บัลลังก์พญาหงส์ - บทที่ 610 ย้ายบ้าน
ไม่รู้ว่ารู้สึกไปเองหรือไม่ ถาวจวินหลันมักรู้สึกว่านางกำนัลปฏิบัติตัวต่อตนเองดีมากขึ้น ไม่เพียงแค่เคารพแล้วยังแฝงไว้ด้วยคำประจบ
ถาวจวินหลันเหลืบมองหลี่เย่ทีหนึ่ง ในใจคิดว่า นี่คงเพราะภรรยาอาศัยบารมีสามีกระมัง? ฐานะของหลี่เย่เปลี่ยนไป สิ่งที่นำมาให้นางจะมีแค่เกียรติยศได้อย่างไร?
เดินทางไปจนถึงวังหย่งโซ่วของไทเฮา กลับพบฮองเฮาอยู่ที่นี่อย่างหาได้ยาก
ตอนที่ถาวจวินหลันมองไปยังฮองเฮา ฮองเฮาก็กำลังมองนางอยู่พอดี ทันใดนั้นถาวจวินหลันก็รู้สึกว่าสายตาของฮองเฮาแลดูบิดเบี้ยวไปกะทันหัน แต่เพียงแค่ชั่วครู่เท่านั้น ตอนที่มองไปอีกครั้ง ฮองเฮาก็กลับมาเป็นเหมือนเดิมแล้ว
ฮองเฮายิ้มสดใสพลางเอ่ยทักทาย “มาเสียที ข้ากับไทเฮารอเจ้าอยู่นานแล้ว”
นี่ถือว่าในหลายปีมานี้ท่าทีของฮองเฮาครั้งนี้คงดีที่สุดแล้วกระมัง? ฮองเฮาลดตัวลงเช่นนี้ ถาวจวินหลันย่อมไม่อาจดึงหน้าอยู่ได้ รีบยิ้มและพูดว่า “ถือเป็นความผิดของหม่อมฉัน ล้วนเป็นเพราะการเดินทางทั้งนั้นเพคะ”
ไทเฮาหัวเราะ โบกมือเรียกซวนเอ๋อร์ พลางพูดว่า “ต่อจากนี้ไปก็ไม่ต้องกังวลเรื่องการเดินทางจะทำให้ล่าช้าแล้ว ต่อไปอาศัยอยู่ในวังหลวง ไม่มีทางติดขัด อยากมาก็มา สะดวกเป็นยิ่งนัก”
เห็นชัดว่าไทเฮาดีใจจากก้นบึ้งหัวใจ แต่ฮองเฮาคงจะไม่ได้เป็นเช่นนั้น แม้จะบอกว่าฮองเฮายิ้มตามเช่นเดียวกัน แต่รอยยิ้มกลับไม่ได้ส่งไปถึงตา ความรู้สึกเช่นนั้นแลดูเย็นเยียบอยู่มาก
ถาวจวินหลันไม่สนใจท่าทีของฮองเฮาแม้แต่น้อย หากฮองเฮาชอบใจนาง และยินดีเพราะนางกับหลี่เย่เข้ามาอาศัยในวังหลวง นั่นถึงจะเป็นเรื่องน่าแปลกที่ ในทางกลับกันฮองเฮาเป็นเช่นนี้ถือว่าเป็นเรื่องปกติ
แน่นอนว่าคำพูดของไทเฮาเป็นการบอกใบ้กับนาง เช่นเรื่องย้ายเข้ามาอยู่ในวังหลวง หรือเปลี่ยนแปลงฐานะของหลี่เย่
องค์ชายที่บรรลุนิติภาวะแล้ว นอกจากองค์รัชทายาทล้วนไม่อาจอาศัยในวังหลวงได้ นี่เป็นกฎเกณฑ์ที่มีมาตั้งแต่สมัยโบราณไม่เคยมีใครฝ่าฝืนมาก่อน ไทเฮาแสดงออกอย่างมั่นใจว่าหลี่เย่ย้ายเข้ามาอยู่ในวังหลวง เห็นชัดว่าหลี่เย่จะได้เป็นองค์รัชทายาทแล้ว
ถาวจวินหลันลอบยินดีในใจ คลี่ยิ้มอย่างควบคุมไม่ได้ “ดีเหลือเกินเพคะ ต่อไปหม่อมฉันก็พาซวนเอ๋อร์กับหมิงจูมาทำความเคารพและปรนนิบัติไทเฮาได้ทุกวันแล้วเพคะ”
นี่เป็นความจริงจากใจ ไม่ใช่การประจบประแจง อย่างแรกเพราะจะได้แสดงความกตัญญู อย่างที่สองเพื่อเรียนรู้สิ่งต่างๆ จากไทเฮา อย่างเช่นการจัดการดูแลกิจในวังหลวง หากจะพูดถึงการจัดการดูแลกิจในวังหลวง ไทเฮาเก่งกว่าฮองเฮาไม่รู้ตั้งเท่าไร ไทเฮาดูแลวังหลังมานานกว่าสี่สิบปี ฮองเฮาจะมาเทียบได้อย่างไร?
