บัลลังก์พญาหงส์ - บทที่ 613
นี่ถึงจะเป็นเรื่องตลกที่สุด ผู้หญิงในเรือนใน มีคนไหนบ้างไม่มีจุดด่างพร้อย? แม้แต่นางเองก็ยังมี ยิ่งไม่ต้องพูดถึงพวกกู่อวี้จือหรือเจียงอวี้เหลียนเลย
ดังนั้นความไม่น่าสงสัยของถาวจือจึงแปลกมาก จนนางอดคิดมากไม่ได้
“กู่ซื่อ เจ้าลองหาข้อผิดพลาดู” ถาวจวินหลันยิ้มแย้มมองไปยังกู่อวี้จือ ในเมื่อต้องการยกกู่อวี้จือขึ้นมาเป็นเหลียงตี้ เช่นนั้นนางย่อมไม่อาจให้กู่อวี้จือเอาตัวรอดเหมือนแต่ก่อนได้ นี่ถือเป็นก้าวแรกเท่านั้น
กู่อวี้จืออึ้งไป คิดไม่ถึงว่าถาวจวินหลันจะพูดชื่อตนเองออกมา นิ่งอึ้งไปครู่หนึ่งจนได้สติกลับมาจึงพูดปฏิเสธทันที “หม่อมฉันจะมีบุญวาสนาอะไร…”
คำพูดข้างหลังนั้นถูกกลืนลงไปหลังจากสบเข้ากับสายตายิ้มๆ ของถาวจวินหลัน นางถึงได้ฉุกคิดในทันใด สถานการณ์ไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว
ถาวจวินหลันไม่เปิดโอกาสให้กู่อวี้จือลังเล จ้องเขม็งไปที่นาง ดังนั้นกู่อวี้จือจึงเอ่ยปากพูดโดยเร็ว แต่คำพูดนั้นบาดคม “แม้ว่าหม่อมฉันจะไม่ใช่คนเก่ง แต่ก็เคยอยู่ในวังหลวงมาก่อน กฎเกณฑ์ก็พอได้เรียนรู้บ้างเล็กน้อย หากหม่อมฉันพูดผิดก็ขอพระชายาองค์รัชทายาทสั่งสอนหม่อมฉันด้วยเพคะ”
กู่อวี้จือพูดอย่างเฉลียวฉลาด แลดูมีความหมายเหมือนจะประสบทั้งสองฝ่ายอยู่ภายในตัว แต่คิดดูแล้วถาวจือที่ถูกหาเรื่องคงไม่สำนึกเท่าไรกระมัง?
กู่อวี้จือก็คิดจะประจบถาวจวินหลันอย่างจริงใจ อีกทั้งยังคิดได้แล้วว่าอย่างไรวันนี้ตนเองก็ต้องทำให้คนอื่นไม่พอใจ ดังนั้นจึงตัดสินใจปล่อยวาง มองหาจุดผิดของอีกฝ่าย
สุดท้ายถาวจือก็เก็บสีหน้าไม่อยู่อีกต่อไป หน้ากระตุกไปเล็กน้อย อีกทั้งยังอยู่ต่อหน้าผู้คนมากมาย ต้องรู้สึกอับอายอยู่บ้าง “กลับไปหม่อมฉันคงต้องฝึกให้มากกว่าเดิมแล้วเพคะ”
กู่อวี้จือรีบพูดว่า “ข้าก็เพียงพูดเท่านั้น กฎเกณฑ์เรื่องการกระทำต่างๆ ข้าเองก็ต้องไปฝึกให้มากเช่นกัน”
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ทุกคนจะต้องเรียนกฎเกณฑ์มารยาทเป็นเวลาครึ่งชั่วยามทุกวัน” ถาวจวินหลันเก็บท่าทีมีเมตตา พูดอย่างเคร่งขรึม “พวกเราไม่อาจให้องค์รัชทายาทเสียหน้า” หน้าหลังนั้นองค์รัชทายาททั้งหมดสองพระองค์ แม้ว่าองค์รัชทายาทฮุ่ยเต๋อจะสวรรคตไปแล้ว แต่ก็ยังมีการเปรียบเทียบกัน ไม่เพียงระหว่างหลี่เย่และองค์รัชทายาทฮุ่ยเต๋อ บรรดาภรรยาก็เช่นกัน
แต่สำหรับคนอื่นนั้นคิดว่านางกำลังหาข้ออ้างมาสร้างอำนาจ หรือคิดว่านางทำเพื่อภาพลักษณ์ที่ดีของตนเอง นั่นก็ไม่อาจรู้ได้
