ่องเต้ออกคำสั่งประหารชีวิตแล้ว แต่หลี่เย่ออกหน้าขอร้อง “นี่เป็นข่าวที่ลือกันในท้องตลาด ไม่จำเป็นต้องเอาจริงเช่นนี้ ในเมื่อตอนนี้เรื่องกระจ่างก็จบแล้ว เสด็จะพ่อยังไม่หายดี น่าจะทำดีสะสมคุณธรรมไว้ อีกทั้งราชสำนักก็อยู่ในช่วงต้องใช้คน ไม่สู้เก็บเขาเอาไว้ทำงานชดใช้โทษพ่ะย่ะค่ะ”
ถูกหลี่เย่ขอร้องเช่นนี้ ฮ่องเต้ก็ต้องไว้หน้าเขาอยู่บ้าง และมีการเตือนจากหลี่เย่เช่นนี้ ฮ่องเต้ก็คิดได้ว่า เก็บคนคนนี้ไว้ถึงจะยิ่งน่าสนใจ จึงหัวเราะเสียงเย็น “โทษตายยกเลิกได้ แต่โทษเป็นยากจะหลบ ลากไปโบยสิบที แล้วส่งไปยังกองทหารที่ปราบกลุ่มประท้วงเถิด หากไม่สร้างผลงาน ก็ไม่อนุญาตให้กลับเมืองหลวงทั้งชีวิต! แก่ตายไปในกองทหารเถิด”
บทลงโทษนี้เมื่อเทียบกับโทษประหาารชีวิตแล้วดูใจกว้างกว่าก็จริง แต่พอมาคิดให้ดีก็อาจจะไม่ใช่ ส่งไปกองทหารยังไม่เท่าไร แต่อะไรเรียกว่าไม่สร้างผลงาน ก็ไม่อนุญาตให้กลับมาเมืองหลวงอีก?
ขุนนางคนนั้นได้ยินเช่นนี้ก็คิดว่าเบื้องหน้านั้นดำมืด และยิ่งรู้สึกว่าตนเองไร้หนทางกลับมาเมืองหลวงแล้ว ทันใดนั้นในใจก็เกิดความรู้สึกเสียดายเป็นที่ยิ่ง หากรู้ว่าจะเป็นเช่นนี้ก็ไม่ควรเป็นหัวโจก ไม่ควรละโลภกับผลประโยชน์เพียงเล็กน้อย คราวนี้เป็นอย่างไรเล่า จะต้องเอาชีวิตไปทิ้งไว้กับเรื่องนี้! ไม่รู้ว่าลูกเมียที่บ้านจะโทษตนเองอย่างไร!
แม้ว่าในใจจะไม่ยินยอมอย่างไร ไม่ว่าจะสิ้นหวังอย่างไร แต่เขาก็ยังต้องแสดงออกว่าขอบคุณอย่างเคารพนอบน้อม
ฮ่องเต้ยิ้มเย็น “เจ้าต้องขอบคุณตวนชินอ๋องถึงจะถูก หากไม่ใช่เพราะเขาขอร้อง ข้าจะต้องเอาชีวิตเจ้าแน่” พอพูดจบฮ่องเต้ก็มองไปทางหลี่เย่ทีหนึ่ง “ถ้ายังกล้าเข้ามาติฉินนินทาเรื่องไร้สาระอีก ไม่ว่าจะเป็นขุนนางหรือประชาชนก็ให้ถอดชุดโบยสิบทีทั้งหมด! คนที่สอนเท่าไรก็ไม่จำ ให้ตัดลิ้น!”