อีกทั้งหลังจากเข้าวังมานางย่อมต้องคิดหาวิธีเอาอำนาจการจัดการภายในวังมาไว้ในมือให้ได้ หากฮองเฮายังดูแลจัดการกิจในวัง นางย่อมไม่มีวันสบายใจเป็นแน่ อย่างไรคงยากที่จะปักหลักป้องกันอยู่ตลอดเวลา จะต้องมีช่วงที่สะเพร่าไปบ้าง
ฮองเฮาดูแลกิจในวังหลวง นางก็จะต้องกังวลเรื่องอาหารการกิน น้ำดื่มเครื่องหอมเหล่านี้อยู่ทุกวัน ทุกอย่างล้วนอาจเกิดปัญหาได้ ถ้าจะต้องมาหวาดกลัวเป็นกังวลป้องกันอยู่นั้น ไม่สู้แย่งสิทธิ์การจัดการภายในวังมาไว้ในมือดีกว่า
แต่ความคิดนี้ไม่สามารถแสดงออกมาได้ในตอนนี้
“วันนี้ที่เรียกเจ้ามา ก็ด้วยมีเรื่องอยากถามเจ้า” ไทเฮาหัวเราะสดใสพลางเอ่ยปากพูด ยังไม่ละสายตาไปจากตัวซวนเอ๋อร์ ใบหน้าเต็มไปด้วยความรักใคร่ “ตอนนี้วังขององค์รัชทายาทยังมีคนอาศัยอยู่ เจ้าดูเอาว่าจะให้พวกนางย้ายออกไปเพื่อพวกเจ้าจะได้อาศัยในวังองค์รัชทายาท หรือว่าจะทำอย่างไร”
ถาวจวินหลันขมวดคิ้ว ไม่ค่อยยอมรับปัญหายากนี้มาเท่าไรนัก จึงถามไทเฮากลับไปว่า “ไทเฮาว่าอย่างไรเพคะ?”
ฮองเฮาหัวเราะแทรกขึ้นมา “ในเมื่อถามเจ้า ย่อมต้องฟังความเห็นของเจ้า ดูว่าเจ้าคิดอย่างไรเถิด ย้ายบ้านก็ไม่ได้เหนื่อยเท่าไรนัก หากพวกเจ้าอยากเข้าไปอยู่ในวังองค์รัชทายาท ก็ให้หวังซื่อกับคนอื่นย้ายออกมาก็เท่านั้น” ในตอนนี้จะแต่งตั้งองค์รัชทายาทใหม่แล้ว ชื่อเรียกของหวังซื่อและคนอื่นย่อมต้องแก้ไข มิเช่นนั้นถึงเวลาจะแบ่งไม่ชัดเจนมิใช่หรือ?
ถาวจวินหลันมองฮองเฮาอย่างแปลกใจ ในใจคิดว่าฮองเฮานั้นเปลี่ยนไปเร็วมาก นางจึงแสร้งทำครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็เงยหน้าพูดยิ้มๆ ว่า “ที่จริงแล้วถ้าจะให้หม่อมฉันพูดก็ไม่เห็นต้องลำบากเช่นนี้เพคะ วังองค์รัชทายาทเป็นแค่เพียงที่อยู่อาศัยเท่านั้น ไฉนเลยจะต้องคิดถึงกฎเกณฑ์มากมายเช่นนั้นด้วย? พระชายาองค์รัชทายาทฮุ่ยเต๋อและคนอื่นเป็นแม่ม่ายกันทั้งนั้น ไม่จำเป็นต้องย้ายเลยเพคะ อย่างไรอาอู่ก็ยังเล็ก จะย้ายกลับไปกลับมาเกรงว่าเขาคงเป็นคนแรกที่ไม่เคยชิน ไทเฮาว่าอย่างไรเล่าเพคะ?”
