บัลลังก์พญาหงส์ - บทที่ 606 เลือก
ข่าวที่องค์ชายเจ็ดและเฉินฟู่นำมานั้นเกี่ยวข้องกับตอนที่องค์รัชทายาทบาดเจ็บ และเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับใคร กลับไม่ได้ถูกเปิดเผยออกมา
แต่ถาวจวินหลันมั่นใจว่าไม่เกี่ยวข้องกับหลี่เย่แม้แต่น้อย
แน่นอนว่าหลี่เย่ต้องโดนเรียกเข้าวังตั้งแต่ดึก ข่าวเหล่านี้ถาวจวินหลันให้คนไปสืบมาเอง ส่วนหลี่เย่ไม่ได้กลับจวนมาสองวันแล้ว แค่นี้ก็รู้ได้ถึงความรุนแรงของเรื่องนี้แล้ว
ถาวจวินหลันกระวนกระวายใจเล็กน้อย นางอยากเข้าวังไปสืบข่าว แต่พอคิดดูแล้วก็ต้องล้มเลิกความคิดนี้ไป ตอนนี้อย่าเพิ่งกระโตกกระตากไปจะดีกว่า
แค่เฉินฟู่นั้นกลับมาโดยปลอดภัย นางก็คลายกังวลไปได้แล้ว อย่างน้อยต่อจากนี้ไปถาวซินหลันก็ไม่ต้องกังวลอีก
แต่ทางด้านองค์ชายเจ็ด อี้เฟยคงจะร้องไห้จนสลบไปแล้วกระมัง?
ตอนที่ถาวจวินหลันเป็นกังวลเรื่องนี้อยู่นั้น ฮ่องเต้ก็กำลังบันดาลโทสะ
องค์ชายเจ็ดถูกจัดการห้องให้เข้าพักแล้ว แม้จะบอกว่าบาดเจ็บหนัก แต่ยังดีที่หมอหลวงบอกว่าขอแค่รักษาตัวให้ดีก็หายได้ ตอนนี้เฉินฟู่กับหลี่เย่ล้วนนั่งเข้าเฝ้าอยู่ในห้อง มองดูฮ่องเต้ระบายอารมณ์ด้วยการขว้างปาสิ่งของที่อยู่ในห้อง
หลี่เย่ยังดี แม้จะบอกว่าเคยชินแล้วกับอารมณ์พลุ่งพล่านของฮ่องเต้ แต่เฉินฟู่ก็ตกใจมาก บวกกับร่างกายที่แต่เดิมก็เหนื่อยล้าอยู่แล้ว สีหน้าก็ยิ่งซีดขาวมากยิ่งขึ้น คล้ายจะเป็นลมได้ทุกเมื่อ
หลี่เย่มองเฉินฟู่ แล้วก็พูดว่า “เสด็จพ่อพ่ะย่ะค่ะ เฉินฟู่เร่งเดินทางมาตลอด คิดว่าจะต้องเหนื่อยเป็นแน่พ่ะย่ะค่ะ ให้เขากลับไปพักผ่อนก่อนเถิด”
ฮ่องเต้ระบายอารมณ์ไปครั้งหนึ่ง พอถูกหลี่เย่เตือนเช่นนี้ ก็ได้สติกลับคืนมา “ขุนนางเฉินกลับไปพักผ่อนก่อนเถิด ครั้งนี้เจ้าสร้างผลงานใหญ่ ข้าจะต้องตกรางวัลให้เจ้าอย่างงามเป็นแน่”
เฉินฟู่เหนื่อยมากแล้ว ก็ไม่พูดอะไรมาก เพียงแค่เอ่ยขอบพระทัยแล้วก็ถอยออกไป นอกจากร่างกายจะเหน็ดเหนื่อยแล้ว เขาก็อยากไปดูภรรยาที่ตั้งท้องลูกของตนใจจะขาด
หลังจากเฉินฟู่จากไปแล้ว บรรยากาศระหว่างหลี่เย่และฮ่องเต้ก็นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง นิ่งเงียบไปอยู่นาน จนบรรยากาศเริ่มหนักอึ้ง
“เรื่องนี้เจ้าคิดว่าอย่างไร” ในที่สุดฮ่องเต้ก็พูดออกมา นั่งอยู่บนบังลังก์มังกรไร้ความทรงอำนาจอย่างที่เคยเป็น เหลือเพียงแค่ความเหนื่อยล้าที่แสดงออกมาตรงหว่างคิ้ว ฮ่องเต้สภาพนี้มองดูแล้วไม่ได้แตกต่างจากคนชราใกล้ลงโลงเลย
หลี่เย่พิจารณาอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็พูดว่า “หรือจะเรียกให้อู่อ๋องกลับมาดีพ่ะย่ะค่ะ? ในเมื่อราชวงศ์โจวก่อกบฏ เช่นนั้นอู่อ๋องก็ต้องถูกโจมตีเป็นแน่พ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ดวงตาเป็นประกาย สุดท้ายก็ถอนหายใจออกมา “เจ้าคิดว่าควรจะเรียกให้อู่อ๋องกลับมาจริงหรือ?”