หลี่เย่ค้อมตัว คราวนี้ไม่ได้พูดขอร้องอีก
ฮ่องเต้ถึงได้พอใจ แล้วดุหลี่เย่ด้วยน้ำเสียงผ่อนคลายลง “เป็นนายคน เจ้าใจดีเช่นนี้ ไม่ยิ่งเปิดโอกาสให้คนมาข่มหัวเจ้าหรือ? จะลงโทษหรือให้รางวัลต้องแยกอย่างชัดเจน นี่คือสิ่งที่เจ้าควรทำ”
หลี่เย่รับคำอีกครั้ง
ภาพนี้ได้ขุนนางจำนวนมากเป็นประจักษ์พยาน จริงๆ ต้องกระจายออกไปแน่นอน แต่สุดท้ายฮ่องเต้ก็ใช้อำนาจปิดข่าวลือนี้ให้เงียบไปอย่างรววดเร็ว
ถึงกระนั้นถาวจวินหลันอยู่ที่บ้านก็ยังรู้ข่าวนี้ มีคนเล่าเรื่องนี้สมจริงราวกับเห็นภาพ
ถาวจวินหลันคิดว่าหลี่เย่ทำได้ดี จัดการข่าวลือเช่นนี้ช่างเหมาะสมนัก อย่างแรกฮ่องเต้เป็นคนเอ่ยปฏิเสธเรื่องนี้ด้วยตนเอง คนอื่นย่อมเชื่อโดยง่ายดาย อย่างที่สองบทลงโทษแสดงให้เห็นอยู่ตรงนั้น ใครยังจะกล้าพูดถึงข่าวลือไร้สาระนี่อีก? เรื่องเช่นนี้ถ้าไม่มีคนพูดก็ย่อมค่อยๆ ลืมไปแน่นอน
อีกทั้งวิธีเช่นนี้ของฮ่องเต้ใครยังจะกล้าเห็นต่างอีก? เมื่อเทียบกับหลี่เย่ลงมือด้วยตนเอง ย่อมต้องดีกว่าไม่รู้ตั้งกี่เท่า
แต่พอดูจากเรื่องนี้แล้ว ฮ่องเต้ไม่ใช่คนใจอ่อน ถ้าเทียบกับแต่ก่อนนับว่าดูโหดเ**้ยมขึ้นไม่น้อย
ฮ่องเต้ทำเช่นนี้ถือว่าดี ไม่เช่นนั้นจะควบคุมขุนนางได้อย่างไร? อีกทั้งฮ่องเต้ยังทำเพื่อขจัดสิ่งกีดขวางให้หลี่เย่
เพียงดูจากเรื่องนี้ วิธีจัดการของฮ่องเต้ก็แทบจะใช้คำว่า ‘ฉลาดเฉลียว’ สองคำนี้มาอธิบายได้
ข่าวลือเงียบลง เรื่องน่าปวดหัวก็เหลือเพียงจะใช้ใครนำทัพ
อาจด้วยอิทธิพลจากฮ่องเต้ วิธีของหลี่เย่ถึงได้แข็งข้อขึ้นอย่างหาได้ยาก ในเมื่อบรรดาผู้บัญชาการตระกูลหวังล้มป่วยโดยไม่ได้นัดหมาย อย่างนั้นก็ควรริบสิทธิ์ทางการทหารในมือของพวกเขากลับมา ราชสำนักต้องการใช้กำลังทหาร คงไม่อาจรอให้พวกเขาหายดีได้กระมัง?
พอคำพูดของหลี่เย่กระจายออกไป คนตระกูลหวังย่อมนั่งไม่ติดเป็นแน่
ถาวจวินหลันใจกระตุกวูบ หากคนตระกูลหวัง ‘ป่วย’ จริงจะเป็นอย่างไร? ก็ฉวยโอกาสนี้ริบสิทธิ์กลับมาได้ไม่น้อย
บางทีบรรดาผู้บัญชาการของตระกูลหวังควร ‘ป่วย’ จริงถึงจะดี
ถาวจวินหลันแอบบอกความคิดของตนเองกับหลี่เย่ “ท่านว่า หากแม่ทัพของตระกูลหวังป่วยจริง พวกเราจะฉวยโอกาสริบสิทธิ์ทางทหารส่วนหนึ่งกลับมาได้หรือไม่เพคะ?”
หลี่เย่นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วในตาเป็นประกาย สุดท้ายก็ลุกขึ้น “ข้าจะรีบไปจัดการเรื่องนี้” มิเช่นนั้นหากสายเกินไปจนทางด้านตระกูลหวัง ‘หายดี’ หมดแล้วเล่า? เรื่องนี้ช้าไม่ได้ จะต้องรีบจัดการทันที
ถาวจวินหลันดึงหลี่เย่เอาไว้ ลำพองดีใจ “ท่านคิดว่าใช้วิธีนี้ได้หรือเพคะ?”