ถาวจวินหลันพูดเตือนอีกเล็กน้อย “พวกเจ้าไปเก็บชุดฤดูหนาวเอาไว้ให้พร้อมก่อน ถึงเวลาจะได้ยกไปได้เลย แม้จะบอกว่ายังมีเวลาอีกเดือนหนึ่ง แต่เวลานั้นพอใช้ที่ไหน? อย่ามัวแต่ขี้เกียจ แล้วมาร้อนรนเอาทีหลัง”
ทุกคนรับคำ จากนั้นก็พากันถอยไป
กลับเป็นจิ้งหลิงที่พูดเย้าหยอกขึ้นมา “หม่อมฉันอยากขอร่วมโต๊ะอาหารกับพระชายาองค์รัชทายาทเพคะ ออกมาตั้งแต่เช้า ตอนนี้หิวจนเดินไม่ไหวแล้วเพคะ”
พวกนางมีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน ถาวจวินหลันย่อมรับคำอย่างยินดี “พูดน่าสงสารเสียขนาดนี้ รีบนั่งเสียเถิด ข้าเพิ่งกินได้สองคำก็ต้องวางเสียแล้ว หิวเหลือเกิน”
พอกินของร้องท้องเรียบร้อยแล้ว ถาวจวินหลันถึงได้พูดขึ้นมาว่า “วันนี้ใครเป็นคนนำมาทำความเคารพข้า?”
จิ้งหลิงไม่ปิดบังถาวจวินหลัน ตอบออกมาตรงๆ “จะเป็นใครได้เพคะ ก็ต้องเป็นกู่อวี้จือ เมื่อคืนนี้ส่งคนมาถามหม่อมฉัน กระตือรือร้นเสียยิ่งกว่าอะไร”
จิ้งหลิงดูแคลนท่าทีของกู่อวี้จือ “ปกติแล้วไม่เห็นเอาใจใส่เช่นนี้เลย หม่อมฉันคิดดูแล้วนางก็เพียงต้องการเลื่อนฐานะเท่านั้นเพคะ ตอนนี้คงคิดพลิกแพลงไปหลายตลบแล้ว”
ถาวจินหลันหัวเราะเบาๆ กลืนหมั่นโถวพุทราบดลงคอคำหนึ่ง แล้วถึงพูดว่า “นางจะคิดก็ไม่น่าแปลก แต่ตัวเจ้าเองเถิด ไม่คิดเลยอย่างนั้นหรือ? พวกเราก็รู้จักกันมาหลายปีแล้ว เจ้าไม่จำเป็นต้องปิดบังข้า พูดความจริงเถิด”
หมั่นโถวพุทราบดมีขนาดแค่เพียงนิ้วมือเท่านั้น กำลังเหมาะกินในหนึ่งคำ ไส้ในพุทราบดยังมีถั่วแดงผสมอยู่ด้วย หอมหวานถูกปากจนหยุดทานไม่ได้ พอพูดจบถาวจวินหลันก็กินอีกสองสามคำอย่างทนไม่ไหว
จิ้งหลิงกลับถือตะเกียบค้างเหม่อลอย ผ่านไปครู่ใหญ่ถึงได้หัวเราะออกมา “ต้องคิดอยู่แล้วเพคะ แต่พอมาคิดดูให้ดี ก็ไม่มีอะไรต้องเก็บมาคิดมาก หม่อมฉันไม่มีครอบครัวต้องดูแล หม่อมฉันคงไม่น้อยใจเพียงเพราะฐานะต่ำต้อย และไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้น เหตุใดต้องคิดมากเช่นนั้นด้วยเพคะ? หม่อมฉันมีกั่วเจี๋ยเอ๋อร์ เท่านี้ก็พอใจแล้วเพคะ”
ถาวจวินหลันตกอยู่ในภวังค์ แล้วถึงได้ถอนหายใจกล่าว “ครั้งนี้ก็แล้วไป ปล่อยให้กู่อวี้จือวิ่งเต้นไปก่อนช่วงหนึ่งเถิด ข้ายังต้องใช้ประโยชน์จากนาง หากข้าตัดสินใจเองได้ และให้ตำแหน่งพอมีหน้ามีตากับเจ้า ถึงตอนนั้นก็จดชื่อกั่วเจี๋ยเอ๋อร์ไว้ใต้ชื่อของเจ้า ให้เจ้าเป็นมารดาที่ถูกต้องของนาง ดีหรือไม่?”