หลี่เย่ตะลึงไปเล็กน้อย จากนั้นมือทั้งสองข้างก็ประสานเข้าหากันมองไปยังฮ่องเต้ “ในตอนนี้แม้จะบอกว่าเรื่องกลุ่มกบฏสำคัญ แต่อู่อ๋องก็สำคัญเช่นเดียวกันพ่ะย่ะค่ะ ตระกูลหลี่มีสายเลือดอยู่เพียงเท่านี้ พี่ใหญ่สิ้นไปแล้ว พวกเราไม่อาจสูญเสียอะไรได้อีกพ่ะย่ะค่ะ”
อีกอย่างหากอู่อ๋องถูกเรียกกลับมา ที่จริงแล้วก็มีผลดีต่อเขาเช่นเดียวกัน อย่างน้อยก็ไม่ต้องกังวลว่าอู่อ๋องจะมาเรียกร้องรางวัล แล้วจะมาแย่งชิงกับเขาด้วยการบังคับจากฮองเฮาอีก
แต่ความกังวลของฮ่องเต้ก็ใช่ว่าจะไร้เหตุผล เรียกอู่อ๋องกลับมาเช่นนี้ สำหรับเรื่องก่อกบฏแล้วนั้นถือว่าส่งผลร้ายเป็นอย่างมาก
หลี่เย่ยังคิดถึงอีกความเป็นไปได้หนึ่งที่ไม่ได้พูดออกไป ที่จริงแล้วอู่อ๋องก็ใช่ว่าจะรับคำสั่งกลับมาเมืองหลวง อย่างไรก็ถือเป็นโอกาสหาได้ยาก
“ไม่ ไม่เรียกกลับมา” ฮ่องเต้ส่ายหน้า ใบหน้าจริงจัง “หากอยู่ในทัพทหาร ทหารเป็นพันม้าเป็นหมื่นป้องกันเอาไว้ก็ใช่ว่าจะมีคนหาช่องโหว่โผล่เข้ามาได้ แต่ถ้ากลับมาเมืองหลวง”
มีความเป็นไปได้ว่าอาจจะมีคนฉวยโอกาสระหว่างทางที่กลับมา จากนั้นอาจจะลงมือเล่นงานอู่อ๋อง
หลี่เย่เข้าใจความหมายของฮ่องเต้ ทันใดนั้นก็รู้สึกลำบากใจ “เช่นนั้นความเห็นของเสด็จพ่อเล่า? ควรจะทำอย่างไรพ่ะย่ะค่ะ?”
“ส่งคนไปแจ้งเตือนสักหน่อย ให้เขาระวังตัวด้วย” ฮ่องเต้ครุ่นคิดอยู่นาน สุดท้ายก็พูดเช่นนี้ออกมา
หลี่เย่ย่อมไม่เห็นต่าง
ฮ่องเต้พูดขึ้นมาอีก “ครั้งนี้เจ้าเจ็ดสร้างผลงานใหญ่ เจ้าว่าควรตกรางวัลให้เขาอย่างไรดี?”