ถาวจวินหลันยิ้มแย้มถามไทเฮา สายตากลับกวาดมองหน้าของฮองเฮาอย่างรวดเร็ว อย่างที่คาดเอาไว้ นางเห็นรอยยิ้มพอใจของฮองเฮา ในนั้นสะท้อนความสะใจเอาไว้เล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าฮองเฮากำลังคิดว่านางถอยให้อยู่เป็นแน่
แต่ในความเป็นจริงแล้ว ในใจของถาวจวินหลันกำลังลอบเบะปาก สถานที่อับโชคเช่นนั้น ใครจะไปอยากอยู่กัน? องค์รัชทายาทฮุ่ยเต๋อแม้แต่พิธีแต่งตั้งก็ยังไม่มี อีกทั้งยังตายในวังองค์รัชทายาท พูดตามจริงแล้วนางเองก็รู้สึกหวาดระแวงอยู่เหมือนกัน ต่อให้นางไม่เชื่อเรื่องเหล่านี้ อาศัยอยู่ที่นั้นก็ต้องอยากคลื่นไส้เช่นกัน
อีกทั้งนางไม่อยากให้คนพูดออกไปว่าพวกนางรังแกพระชายาองค์รัชทายาทฮุ่ยเต๋อ อย่างไรตอนนี้พวกนางก็มีชีวิตรุ่งเรือง เมื่อเทียบกับบรรดาแม่ท่ายและเด็กกำพร้าบิดาขององค์รัชทายาทฮุ่ยเต๋อแล้วก็แลดูน่าสงสาร
ถอยให้อย่างเหมาะสม ทั้งทำให้ตนเองสบาย และยังได้รับชื่อเสียงดี มีอะไรไม่ดีบ้างเล่า?
ดวงตาของไทเฮาเป็นประกาย มองถาวจวินหลันอย่างแฝงนัยครู่หนึ่ง แล้วถึงได้กลับมามีท่าทีดังเดิม พูดออกมาช้าๆ ว่า “ในเมื่อเจ้าพูดเช่นนี้ ก็ไม่จำเป็นต้องย้าย ถึงเวลาพวกเจ้าก็เลือกอีกวังอื่นเข้าพักแล้วกัน เจ้าใจกว้างเช่นนี้ สมกับตำแหน่งพระชายาองค์รัชทายาทยิ่งนัก”
“แต่ตำแหน่งการเรียกนี้ คงต้องแก้แล้ว” ไทเฮานิ่งเงียบไปครู่หนึ่งพลางพูดเช่นนี้ออกมา
ถาวจวินหลันไม่ได้พูดอะไร
ฮองเฮากำมือแน่น สุดท้ายแล้วก็ยิ้มพลางพูด “ไทเฮาพระองค์ว่าควรแก้อย่างไรเพคะ?”
“องค์รัชทายาทฮุ่ยเต๋อสิ้นไปแล้ว ตอนนี้จะแต่งตั้งองค์รัชทายาทองค์ใหม่ก็ไม่เหมาะที่จะใช้คำว่าพระชายาองค์รัชทายาทมาเรียกขานกันแล้ว ไม่อย่างนั้นให้ใช้เป็นคำว่าฮูหยินจะดีกว่า หยวนซื่อและคนอื่นก็ใช้เรียกว่าชายารอง” ไทเฮามองไปยังฮองเฮา ใบหน้ามีรอยยิ้ม สายตาเป็นประกาย “ฮองเฮาว่าอย่างไร”
ฮองเฮาย่อมไม่ชอบใจ พูดออกมาอย่างลำบากใจ “ฮูหยิน คำเรียกนี้จะธรรมดาเกินไปหรือไม่เพคะ? แม้แต่ยศก็ไม่มีเลยแม้แต่น้อย”
“ยศศักดิ์ย่อมเป็นยศแต่เดิม และได้รับการปฏิบัติเท่าเดิม เพียงแค่แก้ไขการเรียกเท่านั้นเอง” ไทเฮาพูดขบขัน “คงไม่อาจให้กลับไปเรียกพระชายาคังอ๋องได้กระมัง? อีกอย่างมีเพียงในวังหลวงเท่านั้นที่จะเรียกเช่นนี้ ทำไม ฮองเฮาไม่ชอบใจอย่างนั้นหรือ? คิดว่าข้าละเลยพวกเขาอย่างนั้นหรือ?”