นางไม่ยินยอมให้จิ้งหลิงห่างเหินจากนางเพราะเหตุนี้เป็นแน่ พูดตามจริงแล้ว บางทีตอนแรกที่ลากจิ้งหลิงเข้ามาก็เพราะผลประโยชน์ แต่หลังจากสานสัมพันธ์กันมาหลายปี นางกับจิ้งหลิงก็เกิดความสัมพันธ์ฉันพี่น้องขึ้นมาจริง พอมองดูแล้วทั่วทั้งจวนนั้นก็มีเพียงจิ้งหลิงที่นางพูดคุยหยอกล้อและอยู่ร่วมกันได้ คนอื่นคงไม่ต้องพูดถึงหรอกกระมัง
เพราะว่าใส่ใจ ดังนั้นถึงได้อธิบายเรื่องนี้อย่างจริงจัง
จิ้งหลิงมองถาวจวินหลันอย่างตื่นตกใจ ฉับพลันในใจก็แผ่ซ่านไปด้วยความซาบซึ้ง จึงยิ้มน้อยๆ เอ่ย “หม่อมฉันเชื่อว่าท่านไม่มีทางทอดทิ้งหม่อมฉัน หม่อมฉันแบ่งแยกคนจริงใจได้อย่างชัดเจน อีกอย่าง ชาติกำเนิดของหม่อมฉันก็ไม่สูง เรื่องนี้เป็นเรื่องช่วยไม่ได้เพคะ”
เห็นจิ้งหลิงเปิดเผยเช่นนี้ ถาวจวินหลันก็ลอบถอนหายใจ ในขณะเดียวกันในใจก็รู้สึกไม่ดี แต่เดิมนางอยากจะสู้เพื่อหาสิ่งที่ดีให้กับจิ้งหลิง แต่สุดท้ายแล้วนางก็ยังคำนึงถึงผลประโยชน์โดยรวม จึงไม่ได้ทำเรื่องเช่นนี้
“พูดไปแล้ว ถึงเวลาเข้าวังหลวงเจ้าก็เลือกเรือนหลังที่สงบเสียหน่อย หรือว่าจะเลือกที่ใกล้กับข้าดีหรือไม่เล่า?” ถาวจวินหลันวางตะเกียบลง เรียกให้คนเอาแผนที่วังตวนเปิ่นเข้ามาอย่างตื่นเต้นดีใจ ชี้ให้จิ้งหลิงดู ให้นางเลือกห้อง
พูดตามจริงแล้วเข้าไปอยู่ในวังหลวงก็ไม่ได้มีอะไรดีขนาดนั้น ก่อนอื่นเลยที่ทางคับแคบลงกว่าเดิม ไม่อาจสบายเท่ากับพักนอกวังหลวงได้ ถึงเวลานั้นเกรงว่าเพราะพักอยู่ใกล้กัน ทุกคนอยู่ใต้หลังคาเดียวกัน ไม่แน่ว่าอาจจะขัดแย้งอะไรขึ้นมาก็ได้
แต่นั่นก็เป็นเรื่องที่ไม่มีทางเลือก สิ่งเดียวที่ถาวจวินหลันพอช่วยได้ ก็คือให้จิ้งหลิงเลือกห้องก่อนเท่านั้น
