บัลลังก์พญาหงส์ - บทที่ 602 เหนื่อยล้า
สองพี่น้องเดินเล่นพลางพูดคุยกันอย่างสนุกสนานภายในสวนของจวนตวนชินอ๋อง ปรึกษากันว่าจะทอดดอกอวี้หลันทานกันอย่างไร ส่วนด้านตำหนักองค์รัชทายาทนั้น พระชายาองค์รัชทายาทและหวังเหลียงตี้กำลังนั่งประชันหน้ากัน บรรยากาศดูอึมครึมทีเดียว
“เจ้าพูดอีกรอบสิ” พระชายาองค์รัชทายาทเอ่ยพูดช้าๆ แต่ก็ฟังออกได้ไม่ยากถึงความโกรธที่สะท้อนอยู่ในน้ำเสียง
หวังเหลียงตี้จัดการกับผ้าเช็ดหน้าที่อยู่ในมือทีหนึ่ง จากนั้นก็ยิ้มแย้มเอ่ยปากพูดกับพระชายาองค์รัชทายาทว่า “ท่านพี่ยังไม่แก่นี่เพคะ ทำไมหูถึงไม่ดีแล้วเล่า? ข้าบอกว่า ท่านพี่คนเดียวต้องดูแลเด็กสาวสองคนนั้นไม่ไหวแน่นอน ไม่สู้แบ่งมาให้ข้าเลี้ยงดูแลสักคน”
“บังอาจ!” สุดท้ายแล้วพระชายาองค์รัชทายาทก็ทนไม่ไหว ตำหนิเสียงดัง “เจ้าคิดว่าข้าเป็นพี่สาวแท้ๆ ของเจ้า แล้วเจ้าจะมาเสียมารยาทกับข้าอย่างไรก็ได้หรือ ข้าให้อภัยเพราะเจ้าอายุยังน้อย แต่เจ้าคงเหลวไหลใหญ่แล้ว แม้แต่เรื่องแบบนี้ก็กล้าพูดออกมา!”
ทั้งที่พระชายาองค์รัชทายาทตะคอกใส่นางอย่างโกรธขึ้ง หวังเหลียงตี้ก็ไม่ใส่ใจเลยแม้แต่น้อย แต่กลับส่งเสียงหัวเราะ “ท่านพี่จะโมโหไปทำไมเพคะ? ข้าก็เพียงอยากช่วยแบ่งเบาภาระท่านพี่บ้างเท่านั้นเอง อีกอย่างข้าจะไม่กล้าพูดเช่นนี้ได้อย่างไร? เรื่องนี้…ผิดตรงไหนหรือเพคะ?”
มองดูสายตาแฝงไว้ด้วยความท้ายทายและเ**้ยมโหดดุร้ายของหวังเหลียงตี้ พระชายาองค์รัชทายาทก็เหมือนโดนคนตีหัวเข้าอย่างจัง ยิ่งรู้สึกเจ็บปวดเป็นอย่างมาก พอคิดถึงความเอ็นดูที่ฮองเฮามีต่อหวังเหลียงตี้ สุดท้ายแล้วพระชายาองค์รัชทายาทก็ข่มความโกรธลงไปได้ พูดด้วยน้ำเสียงแหบแห้งเหนื่อยล้าเต็มทน “เด็กสาวที่นางสนมคนอื่นให้กำเนิดก็มีไม่น้อย เจ้าก็ไปเลือกเอาตามใจชอบสิ ทำไมต้องทำให้วุ่นวายเช่นนี้ด้วย? ข้ารู้ว่าเจ้าไม่พอใจ แต่องค์รัชทายาทสวรรคตไปแล้ว ชีวิตยังต้องดำเนินต่อไป วุ่นวายไปเพื่ออะไรกัน? ยังเรียกอะไรกลับมาได้?”
พระชายาองค์รัชทายาทคิดว่านี่เป็นการถอยให้แล้ว
แต่หวังเหลียงตี้กลับไม่ได้คิดเช่นนั้น
หวังเหลียงตี้ส่งเสียงหัวเราะคิกคัก มองพระชายาองค์รัชทายาทอย่างดูถูก พูดช้าๆ ว่า “พระชายาองค์รัชทายาทคิดว่าเรียกอะไรกลับมาไม่ได้ ดังนั้นถึงควรหยุดมือหรือเพคะ? ฮ่าๆ ใช่สิ ท่านเคยสูญเสียอะไรบ้างเล่า ท่านก็พูดได้ องค์รัชทายาทสวรรคตไปแล้วท่านก็ตามน้ำไปได้? แล้วข้าเล่า? ท่านพี่คนดีของข้า ท่านยังเคยเสพสุข แล้วข้าเล่าเพคะ? ท่านพี่คนดีของข้า ทำไมท่านถึงไม่สงสารข้าบ้างเล่าเพคะ?”