องค์รัชทายาทฮุ่ยเต๋อสวรรคตไปแล้ว ยังนับว่าละเลยได้อีกหรือ? พูดตามจริงแล้ว พวกนางอาศัยอยู่ในวังหลวงต่อได้ก็ถือว่ามีน้ำใจอย่างมากแล้ว แม้แต่ตอนนี้ที่ไทเฮาเอ่ยปากบอกให้พวกนางย้ายออกไป นั่นก็ถือเป็นเรื่องสมเหตุสมผล
ถาวจวินหลันหัวเราะพูดแทรก “ไทเฮาตรัสถูกต้องเพคะ ฮองเฮาพระองค์ว่าอย่างไรเพคะ? อย่างไรก็เพียงชื่อเรียกเท่านั้น หม่อมฉันว่าพี่สะใภ้ใหญ่เป็นคนใจกว้างขวาง ไม่มีทางน้อยใจเป็นแน่เพคะ”
ฮองเฮาจะยังพูดอะไรอีกได้? ย่อมทำได้แค่กัดฟันพยักหน้า “ถ้าเช่นนั้นก็ตามนั้นเถิด” ในตอนนี้ยังไม่รู้ว่าตระกูลหวังจะมีผลออกมาอย่างไร นางเองก็ต้องพยายามรักษาตำแหน่งนี้เอาไว้ ย่อมไม่อาจยะโสโอหังเหมือนแต่ก่อนได้แล้ว
นี่ก็เป็นเหตุผลที่นางลดตัวลงมาในวันนี้
เรื่องนี้จบลงเช่นนี้ ไทเฮาอารมณ์ดี มองไปยังถาวจวินหลันและพูดว่า “ข้าให้โหราจารย์คำนวณเวลามาแล้ว เลือกวันดีให้พวกเจ้าย้ายเข้ามา แต่เรื่องวังก็จะต้องจัดการให้เสร็จเสียก่อน จะได้ให้บรรดานางกำนัลไปปัดกวาด”
ถาวจวินหลันยิ้มรับ
ฉับพลันซวนเอ๋อร์ก็ถามขึ้นว่า “พวกเราจะย้ายเข้ามาอยู่กับเสด็จทวดหรือ?”
ไทเฮายิ้มร่า “ย่อมต้องเป็นเช่นนั้น ซวนเอ๋อร์ดีใจหรือไม่?”
ซวนเอ๋อร์กอดแขนของไทเฮา พยักหน้าแรงๆ “ดีใจ! จะได้เจอเสด็จทวดทุกวัน”
ไทเฮาได้ยินก็พลันยิ้มสดใส
ฮองเฮาจ้องมองมาด้วยสายตาเย็นชาจากด้านข้าง ทั้งรู้สึกขัดใจ ทั้งรู้สึกเหมือนคนนอก อยู่ที่นี่นางจะไม่ใช่คนนอกหรืออย่างไร?
ในขณะเดียวกันฮองเฮาก็มีความอิจฉาเล็กน้อย เมื่อไรอาอู่ถึงจะมาออดอ้อนนางเช่นนี้ได้บ้าง?
