บัลลังก์พญาหงส์ - บทที่ 616 โดยตรง
เพราะจะยกให้กู่อวี้จือเป็นเหลียงตี้ ดังนั้นวันรุ่งขึ้นตอนที่ถาวจวินหลันไปทำความเคารพไทเฮาและฮองเฮา จึงพากู่อวี้จือไปด้วย
จากการกระทำของนาง กู่อวี้จือย่อมต้องพอคาดเดาอะไรได้บ้าง จึงทั้งดีใจและตื่นเต้นเป็นอย่างมาก แม้แต่ท่าทางก็ดูต่างไปจากปกติ
ถาวจวินหลันเบนตามองกู่อวี้จือทีหนึ่ง จากนั้นก็เอ่ยเตือนออกมาเบาๆ “เพียงแค่ทำความเคารพเท่านั้น เจ้าต้องสำรวมท่าทีด้วย อย่าให้คนอื่นเห็นเป็นตัวตลก”
กู่อวี้จือถูกเตือนเช่นนี้ ก็รีบวางท่าจริงจังโดยพลัน ยิ้มพลางทำความเคารพ “เพคะพระชายา”
ถาวจวินหลันพยักหน้า ลุกขึ้นกวักมือเรียกซวนเอ๋อร์ให้มาหาตน “พวกเราไปทำความเคารพเสด็จทวดดีหรือไม่?” มีแค่เพียงเวลาซวนเอ๋อร์ไปหา ไทเฮาถึงจะอารมณ์ดีขึ้นมาบ้าง ดังนั้นหลี่เย่จึงให้นางพาซวนเอ๋อร์ไปบ่อยๆ
แน่นอนว่าซวนเอ๋อร์เองก็ชอบไป ใครให้ไทเฮาตามใจเขาที่สุดเล่า? ไม่ว่าอยากได้อะไรไทเฮาก็ไม่เคยทำให้ซวนเอ๋อร์ต้องน้อยใจ ต่อให้ซวนเอ๋อร์ซุกซนก็หัวเราะมีความสุข
ไทเฮาเดาได้ทันทีว่ากู่อวี้จือคือใคร หรี่ตามองพิจารณาอยู่ครู่หนึ่ง ถึงพูดว่า “นี่คือกู่ซื่อหรือ?”
กู่อวี้จือรีบก้าวไปทำความเคารพไทเฮา “หม่อมฉันกู่อวี้จือทำความเคารพไทเฮาเพคะ ขอให้ไทเฮาทรงมีพระชนมพรรษายิ่งยืนนานเพคะ”
ไทเฮายิ้มพูด “ดี” แต่คำว่าดีกลับไม่ได้ชี้ว่าหมายความถึงด้านไหน แต่กู่อวี้จือก็ยังซาบซึ้งเป็นอย่างมาก
จากนั้นไทเฮาก็ให้นั่งลง พลางพูดอีกเล็กน้อย “พวกเจ้ายังไม่ไปหาฮองเฮาใช่หรือไม่? ไปเถิด ให้ซวนเอ๋อร์อยู่กับข้าที่นี่ก่อนเถิด อีกเดี๋ยวข้าจะให้คนไปส่ง”
ถาวจวินหลันจึงลุกขึ้นทูลลา เห็นชัดว่าไทเฮาไม่ได้มีความคิดอื่นต่อกู่อวี้จือ นอกจากถามสองคำแล้ว ก็ไม่ได้พูดคุยกับกู่อวี้จืออีก
กู่อวี้จือแอบผิดหวังเล็กน้อย ก้มหน้าเดินไปตลอดทาง ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่กันแน่
ถาวจวินหลันมองดู ก็ลอบยิ้มเงียบๆ ทางที่ดีกู่อวี้จือจะต้องเข้าใจเสียบ้าง รู้จุดยืนของตนเอง มิเช่นนั้นแล้วต่อจากนี้ไปจะมีแต่ความลำบาก ตำแหน่งเหลียงตี้นั้นไม่อาจบ่งบอกถึงอะไรได้
หากกู่อวี้จือหวังสูงเพียงเพราะฐานะของตนเอง นางก็ไม่เกรงใจที่จะช่วย ‘เตือนสติ’ กู่อวี้จือ ให้นางเห็นความจริงอย่างชัดเจน
เมื่อมาถึงวังของฮองเฮา พระชายาองค์รัชทายาทองค์ก่อนหรือว่าหวังฮูหยินในตอนนี้ก็อยู่ด้วย
ถาวจวินหลันก้าวไปทำความเคารพฮองเฮาอย่างเปิดเผย แต่สำหรับหวังฮูหยินก็เพียงแค่ยิ้มให้เท่านั้น “พี่สะใภ้ใหญ่ก็มาทำความเคารพฮองเฮาเหนียงเหนียงหรือ?”