พระชายาองค์รัชทายาทรู้สึกเดือดพล่านอยู่ในอก ปวดขมับมากขึ้นเรื่อยๆ นางออกแรงนวดหว่างคิ้ว คิดจะคลายความหงุดหงิดและเหนื่อยล้าออกไป แต่ก็พบว่าไร้ประโยชน์ สุดท้ายแล้วนางก็ดุด่าอย่างไม่คิดทนว่า “เจ้าจะก่อเรื่องก็ตามใจเจ้า แต่หากกล้าพูดเช่นนี้อีก อย่าคิดว่าข้าไม่เห็นแก่พี่น้อง! ลูกสาวของนางสนมเหล่านั้นเจ้าคิดจะเลี้ยงคนไหนข้าก็ไม่สนใจ แต่เจ้าอย่าลามมาถึงลูกสาวของข้า เข้าใจหรือไม่!”
พอพูดจบพระชายาองค์รัชทายาทก็ส่งเสียงเรียกให้นางกำนัลส่งแขก ส่วนตนเองสะบัดแขนเสื้อเดินกลับเข้าไปในห้อง
แน่นอนว่าพระชายาองค์รัชทายาทไม่เห็นรอยยิ้มเย้ยหยันของน้องสาวตนเอง และดวงตาที่เปี่ยมล้นด้วยความรังเกียจดวงนั้น
พระชายาองค์รัชทายาทไม่รู้ว่าวันนี้หวังเหลียงตี้เป็นอะไรไป ตัดพ้อกับนางกำนัลอย่างเหนื่อยล้า “เจ้าว่านางเป็นอะไร? องค์รัชทายาทสวรรคตแล้วต้องใช้ชีวิตลำบาก ไม่ว่าใครก็คงชอบชีวิตแบบนี้ทั้งนั้น ถึงนางลำบาก แล้วข้าไม่ลำบากหรืออย่างไร ข้าอดทนมานานหลายปีสุดท้ายแล้วเพื่ออะไรกัน? ไม่ยอมให้ข้าเลี้ยงแม้แต่ลูกชาย นี่กำลังกีดกันข้าหรืออย่างไร?”
พระชายาองค์รัชทายาทเป็นคนชอบเอาชนะมาแต่ไหนแต่ไร แต่วันนี้ไม่รู้ว่าทำไม ถึงได้สะอึกสะอื้นแทน “รู้จักแต่หาเรื่องวุ่นมาให้ข้าไม่เว้นแต่ละวัน แล้วข้าจะไปร้องไห้กับใครได้? หากจะให้ข้าพูด ก็ไม่ควรเอานางเข้าวังมาตั้งแต่แรก! วันนี้สร้างเรื่องหนึ่ง พรุ่งนี้สร้างอีกเรื่องหนึ่ง ยังจะต้องใช้ชีวิตอย่างไรอีก?! เจ้าฟังแต่ละคำที่นางพูดออกจากปาก คิดเฉือนเนื้อเถือหนังจากข้าไปทั้งนั้น! หรือว่านางอายุน้อย ข้าควรให้อภัยที่นางเลอะเทอะอย่างนั้นหรือ? จะพูดก็พูดไม่ได้ จะลงโทษก็ทำไม่ได้ ไม่สู้ข้าเอาหัวชนกำแพงไปเลยจะดีกว่า!”
พระชายาองค์รัชทายาทน้อยใจ ก่อนหน้านี้ตอนที่หวังเหลียงตี้เพิ่งเริ่มสร้างเรื่อง นางก็เคยไปพูดตัดพ้อกับฮองเฮาแล้ว แต่ฮองเฮาก็เพียงแค่พูดโจมตีนางอย่างเหลืออด คำพูดทั้งในและนอกนั้นล้วนบอกให้สงสารน้องสาวเสียหน่อย ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาหวังเหลียงตี้ก็เอาแต่สร้างเรื่อง นางเองก็ไม่กล้าไปหาฮองเฮาอีก
ยามนี้ฮองเฮายิ่งไม่ชอบหน้านางมากอยู่แล้ว
พระชายาองค์รัชทายาทคิดเรื่องเหล่านี้ ในใจก็ยิ่งขมขื่น แท้จริงแล้วนางทำบาปอะไรกัน?