จิ้งหลิงครุ่นคิด พลางชี้เรือนที่อยู่ข้างเรือนหลักหลังหนึ่ง “ให้กั่วเจี๋ยเอ๋อร์ได้พบองค์รัชทายาทบ่อยๆ สำหรับกั่วเจี๋ยเอ๋อร์เองก็ถือว่าเป็นเรื่องดีเพคะ อีกอย่างจะได้ไม่ต้องให้พวกนางมากวนใจพระองค์ด้วยเพคะ”
เห็นได้ชัดว่าประโยคสุดท้ายแฝงไว้ด้วยความหยอกล้อ
ถาวจวินหลันอดหัวเราะไม่ได้ “ที่จริงแล้วข้าก็คิดเช่นนี้ หากให้คนอื่นอาศัยอยู่ที่นั่น ถึงเวลานั้นข้าคงต้องรำคาญไม่สิ้นสุด” เจียงอวี้เหลียนชอบก่อปัญหา กู่อวี้จือก็เจ้าแผนการ ถาวจือยิ่งไม่ต้องพูดถึง ดังนั้นมีเพียงจิ้งหลิงเหมาะสมที่สุด
จิ้งหลิงคิดตาม สุดท้ายก็อดหัวเราะไม่ออก เอ่ยปากลองเชิงถาวจวินหลัน “ไทเฮาจะคิดว่าคนที่ปรนนิบัติองค์รัชทายาทน้อยเกินไปหรือไม่เพคะ?”
ถาวจวินหลันมองจิ้งหลิงทีหนึ่ง เข้าใจดีว่าจิ้งหลิงพูดโดยไม่ได้คิดอะไร เพียงแค่ถามเพราะเป็นห่วงนางเท่านั้น จึงส่ายหัวพูดว่า “ไม่พอใจแน่นอน แต่ข้าก็ไม่ยอม องค์รัชทายาทเองก็ปฏิเสธอยู่ตลอด ดังนั้นไทเฮาจึงไม่มีทางเลือก และเพราะว่าบรรดานายหญิงในจวนน้อยเกินไป ข้าจึงไม่กล้าไปขยับโยกย้ายคนที่เหลือเลยสักคน”
นี่เป็นความจริง และถือเป็นเรื่องจนปัญญา “ไม่อย่างนั้นเจ้าว่าทำไมข้าต้องมีเมตตากับพวกนางด้วย? เพราะว่าข้ารู้ดีกว่าใคร ตอนนี้ถือว่าถึงขีดจำกัดแล้ว ไม่มีพวกนางก็ต้องมีคนอื่นมาแทน ดังนั้นไม่สู้รั้งพวกนางเอาไว้ ก็ถือว่าใช้ทุกอย่างให้เกิดประโยชน์”
จิ้งหลิงมองถาวจวินหลันอย่างตื่นตะลึง ผ่านไปครู่หนึ่งถึงได้สติกลับมา “พระองค์ช่างกล้านัก อีกทั้งยังโชคดีมาก ถ้าไม่ใช่เพราะเรื่องมากมายในตอนนี้ ไทเฮาไม่มีเวลามาสนใจรายละเอียดเหล่านี้ ไฉนเลยจะเป็นเช่นนี้ได้เพคะ?”