หลี่เย่มองฮ่องเต้ที่วันนี้หันมาถามตนเองทุกเรื่องด้วยสายตาประหลาดใจ แต่ในเมื่อฮ่องเต้เอ่ยปากถามแล้ว เขาก็ไม่ต้องกลัวว่าจะพูดอะไร หลังจากพิจารณาครู่หนึ่ง เขาก็ตอบว่า “เจ้าเจ็ดถึงช่วงอายุที่ต้องแต่งตั้งอ๋องแล้ว กระหม่อมว่าไม่สู้ประทานจวนที่เขาพอใจสักหลัง และให้เขาเลือกพระชายาที่เขาพึงใจด้วยตนเอง สุดท้ายแล้วก็ตั้งชื่อประจำตำแหน่งอ๋องที่สูงส่งพ่ะย่ะค่ะ”
ตอนแรกหลี่เย่อยากพูดออกมาว่าแต่งตั้งเป็นชินอ๋อง แต่คิดว่าข้อเสนอนี้ต่อให้ฮ่องเต้ยอมรับ แต่บรรดาขุนนางและเครือญาติคงจะไม่ยอมรับเป็นแน่ จึงได้กดเอาไว้ไม่พูดถึง “เจ้าเจ็ดชอบศิลปะการอาวุธมาตลอด ไม่สู้ประทานดาบล้ำค่าและชุดเกราะให้เขาสักชุด แล้วก็มอบอำนาจทางการทหารให้เขาพ่ะย่ะค่ะ”
นี่ก็ถือว่าเป็นการเปลี่ยนกระแสอำนาจไปในตัว หลี่เย่เชื่อว่ามีองค์ชายเจ็ดอยู่ในมือ เขาเองก็สามารถใช้ได้
ฮ่องเต้ครุ่นคิด แต่ก็ไม่ได้แสดงท่าทีอะไรออกมาในทันที แต่ก็ให้หลี่เย่ช่วยจัดการฎีกาของสองวันที่ผ่านมาที่กองสุมกันอยู่เป็นภูเขา
ตอนที่หลี่เย่ทุ่มสมาธิทั้งหมดอยู่นั้น จู่ๆ ฮ่องเต้ก็พูดว่า “เรื่ององค์รัชทายาทเจ้าคิดว่าอย่างไร”
หลี่เย่พูดตอบทันควัน “ที่จริงก็ควรจะต้องรีบแต่งตั้งองค์รัชทายาทพ่ะย่ะค่ะ ตอนนี้จขุนนางทั้งหลายกำลังกระวนกระวาย แต่งตั้งองค์รัชทายาทปลอบประโลมใจพวกเขาก็ดี จะได้ไม่ทำให้ราชสำนักสั่นคลอนพ่ะย่ะค่ะ”
“อย่างนั้นเจ้าคิดว่าแต่งตั้งใครถึงจะเหมาะสม” ฮ่องเต้ถามอีก
คราวนี้หลี่เย่ไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไร เขาเงยหน้ามองฮ่องเต้ทีหนึ่ง จากนั้นก็คิดได้ว่า ฮ่องเต้กำลังลองเชิงเขา
เผชิญหน้ากับสายตาสอบถามของฮ่องเต้ หลี่เย่เพียงแค่วางฎีกาในมือลงพลางมองไปยังฮ่องเต้อย่างยิ้มแย้ม “เรื่องแต่งตั้งองค์รัชทายาท ย่อมต้องเป็นเสด็จพ่อตัดสินใจ อีกทั้งตัวกระหม่อมเองก็เป็นหนึ่งในนี้ เพื่อหลีกเลี่ยงข้อสงสัย จึงไม่สะดวกพูดเรื่องนี้เท่าไรพ่ะย่ะค่ะ”
หลี่เย่พูดจากใจจริง และเข้าใจง่าย
ฮ่องเต้กลับไม่พอใจ เพียงแค่ส่งเสียงฮึดฮัดเบาๆ “ไทเฮาคิดอย่างไร ทั้งเจ้าและข้าล้วนรู้ดีอยู่แล้ว ทำไมเจ้าจะต้องทำเลอะเลือนด้วยเล่า?”