“นายหญิงอย่าคิดเรื่องเหล่านี้เลยเพคะ จะต้องตรึกตรองคำของฮองเฮาเหนียงเหนียงให้ดีต่างหาก คราวที่แล้วฮองเฮาเหนียงเหนียงให้ท่านลงมือกับชายารองถาว ตอนนี้ท่านยังไม่เริ่มลงมือ หากฮองเฮาเหนียงเหนียงรู้เข้าคงต้องหาเรื่องท่านอีกเป็นแน่เพคะ” นางกำนัลคนนี้เป็นบ่าวที่ติดมาจากตอนแต่งงานของพระชายาองค์รัชทายาท มีใจซื่อสัตย์กับพระชายาองค์รัชทายาทมาโดยตลอด นางเองก็คิดเผื่อพระชายาองค์รัชทายาทด้วยความหวังดี
แต่นางไม่เอ่ยเตือนยังจะดีกว่า พอพูดเตือนเรื่องนี้ พระชายาองค์รัชทายาทก็ยิ่งปวดหัวมากกว่าเดิม “จะลงมืออย่างไร? หากนางยังไม่มีความสามารถนั้น ทำไมถึงได้กล้าเปิดปากพูดออกมา? ไม่ว่าอย่างไรข้าก็ไม่มีความสามารถนั้น ปล่อยนางไปก็พอแล้ว ตอนนี้นางจะทำอะไรข้าได้อีก? อย่างไรก็ไร้อนาคตแล้ว ข้ายังทำอะไรเหมือนสมัยก่อนได้อีกเหรอ?”
สิ่งที่พระชายาองค์รัชทายาทไม่ได้พูดก็คือ ไม่ว่าอย่างไรนางก็มีแค่ลูกสาวสองคน ขอเพียงนางใช้ชีวิตอย่างสงบ ใครจะมีเรื่องกับนางได้? พอคิดเช่นนี้ พระชายาองค์รัชทายาทก็อดรู้สึกยินดีเล็กน้อยไม่ได้ว่าอาอู่ไม่ได้ถูกจดเอาไว้ใต้ชื่อนาง
มิเช่นนั้นคงเป็นเผือกร้อนในมือเช่นกัน
แต่นางกำนัลคนนั้นยังสงสัย “แบบนี้จะดีจริงหรือเพคะ?”
พระชายาองค์รัชทายาทเบะปาก “มีตรงไหนไม่ดีกัน? อย่างไรข้าก็ไร้อำนาจแล้ว” แน่นอนแล้วว่านางไม่สามารถสอดมือเข้าไปในจวนตวนชินอ๋องได้ คนที่ยังเหลืออยู่นั้นก็ไม่มีใครกล้าเสี่ยงอันตรายแทนนาง คนที่ส่งข่าวและสืบเบาะแสได้ก็มีจำกัดแล้ว
ต่อให้ลงมือจริง นางก็ไม่เลือกลงมือภายในจวนตวนชินอ๋อง ดังนั้นถ้ามีโอกาสก็แล้วไป แต่หากไม่มีโอกาสจริง นางก็ไม่ร้องขอ ฮองเฮารังเกียจถาวจวินหลันไม่มีที่เปรียบ ตอนนี้นางไม่มีคุณสมบัติไปโกรธแค้นถาวจวินหลันอีกแล้ว
ก่อนหน้านี้นางเป็นพระชายาองค์รัชทายาท แต่ตอนนี้นางถือเป็นอะไรกัน? สุดท้ายแล้วพระชายาองค์รัชทายาทก็ถอนหายใจ “โชคดีก็ดีไป” นางแก่งแย่งชิงดีมาทั้งชีวิต แต่สุดท้ายก็ลงเอยด้วยความพ่ายแพ้น่าเวทนามิใช่หรือ? ไม่ใช่นางไม่มีความสามารถ แต่นางไม่มีชะตาและไม่มีโชค
ฮองเฮาย่อมไม่รู้ว่าพระชายาองค์รัชทายาทถอนตัวจากเรื่องนั้นแล้ว ฮองเฮาต้องคิดว่าพระชายาองค์รัชทายาทยังยืนอยู่ฝั่งเดียวกับนางเป็นแน่ ลูกสะใภ้ของตนจะยืนอยู่คนละฝั่งกันได้อย่างไร?