หลี่เย่พยักหน้าหนักแน่น “ทำได้เป็นแน่”
“เรื่องนี้พวกเราจะต้องดำเนินการเงียบๆ ถึงจะดีเพคะ” ถาวจวินหลันพูดยิ้มๆ จากนั้นก็ปล่อยมือ “บางทีแต่ละคนอาการป่วยไม่เหมือนกันก็คงจะดี อย่างน้อยคนอื่นจะได้ไม่สงสัยพวกเราเพคะ”
“ไม่ ข้าคิดว่าพวกเขาสงสัยเราจะดีกว่า” หลี่เย่หัวเราะเบาๆ อย่างสะใจ “เจ้าคิดดู หากพวกเขารู้ว่าตนเองต้องพิษ แล้วยังแพร่กระจายมาจากในวังหลวง พวกเขาจะคิดอย่างไร?”
ถาวจวินหลันครุ่นคิดครู่หนึ่ง ก็เข้าใจความหมายของหลี่เย่ “พวกเขาไม่มีทางคิดถึงพวกเราแน่ แต่จะคิดว่าฮ่องเต้กำลังเตือนพวกเขาอยู่…”
หลี่เย่พยักหน้า “ต้องสั่งสอนให้ดีเสียหน่อย”
หากโยนเรื่องนี้ไปให้ฮ่องเต้ ฮองเฮาจะต้องเริ่มอยู่ในสภาพอึดอัด อีกทั้งสำหรับฮ่องเต้แล้ว แม้ว่าตระกูลหวังจะรู้ว่าเป็นฝีมือของฮ่องเต้ แต่พวกเขาจะกล้าแก้แค้นอย่างนั้นหรือ? ย่อมไม่กล้า
ฝีมือโหดเ**้ยมของฮ่องเต้ก็จะทำให้คนเริ่มหวาดระแวงอีกครั้ง
และหลี่เย่ก็เหมือนจิ้งจอกที่แอบอิงบารมีเสือ ใช้อำนาจและวิธีการโหดเ**้ยมของฮ่องเต้มาขยับขยายแขนขาของตนเองอย่างเปิดเผย
“แต่ต่อให้วิธีนี้ดีที่สุด ก็อย่าทำแรงเกินไปนะเพคะ อย่างไรก็ต้องให้คนตระกูลหวังออกรบในครั้งนี้ด้วย” ถาวจวินหลันเอ่ยเตือนประโยคสุดท้าย จากนั้นก็ให้หลี่เย่ออกไป
ไม่มีคนตระกูลหวังตามไป คนใหม่ย่อมไม่อาจคุมสถานการณ์ได้ ดังนั้นจึงยังต้องใช้คนตระกูลหวังอยู่ดี อีกทั้งเมื่อเป็นเช่นนี้ก็ถือว่ากำลังหลอกล่อตระกูลหวัง ให้พวกเขาคิดว่าฮ่องเต้กำลังเตือนพวกเขา และพอไม่พอใจวิธีและความคิดของพวกเขา แต่ก็ยังให้โอกาสพวกเขาแก้ตัว
หลี่เย่เข้าใจความคิดของถาวจวินหลัน จึงคลี่ยิ้มกล่าว “ย่อมเป็นเช่นนั้น วางใจเถิด ข้ารู้ดี”
ตกดึกคืนนั้น สายเลือดของนายทหารที่ถือสิทธิ์ทางทหารหลายคนในตระกูลหวัง ‘ป่วยหนัก’ ฉับพลัน อีกทั้งดูจากอาการแล้วคงไม่หายดีภายในช่วงเวลาสั้นๆ เป็นแน่
คืนนั้นยังมีข่าวลือว่าเจิ้นกั๋วโหวร้อนใจจนผมหงอกไปทั้งหัว และฮองเฮาโยนแจกันเคลือบในวังแตกไปหลายใบ แม้แต่พระกายาหารเช้าก็ไม่เสวย
เจิ้นกั๋วโหวเป็นอย่างไรถาวจวินหลันไม่รู้ แต่นางรู้เรื่องฮองเฮาอารมณ์ไม่ดี ด้วยเพราะวันรุ่งขึ้นนางเข้าวังพอดี
ถาวซินหลันก็ตามนางเข้าวังหลวงมาเช่นเดียวกัน คนที่เข้าวังมาพร้อมกันยังมีอู๋ชิ่นหลาน ถาวจวินหลันหาคนมาสอนกฎเกณฑ์ให้กับอู๋ชิ่นหลานอยู่หลายวัน จากนั้นก็คิดจะจัดการให้เข้าเวรในวังหย่งโซ่ว