หวังฮูหยินทำเหมือนไม่เห็นท่าทางทำความเคารพที่ต่างไปของถาวจวินหลัน แน่นอนว่ายิ่งไม่คิดจะทำความเคารพถาวจวินหลัน แต่วางท่าแสดงความสัมพันธ์เหมือนพี่สะใภ้ น้องสะใภ้เฉกเช่นคนธรรมดาทั่วไป “น้องสะใภ้ก็มาทำความเคารพเสด็จแม่หรือ? แต่ทำไมยังเรียกฮองเฮาเหนียงเหนียงอีกเล่า ไม่เรียกว่าเสด็จแม่หรือ? ฟังแล้วช่างห่างเหินนัก”
ถาวจวินหลันกับหลี่เย่ไม่ยินยอม ดังนั้นจึงไม่ได้เปลี่ยนคำเรียก เมื่อวานนี้ที่มาพร้อมกับหลี่เย่ ฮองเฮาก็ไม่ได้ติดใจเอาความเรื่องนี้ แต่คิดไม่ถึงว่าหวังฮูหยินจะพูดขึ้นมา
ถาวจวินหลันหัวเราะกล่าว “เรียกฮองเฮาเหนียงเหนียงเหมือนเดิมเถิด ถือเป็นการให้ความเคารพยำเกรงพระองค์”
ฮองเฮาเองก็พูดขึ้นว่า น้ำเสียงแฝงไว้ด้วยความขบขัน “แปลกแยกนัก เป็นครอบครัวเดียวกันทั้งนั้น เหตุใดต้องมีพิธีถึงเพียงนี้”
เห็นชัดว่าฮองเฮาอยากให้ถาวจวินหลันเปลี่ยนคำเรียก
แต่ถาวจวินหลันเพียงแค่ยิ้มตอบ “ในเมื่อเป็นครอบครัวเดียวกัน ไฉนแค่คำพูดก็ตัดสินว่าห่างเหินแล้วเพคะ? ไม่ว่าจะเรียกอะไร ก็เป็นแค่คำเรียกขานเท่านั้น เหตุใดต้องติดใจเอาความด้วยเพคะ? ใช่เหตุผลตามนี้หรือไม่เพคะ?”