ฮองเฮาไม่เคยคิดว่าองค์รัชทายาทสวรรคตไปแล้ว และฮ่องเต้ก็จะแต่งตั้งองค์รัชทายาทคนใหม่ ถึงเวลานั้นพระชายาองค์รัชทายาทยังไม่รู้ว่าจะต้องไปไหนทำอะไรด้วยซ้ำไป
ฮองเฮากำลังกริ้วโกรธกับความเห็นของกู้อวี่จื๋อ ในตอนนี้เห็นได้ชัดว่าไม่ควรแต่งตั้งองค์รัชทายาทคนใหม่ แต่ควรต้องรออีกหน่อย อย่างน้อยหลังจากอู่อ๋องกลับมาแล้วก็ค่อยว่ากันอีกที
คิดอยู่ครู่หนึ่ง ฮองเฮาก็ให้คนไปเชิญอี๋เฟยและจิ้งเฟยมาพูดคุย จิ้งเฟยก็คือมารดาของอู่อ๋องนั่นเอง
ฮองเฮาคิดว่าตอนนี้ควรเป่าหูได้แล้ว แม้ช่วงนี้ฮ่องเต้โปรดปรานจวงผินคนเดียว แต่ก็ไม่ได้ละเลยอี๋เฟย ส่วนจิ้งเฟยถือเป็นมารดาขององค์ชาย ย่อมเข้าเฝ้าฮ่องเต้ได้เช่นกัน
ฮองเฮารู้ดีว่าฮ่องเต้ไม่อยากแต่งตั้งองค์รัชทายาท ดังนั้น ขอแค่ยั่วโมโหอีกสักนิด…
ถาวจวินหลันย่อมไม่รู้เรื่องเหล่านี้ กลับเป็นไทเฮาที่ส่งคนมาเชิญให้นางเข้าวังหลวง
นี่ถือเป็นเรื่องหาได้ยาก จะต้องรู้ว่าน้อยครั้งที่ไทเฮาจะเรียกหานางก่อน นอกจากมีธุระ หรือคิดถึงซวนเอ๋อร์จนทนไม่ไหวเท่านั้น
แต่ครั้งนี้ไทเฮาไม่ได้พูดให้พาซวนเอ๋อร์ไปด้วย ถาวจวินหลันลังเลอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ตัดสินใจไม่พาซวนเอ๋อร์ไป ช่วงนี้สถานการณ์ในวังหลวงค่อนข้างซับซ้อน นางไม่อยากให้ซวนเอ๋อร์เสี่ยงอันตราย
อีกอย่างไทเฮามีธุระต้องการพบนาง พาซวนเอ๋อร์เข้าไปก็ไม่สะดวกนัก
ถาวจวินหลันตั้งใจเลือกเข้าวังตอนว่าราชการช่วงเช้า นางคิดมาดีแล้ว พอถึงเวลากลางวันก็รีบออกจากวังหลวง ย่อมไม่อาจบังเอิญพบฮ่องเต้ที่มาเพื่อทำความเคารพไทเฮาได้ แม้ช่วงนี้ฮ่องเต้จะไม่ค่อยมาทำความเคารพไทเฮาเท่าไรแล้ว แต่หากบังเอิญเล่า? เลี่ยงไว้ก็ดีกว่า
พอถาวจวินหลันนึกถึงคำว่า ‘โบยตาย’ ที่ไร้เยื่อใยของฮ่องเต้ ก็ยังหวาดกลัวอยู่เล็กน้อย นางกลัวว่าฮ่องเต้พบนางแล้วจะคิดถึงเรื่องไม่น่าอภิรมย์ จนบันดาลโทสะอีกครั้ง
สถานการณ์น่าอันตรายหวาดหวั่นเช่นนั้น ครั้งเดียวก็พอแล้ว
เพราะว่าหลี่เย่ช่วงนี้ถ่อมตัวลง ถาวจวินหลันลังเลเป็นอย่างมาก สุดท้ายก็เลือกกระโปรงที่ไม่ได้ดูถ่อมตัวจนเกินไป และไม่ได้ดูเด่นมากเกินไป การแต่งหน้าก็เช่นเดียวกัน