ระหว่างทางอู๋ชิ่นหลานก็ปิดบังความรู้สึกตื่นเต้นไม่ได้ ถาวจวินหลันเห็นอู๋ชิ่นหลานเป็นเช่นนี้ ก็ได้แต่ส่ายหน้าเบาๆ ดูจากท่าทางก็ไม่เหมาะอยู่ในวังหลวงแล้ว ใจร้อนเช่นนี้คงไม่ต้องหาข้ออ้างย้ายนางไปหน่วยซักล้างแล้ว
ถาวจวินหลันย่อมไม่กล้าเอ่ยเตือน ส่วนถาวซินหลันก็อมยิ้มเงียบๆ
ถาวซินหลันมีป้ายห้อยเอวที่ไทเฮาเคยให้ไว้ สามารถเข้าออกได้ตามใจชอบ วันนี้เข้าวังมาพร้อมถาวจวินหลัน ที่จริงแล้วอู๋ชิ่นหลานยังมีเหตุผลอีกอย่าง ที่สำคัญมากกว่านั้นคือนางจะเข้าวังหลวงไปทำความเคารพไทเฮา
ไทเฮาชอบให้ถาวซินหลันเข้าวังหลวงมาพูดคุยกับนางบ่อยๆ
พูดไปแล้วความรักที่ไทเฮามีต่อถาวซินหลัน แม้แต่องค์หญิงทั้งหลายก็ยังไม่อาจเทียบได้ รู้ว่าถาวซินหลันตั้งครรภ์ ไทเฮาก็อารมณ์ดีประทานของให้ไม่น้อย แม้แต่กวนอิมหยกขาวที่ตนเองเคยบูชาก็ยังไม่เว้น
ถาวจวินหลันย่อมไม่อิจฉาน้องสาวของตน แต่เห็นแบบนี้ก็อดทอดถอนใจไม่ได้ นางกับถาวซินหลันเป็นพี่น้องท้องเดียวกัน แต่ไทเฮากลับปฏิบัติต่อพวกนางสองคนต่างกันเป็นที่ยิ่ง
มีบางครั้งที่นางไม่เข้าใจเหตุผลของเรื่องนี้เลยแม้แต่น้อย
เข้าวังหย่งโซ่วมา ถาวจวินหลันก็ส่งอู๋ชิ่นหลานให้นางกำนัลใหญ่ เห็นชัดว่านางกำนัลคนนั้นสนิทกับถาวซินหลัน และได้รับข่าวมานานแล้ว จึงพยักหน้าให้ถาวซินหลันแล้วพาคนเดินออกไป
จางหมัวหมัวเห็นการกระทำของทั้งสอง แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรแม้แต่คำเดียว ทว่ากลับลดเสียงพูดเรื่องที่ฮองเฮาไม่พอใจแทน
ถาวจวินหลันสบายใจ จึงยกยิ้มอย่างควบคุมไม่ได้
ท่าทีของถาวซินหลันก็ตรงไปตรงมา “นั่นดีมากแล้ว ไทเฮารู้เรื่องนี้แล้วกินข้าวต้มได้ถึงครึ่งถ้วยหรือไม่เจ้าคะ?”
จางหมัวหมัวกลอกตามองถาวซินหลัน แต่รอยยิ้มกลับสดใส “เสวยน้ำแกงไข่ไปกว่าครึ่งถ้วย หากเป็นเช่นนี้ทุกวันก็คงดี”
ไทเฮายังกินได้เพียงอาหารอ่อนและย่อยง่ายเท่านั้น ต่อให้ห้องเครื่องจะใส่ใจและประกอบอาหารรอบคอบเพียงใด ความอยากอาหารของไทเฮาก็ยังน้อยลงทุกวัน น้ำแกงไข่ครึ่งถ้วยมีแค่ไม่กี่คำ แต่ไทเฮาทานได้เท่านี้ก็ถือว่าดีมากแล้ว
จางหมัวหมัวจะดีใจเช่นนี้ก็ไม่แปลก ถาวจวินหลันกลับคิดว่า หากไทเฮาเป็นเช่นนี้ทุกวัน ฮองเฮาคงต้องท้องไส้ปั่นปวนมากขึ้นทุกวัน