กู่อวี้จือถือว่าช่างสังเกตอยู่บ้าง เห็นว่าบรรยากาศเริ่มตึงเครียด นางจึงยืนข้างถาวจวินหลันอย่างไม่ลังเล “เป็นเช่นนั้นเพคะ ต่างก็เป็นครอบครัวเดียวกัน ไม่ว่าจะเรียกอะไรก็เหมือนกันเพคะ”
ถาวจวินหลันมองกู่อวี้จือเป็นเชิงชื่นชมทีหนึ่ง คิดได้เช่นนี้แปลว่ากู่อวี้จือไม่โง่ อย่างน้อยยกนางมาเป็นเหลียงตี้ก็ไม่ใช่เรื่องน่าเสียดาย
กู่อวี้จือเห็นว่าทุกคนมองนาง ก็ก้มหน้าลงอย่างรู้สึกขลาดกลัว แน่นอนว่าคงไม่ใช่เพราะรู้สึกขลาดกลัว นางพูดเช่นนี้ได้ ก็หมายความว่านางไม่ได้ขี้ขลาดเลยแม้แต่น้อย
พอถูกกู่อวี้จือปัดเรื่องออกไปเช่นนี้ ฮองเฮากับหวังฮูหยินย่อมไม่อาจฝืนบังคับให้ถาวจวินหลันแก้คำพูดได้อีก
ฮองเฮามองกู่อวี้จือนิ่งๆ ทีหนึ่ง “พูดไปแล้ว เมื่อครู่นี้ข้าได้ยินไม่ชัด เจ้าพาใครมานะ”
ใบหน้าของฮองเฮามีรอยยิ้มนิ่งๆ แต่ดวงตากลับเย็นชา
ไม่รอให้กู้อวี้จือเปิดปาก ถาวจวินหลันก็ยิ้มพลางพูดขึ้นมาก่อนว่า “นี่่คือกู่ซื่อจากวังของหม่อมฉันเพคะ หม่อมฉันกับไทเฮาปรึกษากันแล้ว จะแต่งตั้งนางเป็นเหลียงตี้เพคะ”
“ข้าพอจำได้รางๆ ในวังของพวกเจ้ามีเพียงเจ้าและเจียงซื่อที่มีลูกใช่หรือไม่? เช่นนั้นกู่ซื่อไม่เคยมีลูกมาก่อน ในเมื่อเป็นเช่นนี้นางจะเทียบกับเจียงซื่อได้อย่างไร?” ฮองเฮาถามยิ้มๆ แต่ก็ถามถูกจุดพอดี
ก่อนหน้านี้กู่อวี้จือยังลอบยินดีเพราะคำพูดของถาวจวินหลัน แต่คำพูดของฮองเฮานั้นทำให้นางหดหู่โดยพลัน จึงลอบมองถาวจวินหลันอย่างกังวล
ถาวจวินหลันยังยิ้มแย้มเหมือนเดิม แต่ก็ไม่ได้แสดงท่าทียอมแพ้แม้แต่น้อย แทบจะพูดอย่างหนักแน่น “กู่ซื่อสง่างาม มีผลงานปรนนิบัติองค์รัชทายาท ย่อมต้องมีคุณสมบัติเพคะ อย่างไรไทเฮากับองค์รัชทายาทก็ไม่ได้มีความเห็นอะไร นั่นก็หมายความว่าตัวกู่ซื่อเองย่อมต้องรับตำแหน่งนี้ได้เพคะ”
ความหมายของคำพูดนี้เป็นการเตือนฮองเฮาว่า ‘ในเมื่อทุกคนไม่แย้ง ทางที่ดีสุดพระองค์ก็ควรเงียบปากไป’
อีกทั้งถาวจวินหลันก็เปลี่ยนเรื่องพูดอีกครั้ง “พูดไปแล้ว ข้ามีเรื่องต้องปรึกษาพี่สะใภ้ใหญ่เสียหน่อย”
หวังฮูหยินเลิกคิ้วน้อยๆ “อย่างนั้นหรือ? น้องสะใภ้อยากปรึกษาเรื่องอะไรอย่างนั้นหรือ? ขอแค่ทำได้ ข้าย่อมรับปาก” รอยยิ้มบนใบหน้าของหวังฮูหยินนั้นงดงาม แต่กลับสะท้อนความไม่แยแสและความจำใจ จนใครได้เห็นย่อมรู้สึกสงสาร