ถ่อมตัวมากเกินไปทำให้คนเข้าว่าจวนตวนชินอ๋องอ่อนแอ แต่หากโดดเด่นมากเกินไปก็ไม่ได้ ด้วยเพราะองค์รัชทายาทฮุ่ยเต๋อเพิ่งสวรรคตไปไม่กี่เดือน เพิ่งจะหมดช่วงพ้นทุกข์ไป ควรต้องสงบเสงี่ยมบ้าง อีกทั้งหลี่เย่ยังถ่อมตนเช่นนั้นแล้ว นางจะโดดเด่นเกินไปก็ไม่เหมาะสม
พอเข้าวังหลวงไปเข้าเฝ้าไทเฮา ถาวจวินหลันก็ต้องตกใจ นางแทบจะจำไม่ได้แล้ว นี่ไม่ได้พบนานเพียงใดกัน? ไทเฮาดูชราลงจนแทบจำไม่ได้แล้ว รอยเ**่ยวย่นเต็มใบหน้าไม่ต้องพูดถึง แค่เส้นผมสีดอกเลาทั้งหัวแล้ว ก็ให้คนเห็นขอบตาร้อนผ่าว
ในขณะที่ถาวจวินหลันก้มหน้าเก็บอารมณ์ ภายในหัวก็ปรากฏสองคำขึ้นมา ‘ไม้ใกล้ฝั่ง’ ‘น้ำมันหมดไฟก็มอด’
ไทเฮานั้นแทบไม่ต่างจากคนแก่ทั่วไปแล้ว จะท่าทางก็ดี ภาพลักษณ์ก็ดี สูญสลายหายไปหมดสิ้น
แต่เดิมไทเฮาหลับตาพักผ่อนอยู่บนเตียง แต่พอได้ยินเสียงฝีเท้าก็ลืมตาขึ้นมาน้อยๆ เห็นว่าเป็นถาวจวินหลัน ก็เบิกตากว้าง พูดว่า “เจ้ามาแล้วหรือ”
ถาวจวินหลันทำความเคารพไทเฮาอย่างเคารพนอบน้อม แต่ไม่กล้ามองไทเฮา นางกลัวว่าจะปกปิดอารมณ์เอาไว้ไม่ได้ จนเผลอแสดงสีหน้าสลดออกมา
“ซวนเอ๋อร์สบายดีหรือไม่?” ไทเฮาถามอย่างเป็นกังวล พลางกำชับอีกว่า “อากาศฤดูใบไม้ผลินั้นอบอุ่นแล้วก็จริง แต่ก็ยังป่วยได้ง่าย เจ้าจะต้องใส่ใจให้มาก”
ถาวจวินหลันรับคำอย่างจริงจัง พลางพูดว่า “หากไทเฮาไม่คิดว่าเสียงดังเกินไป ให้ซวนเอ๋อร์เข้าวังหลวงมาอยู่กับพระองค์ช่วงหนึ่งดีหรือไม่เพคะ?”
ไทเฮาได้ยินเช่นนั้นใบหน้าก็เริ่มมีหวัง แต่สุดท้ายแล้วก็ส่ายหน้าปฏิเสธ “ช่างเถิด“ หากซวนเอ๋อร์เห็นสภาพของนางตอนนี้ เขาคงต้องตกใจมาก ตอนนี้แม้แต่เซิ่นเอ๋อร์ที่พักอยู่ตำหนักเดียวกัน นางยังไม่ให้มาหาด้วยซ้ำ
ถาวจวินหลันพอคาดเดาได้ว่าทำไมไทเฮาถึงได้ปฏิเสธ ในใจก็รู้สึกยิ่งขมขื่นมากขึ้น นางนั่งลง ถามยิ้มๆ ว่า “วันนี้ไทเฮาเรียกหม่อมฉันมาด้วยมีเรื่องอะไรจะกำชับหรือเพคะ?”
“มีเรื่องอยากคุยกับเจ้า” ไทเฮาพยักหน้า “ประคองข้าลุก”
ถาวจวินหลันไม่รอให้นางกำนัลก้าวขึ้นมา ก็เดินเข้าไปประคองไทเฮาก่อน แต่พอนางสัมผัสไทเฮา ก็พลันเจ็บปวดใจขึ้นมา ไทเฮาไม่สบายรุนแรงจนถึงขั้นผ่ายผอมหนังติดกระดูกไปเสียแล้ว