“ไทเฮาพอใจกระหม่อม คิดว่าเป็นเพราะกระหม่อมสามารถเอาชนะได้พ่ะย่ะค่ะ แต่สุดท้ายแล้วสิทธิ์เลือกก็ยังเป็นของเสด็จพ่อพ่ะย่ะค่ะ” ท่าทีของหลี่เย่ไม่ได้น้อยเนื้อต่ำใจ แต่พอมองอย่างละเอียดแล้ว ลึกไปในดวงตาของเขากลับไม่ได้อบอุ่น แต่เย็นชาเรียบนิ่ง ต่อให้คนที่อยู่ตรงหน้าจะเป็นบิดาของเขาก็ตาม
“หรือเจ้ามองไม่ออกว่าไทเฮากำลังบีบบังคับข้า??” น้ำเสียงของฮ่องเต้ค่อยๆ เย็นขึ้น
เสียงของหลี่เย่ยังคงสงบ “แต่สุดท้ายแล้วไทเฮาก็ไม่ได้แต่งตั้งกระหม่อมเป็นองค์รัชทายาทโดยตรงพ่ะย่ะค่ะ เพียงแค่ใช้วิธีเช่นนี้เท่านั้นเอง” ไทเฮาบีบบังคับบางทีอาจจะเกิดผล แต่นั่นไม่ใช่สิทธิ์ขาด คนที่ตัดสินใจแท้จริงก็ยังเป็นตัวฮ่องเต้เอง
ฮ่องเต้เก็บความเย็นชาที่แผ่ออกมา ฉับพลันก็พูดว่า “เจ้าคิดว่าเสนาบดีหวังเป็นอย่างไร? เขามีลูกสาวคนเล็ก อายุเพิ่งจะสิบหกปี กำลังถึงวัยตบแต่งออกเรือน แล้วยังงดสุรา รวมถึงหลานสาวอายุสิบเจ็ดปีอีกคนหนึ่ง ก็ถือว่าเหมาะสม”
“เสด็จพ่อหมายความว่าอย่างไรพ่ะย่ะค่ะ?” สีหน้าของหลี่เย่เริ่มดำคล้ำลง
“ข้าตัดสินใจว่าจะเลือกหญิงสาวหนึ่งในสองคนนี้มาเป็นพระชายาองค์รัชทายาท เจ้าชอบคนไหน?” ฮ่องเต้แสดงท่าทีขบขันเล็กน้อย แต่มองดูแล้วต้องไม่ใช่เพราะยินดีอย่างแน่ แต่กลับเป็นความสะใจอย่างหนึ่ง
หลี่เย่สูดหายใจเข้าลึก พูดเรียบๆ ว่า “ลูกไม่เข้าใจความหมายของเสด็จพ่อพ่ะย่ะค่ะ”
“เจ้าเลือกมาคนหนึ่ง ข้าเพียงแค่ออกคำสั่งอภิเษกเท่านั้น จากนั้นก็จะเขียนหนังสือแต่งตั้งองค์รัชทายาท” รอยยิ้มของฮ่องเต้ยิ่งเห็นชัดมากขึ้น แต่ความหมายนั้นกำลังบีบบังคับให้หลี่เย่เลือกอยู่
คำพูดนี้ของฮ่องเต้ชัดเจนเป็นอย่างมาก หลี่เย่อยากเป็นองค์รัชทายาท เช่นนั้นก็ต้องเลือกพระชายาองค์รัชทายาทมาคนหนึ่ง และพระชายาองค์รัชทายาทคนนี้ ก็ต้องเป็นหญิงสาวหนึ่งในสองคนที่เขาเสนอ
“ลูกไม่อาจเลือกได้ และไม่จำเป็นต้องเลือกพ่ะย่ะค่ะ” หลี่เย่ก้มเคารพอย่างนอบน้อม คุกเข่าพูดว่า “ที่จริงแล้วลูกอยากให้เสด็จพ่ออนุญาตนานแล้ว ให้ลูกแต่งตั้งชายารองถาวเป็นพระชายาพ่ะย่ะค่ะ”
หลี่เย่เองก็แสดงความตั้งใจของตนเองออกมาเช่นเดียวกัน ไม่เพียงแค่แสดงออกมา อีกทั้งยังยืนหยัดอย่างมาก
ใบหน้าของฮ่องเต้คล้ำลง เขาจ้องหลี่เย่นิ่ง พูดเสียงเนิบนาบว่า “เจ้าหมายความว่าอย่างไร? ทำไม เจ้าไม่อยากเป็นองค์รัชทายาทอย่างนั้นหรือ? ข้าพูดแล้ว หากเจ้าอยากเป็นองค์รัชทายาท ก็ให้เลือกมาคนหนึ่ง ถาวซื่อมีฐานะต่ำต้อย ไม่มีทางเป็นพระชายาองค์รัชทายาทได้”