แต่ภายในห้องก็มีกันอยู่เท่านี้ จะมาแสดงให้ใครดูกัน? ถาวจวินหลันไม่ใส่ใจท่าทีของหวังฮูหยิน นางเพียงแค่ยิ้มพูดอธิบายเรื่องที่ตนเองต้องการปรึกษากับหวังฮูหยิน “เมื่อวานนี้มีนางกำนัลคนหนึ่งพูดเตือนสติข้า ข้ามาครุ่นคิดดูแล้ว พวกเราแม้จะอาศัยอยู่ในตำหนักตวนเปิ่น แต่พวกพี่สะใภ้ใหญ่อาศัยอยู่ที่วังบูรพาต่อไปคงจะไม่เหมาะสมกระมัง? คนอื่นเห็นเข้าคงจะพูดติฉินพี่สะใภ้ใหญ่ คิดว่าไม่เหมาะกับกฎเกณฑ์มารยาท”
ถาวจวินหลันเอาเรื่องยากที่จะเอ่ยปากออกมาพูดอย่างเปิดเผยเป็นธรรมชาติ แน่นอนว่าแต่เดิมนี่ก็เป็นเรื่องที่ควรจะเปิดเผย อย่างไรคนที่เสียหายก็ไม่ใช่พวกนาง
ฮองเฮากับหวังฮูหยินกลับไม่เห็นว่าเรื่องนี้สมควรพูดออกมา
ฮองเฮาไม่ได้พูดอะไร หวังฮูหยินตาแดงก่ำ พูดเสียงแผ่วเบา “น้องสะใภ้พูดถูก อีกครู่หนึ่งข้าจะพาคนอื่นย้ายออกไป”
ถาวจวินหลันมองหวังฮูหยินที่ทำท่าน้อยใจ ก็ยกริมฝีปากขึ้นมา เย้ยหยันในใจ ตอนนี้หวังฮูหยินไม่ได้แข็งกร้าวเหมือนตอนเป็นพระชายาองค์รัชทายาทอีกแล้ว แต่กลับเลือกเดินทางสายน่าเวทนา ใช่แล้ว เป็นคนที่ยังไม่ตาย หวังฮูหยินดูน่าสงสารยิ่งนัก
“ที่จริงย้ายออกไปก็ดี วังบูรพานั้นเจอลมฝนมานานหลายปี ขนาดก็ไม่ได้ถือว่าใหญ่อะไร เพียงแค่ตำแหน่งที่ตั้งดีเท่านั้น ตอนนี้ย้ายออกไป ฮองเฮาเหนียงเหนียงชี้แนะวังงดีๆ ให้อยู่อาศัย ย่อมดีกว่าเป็นแน่” ถาวจวินหลันยิ้มแย้ม จงใจพูดออกมาอย่างกระตือรือร้น
ฮองเฮาก็ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่ กลับรับปากเรื่องนี้อย่างง่ายดาย
ถาวจวินหลันเองก็ไม่สนว่าฮองเฮามีความคิดไม่ดีหรือไม่ หลังจากนั้นสักพัก ก็ลุกขึ้นทูลลา
ออกมาจากวังฮองเฮา ไม่รู้กู่อวี้จือคิดอะไร จู่ๆ ก็พูดออกมาว่า “ตอนนี้ทุกคนล้วนคิดว่าพระชายาองค์รัชทายาทน่าสงสาร ให้นางย้ายออกไปเช่นนี้ เกรงว่านางกำนัลคงเอาไปพูดนินทาเป็นแน่เพคะ”
ถาวจวินหลันหัวเราะเสียงเย็น “ในเมื่อเป็นที่ของพวกเรา แม้พวกเราจะไม่อยู่อาศัยเอง แต่ก็ไม่มีเหตุให้นางอาศัย วังบูรพาหมายถึงอะไรไม่ต้องพูดก็รู้กันดี หากนางมีกาลเทศะมาพอก็ควรพูดนานแล้ว ข้าอยากดูนัก ว่าใครจะกล้าพูดอะไรอีก? รอจนพวกนางย้ายออกไปแล้ว ก็แบ่งคนของพวกเราไปช่วยสักหน่อย อีกอย่างหลังจากกลับมาแล้วข้าจะเลือกของบางอย่าง เจ้าไปส่งแทนข้า จะต้องทำให้ยิ่งใหญ่”