แต่วันนี้นางไม่ได้มาประจบใคร เมื่อคิดถึงจุดประสงค์ของตนเอง ฮองเฮาก็ใจกระตุกทันที จากนั้นก็เริ่มสงบสติอารมณ์ลง ไล่อารมณ์ที่ไม่ควรมีเหล่านั้นออกไปให้หมด
ฮองเฮาครุ่นคิดถึงการใช้ถ้อยคำ ก่อนพูดออกมาช้าๆ “ที่จริงแล้วหม่อมฉันคิดว่า ในเมื่อจะแต่งตั้งองค์รัชทายาทแล้ว ก็ควรจดชื่อตวนชินอ๋องไว้ใต้ชื่อหม่อมฉัน เมื่อเป็นเช่นนี้เหตุผลที่แต่งตั้งองค์รัชทายาทก็จะยิ่งสมเหตุสมผลมากขึ้นเพคะ”
พอคำพูดนี้ของฮองเฮาดังออกมา ไทเฮาก็ใช้สายตาเฉียบขาดกวาดมองมาในทันใด แม้แต่ถาวจวินหลันเองก็ยังอดขมวดคิ้วไม่ได้
แต่สุดท้ายไทเฮาก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา เพียงแค่มองไปยังถาวจวินหลัน “เจ้าคิดว่าอย่างไร”
ถาวจวินหลันส่ายหน้าช้าๆ ยิ้มและพูดว่า “หม่อมฉันคิดว่าไม่เหมาะเท่าไรเพคะ ข้อแรกเพราะไม่จำเป็น ข้อที่สองตำแหน่งของเสด็จแม่ก็ไม่ต่ำ ใช่ว่าจะเอาออกไม่ได้เพคะ อีกอย่างความสัมพันธ์แม่ลูกของท่านอ๋องก็ลึกซึ้งเป็นอย่างมาก คิดว่าคงไม่มีทางยินยอมตัดขาดความสัมพันธ์แม่ลูกเป็นแน่เพคะ ที่จริงแล้วจะจดไว้ใต้ชื่อฮองเฮาหรือไม่ สำหรับพวกหม่อมฉันแล้วถือว่าเหมือนกันเพคะ พระองค์เป็นมารดาเอก พวกหม่อมฉันย่อมต้องกตัญญูต่อท่าน จะจดเอาไว้ใต้ชื่อพระองค์หรือไม่ก็ไม่ได้แตกต่างกันเพคะ”
จากใจจริงแล้วนางก็ไม่ค่อยชอบใจเรื่องนี้ หากฮองเฮากลายเป็นมารดาของหลี่เย่อย่างถูกต้อง ต่อจากนี้พวกเขาคิดจะลงมือกับฮองเฮาก็จะยิ่งไม่อาจลงมือได้ ในเมื่ออยากเป็นฮ่องเต้ หลี่เย่จะไม่กตัญญูได้อย่างไร? แม้แต่นาง ต่อจากนี้ไปก็จะต้องถูกฮองเฮาข่มเอาไว้ต่ำกว่า
ดังนั้นไม่อาจรับปากเรื่องนี้ได้ แม้จะบอกว่าใบหน้าของถาวจวินหลันมีรอยยิ้ม แต่น้ำเสียงกลับมุ่งมั่นเป็นอย่างมาก ถือว่าเป็นการแสดงจุดยืนของตนอย่างชัดแจ้ง
ในเมื่อฮองเฮาเอ่ยปาก เช่นนั้นย่อมต้องมีการเตรียมพร้อมมาบ้างแล้ว ฉับพลันนั้นฮองเฮาก็คลี่ยิ้ม “ข้าทำเพราะหวังดีต่อตวนชินอ๋อง จะต้องรู้ว่า บรรดาขุนนางเป็นคนเสนอเรื่องนี้ ข้าเพียงแค่พูดถึงเท่านั้น ส่วนจะทำเช่นไร พวกเจ้าก็ไปปรึกษากันเอาเองเถิด ข้าจะไม่ฝืนบังคับ ข้ารู้นิสัยของตวนชินอ๋อง ย่อมไม่มีทางอกตัญญูต่อข้าแน่”
ฮองเฮาพูดอย่างเปิดเผยและเป็นธรรมชาติ แต่ในคำพูดนั้นแฝงไว้ด้วยความข่มขู่ อีกทั้งยังถอดตัวเองออกมาได้ในทันใด นี่คือความคิดของบรรดาขุนนาง ไม่เกี่ยวข้องกับนาง หากหลี่เย่อยากได้การสนับสนุนจากบรรดาขุนนาง ก็ไม่อาจละเลยเรื่องนี้ได้
ถาวจวินหลันสัมผัสได้ถึงความเจ้าแผนการของฮองเฮา แต่ถาวจวินหลันเองก็ไม่แสดงความอ่อนแอออกมา ใช้คำสอนของไทเอาพูดก็คือ ไม่มีกำลังแข็งแกร่ง นางจะเป็นพระชายาองค์รัชทายาทได้อย่างไร? ดังนั้นถาวจวินหลันจึงเอ่ยปากยิ้มตอบกลับอย่างไม่เกรงใจว่า…