“ฐานะต่ำแล้วเป็นอย่างไรพ่ะย่ะค่ะ?” หลี่เย่เย้ยหยันตนเอง ท่าทางยังคงยืนหยัดอยู่เหมือนเดิม “ทำไมเสด็จพ่อจะต้องบีบบังคับลูกด้วยเล่า? วันนี้ลูกขอแสดงความจริงใจต่อเสด็จพ่อก็แล้วกันพ่ะย่ะค่ะ หากลูกได้เป็นองค์รัชทายาท ถาวซื่อก็ต้องเป็นพระชายาองค์รัชทายาท หากลูกเป็นตวนอ๋อง ถาวซื่อก็จะต้องเป็นพระชายาตวนอ๋อง หากลูกเป็นปุถุชน ถาวซื่อก็ต้องเป็นภรรยาของลูกพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ชักสีหน้าในฉับพลัน พร้อมพูดเสียงเย็น “ดูท่าทางถาวซื่อควรจะตายจริง นางมอมเมาเจ้าจนเลอะเลือนไปทุกอย่างแล้ว”
“ถาวซื่อไม่เคยมอมเมาลูกพ่ะย่ะค่ะ ในทางกลับกัน นางเป็นภรรยาที่ดี ถาวซื่อช่วยลูกจัดการจวน ให้กำเนิดและเลี้ยงลูก ทั้งดีพร้อมและมีความสามารถ ลงเรือลำบากมากับลูกตั้งแต่แรก ลูกจะทำผิดกับนางได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ?” หลี่เย่พูดแสดงความในใจ หมอบอยู่กับพื้นไม่ลุกขึ้นมา “ภรรยาย่ำแย่ไม่อาจทอดทิ้งได้ ถาวซื่อจะไม่ดีอย่างไร ก็อยู่กับลูกมานานหลายปีพ่ะย่ะค่ะ จะไม่มีผลงานก็ต้องมีหยาดเหงื่อพ่ะย่ะค่ะ ลูกจะไม่มีน้ำใจอย่างไร หากจะผิดสัจจะเพราะอำนาจ ทำผิดต่อถาวซื่อ แม้ว่าลูกจะเป็นองค์รัชทายาท ก็ไม่อาจสงบใจได้อยู่ดีพ่ะย่ะค่ะ”
สีหน้าฮ่องเต้เปลี่ยนไป ฉับพลันก็บันดาลโทสะออกมา “ไร้สาระ! เจ้าหมายความว่าอะไร! ขู่ข้าอย่างนั้นหรือ?”
“ลูกไม่กล้าพ่ะย่ะค่ะ” หลี่เย่ตอบกลับได้เท่านี้
แต่ฮ่องเต้ไม่ได้ลดโทสะลง พูดเสียงเย็นว่า “ในเมื่อเจ้าดื้อด้านเช่นนี้ ก็คุกเข่าอยู่ตรงนี้ไป ลองคิดสำนึกให้ดี เมื่อไรที่เข้าใจแล้วค่อยลุกขึ้นมา! หากยังยืนยันคำเดิม ก็ให้นั่งคุกเข่าตายไปตรงนี้”
หลี่เย่รับคำเสียงเย็นนิ่งๆ “ลูกน้อมรับคำสั่งพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้เห็นท่าทีของหลี่เย่ก็โมโหจนสะบัดแขนเสื้อเดินออกไป อีกทั้งยังออกคำสั่งกับขันทีเป่าฉวน “จับตาดูตวนชินอ๋องให้ดี ไม่อนุญาตให้ออกไปนอกห้องแม้แต่ก้าวเดียว!”
ขันทีเป่าฉวนรีบรับคำ และให้ลูกศิษย์ออกไปปรนนิบัติฮ่องเต้
พอเห็นฮ่องเต้จากไป ขันทีเป่าฉวนก็รีบพูดกับหลี่เย่เสียงเบาว่า “ท่านอ๋องลองนั่งคิดสำนึกอยู่ในนี้เถิดพ่ะย่ะค่ะ บ่าวจะไปปิดประตูให้”
ภายในห้องไม่มีคนคอยรับใช้ เหลือเพียงแค่หลี่เย่คนเดียว ย่อมต้องสะดวกต่อการที่หลี่เย่จะแอบขี้เกียจ สิ่งที่ขันทีเป่าฉวนช่วยได้ก็มีเพียงเรื่องนี้
ปิดประตูลง ขันทีก็ลอบถอนหายใจเบาๆ พูดกับลูกศิษย์ของตนเองว่า “ตวนชินอ๋องให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์ หากอยู่กับเขาถึงจะมีโชคที่แท้จริง แต่ในตอนนี้เขาจะต้องทนลำบากไปก่อนแล้ว”
ฮ่องเต้เห็นได้ชัดว่าทำเพราะต้องการกลั่นแกล้งหลี่เย่เท่านั้นเอง สำหรับเหตุผล ขันทีเป่าฉวนรู้ดีอยู่แก่ใจ แต่ไม่อาจพูดกับหลี่เย่ตรงๆ ได้