กู่อวี้จือเข้าใจความหมายของถาวจวินหลันในทันใด ไปส่งของอย่างใหญ่โต เพื่อแสดงว่าทางด้านองค์รัชทายาทยังคงเคารพสมาชิกที่เหลืออยู่ขององค์รัชทายาทฮุ่ยเต๋อเป็นอย่างมาก เมื่อเป็นเช่นนี้ข่าวลือภายในวังย่อมน้อยลงมาก
ถาวจวินหลันตัดสินใจลงมือในครั้งนี้ได้ดีทีเดียว
กู่อวี้จือยิ่งมั่นใจที่จะติดตามถาวจวินหลันเป็นแม่นมั่น “ขอแค่พระชายาสั่งข้าน้อย ข้าน้อยจะต้องพยายามให้ดีที่สุดเพคะ ไม่มีทางทำให้พระชายาผิดหวังเป็นแน่เพคะ”
ถาวจวินหลันอมยิ้มเอียงหน้ามองกู่อวี้จือ พูดว่า “เจ้าคิดเช่นนี้ก็ดีแล้ว ต่อจากนี้เป็นเหลียงตี้ไม่อาจทำตัวเหมือนแต่ก่อนได้อีก ถาวจือกับเจ้าอยู่ด้วยกัน ข้าก็วางใจนัก เจ้าดูแลนาง ชี้แนะนางให้ดี เข้าใจหรือไม่?”
กู่อวี้จือพอคาดเดาความคิดของถาวจวินหลันได้ จึงรีบตอบรับว่า “เข้าใจแล้วเพคะ”
ถาวจวินหลันพยักหน้าพอใจ “คิดเช่นนี้ก็ดีแล้ว” เมื่อครู่นี้กู่อวี้จือแทนตัวเองว่าข้าน้อย จงใจแสดงถึงความซื่อสัตย์ จำต้องพูดเลยว่า กู่อวี้จือถือเป็นคนที่มีแววตา แต่นิสัยลู่ไปตามลม คิดแต่จะหาผลประโยชน์เข้าตนเอง ทำให้นางไม่ชอบใจ
“ขอแค่เจ้ายอมช่วยข้าดีๆ ย่อมต้องได้ผลประโยชน์เป็นแน่” เพื่อให้กู่อวี้จือไม่หลงคิดผิด ถาวจวินหลันจึงพูดจี้จุดตรงๆ “เจ้าอย่าได้คิดใฝ่สูง ภายในวังตวนเปิ่นไม่มีใครข้ามหน้าข้าไปได้ แม้แต่ในวังหลวงก็มีเพียงไทเฮาเท่านั้น ต่อให้เป็นฮองเฮาก็ไม่มีทางทำได้เช่นกัน”
นอกจากกู่อวี้จือสามารถพูดให้ไทเฮาเป็นที่พึ่งให้นางได้ เช่นนั้นก็อย่าคิดหลุดจากเงื้อมมือของนาง
กู่อวี้จือพูดอย่างกล้าๆ กลัวๆ “พระชายาโปรดวางใจเพคะ!”
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา กู่อวี้จือก็นิ่งสงบไปมาก รู้ว่าตนเองควรทำอะไร ยิ่งทำให้ถาวจวินหลันพอใจ
หลังจากนั้นสองสามวัน ด้วยการกระทำอลังการของหวังซื่อ ก็ทำให้ภายในวังหลวงพูดคุยไปทั่ว แน่นอนว่าคนส่วนใหญ่ล้วนสงสารหวังซื่อ คิดว่าถาวจวินหลันใจร้ายเกินไป
ถาวจวินหลันไม่ได้อธิบายอะไร ออกแนวไม่ใส่ใจเสียด้วยซ้ำ ทำให้คนในจวนตวนเปิ่นไม่สนใจเรื่องนี้เช่นกัน เรื่องเช่นนี้ยิ่งสนใจ ยิ่งอธิบายก็ยิ่งสกปรก ทั้งยังเลวร้ายกว่าเดิม