จิ้งหลิงอยู่ในวังหลวงมาหลายปี ย่อมเข้าใจสิ่งเหล่านี้เป็นอย่างดี อีกทั้งนางยังมีสิ่งที่ไม่ได้พูด ที่จริงแล้วถาวจวินหลันทำเช่นนี้ก็ไม่มีประโยชน์ เพราะตอนนี้แม้จะไม่เพิ่มคน แต่หลังจากเป็นฮ่องเต้เล่า? กฎคัดเลือกหญิงสาวสามปีครั้งก็ไม่รู้ว่าจะมีคนมากมายเท่าไรที่เพิ่มเข้ามาในวังหลวง แม้แต่ทำเพราะผลประโยชน์และความสมดุล ต่อจากนี้ไปก็ต้องมีคนเพิ่มเข้ามา
แต่คำพูดนี้พูดออกไปแล้วก็อารมณ์เสียเปล่าๆ ดังนั้นจิ้งหลิงจึงไม่ได้พูดจี้จุด เพียงแค่ลอบถอนหายใจเท่านั้น
ถาวจวินหลันกลับไม่คิดไกลขนาดจิ้งหลิง ยิ้มสดใสพลางพูดเล็กน้อย ก่อนเข้าประเด็นสำคัญ “หลังจากเข้าวังหลวงไปแล้วข้าคงจะต้องรวบรวมความคิดและสมาธิไปไว้ที่ฮองเฮาและไทเฮา ถึงเวลานั้น คิดว่าคงดูแลเรือนในได้ไม่ครบถ้วน เจ้าจะต้องช่วยข้าจับตาดูให้ดี อย่าปล่อยให้ข้างมโข่งเป็นคนไม่รู้เรื่องรู้ราว”
คำพูดนี้มาจากใจจริง และจริงจัง
จิ้งหลิงซาบซึ้งความเชื่อมั่นที่ถาวจวินหลันมีต่อนาง จึงตอบตกลงทันควัน “หม่อมฉันจะพยายามเท่าที่ทำได้เพคะ แต่ก็ไม่กล้ารับปากมากนักนะเพคะ”
ถาวจวินหลันหัวเราะทันที “เจ้าก็ไม่ต้องจับตาด้วยตนเอง เพียงใส่ใจแทนข้าหน่อยเท่านั้นเอง”
พวกถาวจวินหลันกำลังพูดเรื่อยเปื่อยกับจิ้งหลิง ทางฮ่องเต้ก็กำลังปรึกษาธุระกับหลี่เย่
ฮ่องเต้ยังมีท่าทีไม่ค่อยดีนัก เห็นได้ชัดว่ายังอารมณ์เสียจากเรื่องถูกบีบบังคับแต่งตั้งองค์รัชทายาท ในคำพูดนั้นยังแฝงไว้ด้วยความเย้ยหยัน “แม้ข้าไม่รู้ว่าทำไมฮองเฮาถึงสนับสนุนเจ้า แต่ความผิดของตระกูลหวังครั้งนี้ใหญ่โตมากเกินไป เจ้าอย่าคิดจะทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้หรือคิดปกป้องเสียเลย”
หลี่เย่พูดอย่างเปิดเผย “เสด็จพ่อก็ทราบความคิดที่ลูกมีต่อตระกูลหวัง ลูกจะปกป้องพวกเขาได้อย่างไร? ถ้าจะให้ลูกพูด ครั้งนี้เสด็จพ่อควรต้องลงโทษให้หนักพ่ะย่ะค่ะ”
หากสามารถใช้โอกาสนี้กดหัวตระกูลหวังให้จมดิน และไม่มีโอกาสพลิกตัวอีก นั่นถึงจะเป็นเรื่องดี
แต่สิ่งเหล่านี้ก็ทำได้เพียงคิดในใจเท่านั้น หลี่เย่ไม่อาจพูดออกจากปากได้
ฮ่องเต้มองไปยังหลี่เย่แวบหนึ่ง พูดออกมาช้าๆ ว่า “ถ้าเช่นนั้นเจ้าคิดว่า ครั้งนี้ควรลงโทษตระกูลหวังอย่างไร?”
ฮ่องเต้กำลังกดดันให้หลี่เย่ลำบากใจ หากหลี่เย่บอกบทลงโทษโหดร้ายเกินไป ก็คงถูกสั่งสอนว่าไร้เมตตา หากพูดเบาเกินไป สิ่งที่รอหลี่เย่ก็คือการสั่งสอนต่อว่าเช่นเดียวกัน
ฮ่องเต้จงใจถามเช่นนี้ ย่อมคิดตัดสินใจอยู่นานแล้ว เขาอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา คิดว่าการกระทำนี้แลดูน่าสนใจจริงๆ