บัลลังก์พญาหงส์ - บทที่ 622 แก้ปัญหาเฉพาะหน้า ไม่คำนึงผลที่ตามมา
สำหรับข้อสงสัยของถาวจวินหลัน หลี่เย่เพียงแค่ใช้คำพูดรวบรัดได้ใจความอธิบาย “ก็เหมือนกับตะเกียงน้ำมัน ใช้ไส้ตะเกียงเส้นบางย่อมต้องเผานาน หากใช้ไส้ตะเกียงเส้นใหญ่ก็จะยิ่งสว่างไสว แต่ก็เผาเร็วขึ้นเช่นกัน”
ถาวจวินหลันตื่นตกใจ ผ่านไปครู่ใหญ่ถึงพูดพึมพำออกมา “ถ้าเช่นนั้น…” คำพูดที่เหลือนั้นเสียมารยาทมากเกินไป นางไม่กล้าพูดออกมา
แต่หลี่เย่รู้ว่านางคิดจะพูดอะไร จึงพยักหน้า พูดอย่างมั่นใจ “เป็นเช่นนั้น ดังนั้น ในเมื่อเขากลัว ข้าก็จะไม่ไปแย่งชิง ให้เขาได้สงบใจเสียหน่อย อย่างน้อยถือว่าข้าได้แสดงความกตัญญูแล้ว”
ถาวจวินหลันไม่รู้ว่าจะต้องพูดอะไรต่อ หากให้บรรยายสภาพของฮ่องเต้ในยามนี้ คงต้องใช้คำว่า ‘แก้ปัญหาเฉพาะหน้า ไม่คำนึงผลที่ตามมา’ ฮ่องเต้คงรู้อยู่แก่ใจว่าเรื่องยาอายุวัฒนะนั้นเป็นมาอย่างไร แต่เขายังเชื่อผลลัพธ์ของยาอายุวัฒนะ ขอแค่แก้ปัญหาในตอนนี้ได้ ต่อไปนี้จะเป็นอย่างไรเขาก็ไม่สนใจอีกแล้ว
สุดท้ายถาวจวินหลันก็พยักหน้า “เป็นเช่นนี้ก็ดีเพคะ จะได้อยู่เป็นเพื่อนไทเฮาอีกสักหน่อย” ทว่าบรรดาขุนนางก็คงจะเริ่มทะเลาะกัน แต่ในเมื่อหลี่เย่บอกว่าไม่มีปัญหา นางเองก็ไม่จำเป็นต้องกังวล
วันรุ่งขึ้นหลี่เย่ก็ ‘รักษาตัว’ อยู่ในวังตวนเปิ่นจริงๆ ให้โจวอี้ไปทูลฮ่องเต้เรื่องที่ตนป่วยก็ถือว่าจบลง อย่างที่คาดไว้คำตอบของฮ่องเต้คือ “ในเมื่อร่างกายไม่แข็งแรง ก็พักผ่อนให้ดี เรื่องในราชสำนักไม่ต้องร้อนใจไป”
ตอนที่หลี่เย่ได้รับคำตอบจากโจวอี้นั้นก็กำลังอุ้มหมิงจูหยอกล้อนกฮวยบี๊อยู่ตรงระเบียง ได้ยินเช่นนั้นก็อดยิ้มไม่ได้ รอยยิ้มแฝงนัยที่ยากจะคาดเดา เขาพยักหน้า พลางพูดเรียบๆ “ข้ารู้แล้ว”
ตอนนั้นถาวจวินหลันกำลังปรึกษาเรื่องตัดชุดหน้าร้อนกับหงหลัวอยู่ ได้ยินเช่นนั้นก็อดมองหลี่เย่ไม่ได้ ในใจยังกังวลเล็กน้อย นางคิดว่าถึงเขาจะทำเป็นทองไม่รู้ร้อน แต่ในใจใช่ว่าจะไม่โศกเศร้า ความจริงแล้วเขาจะรู้สึกไม่ดีก็ไม่แปลก มิเช่นนั้นเมื่อวานคงไม่ผิดปกติเช่นนั้น
แต่เรื่องนี้นางกลับไม่มีวิธี ได้แต่เพียงทำความเข้าใจ มองอย่างเรียบนิ่ง มิเช่นนั้นก็ไร้ประโยชน์ทั้งหมด ยังดีที่หลี่เย่ดูไม่เหมือนคนไม่ปล่อยวาง นี่ต้องขอบคุณการที่ฮ่องเต้และหลี่เย่ไม่ได้ใกล้ชิดสนิทในหลายปีที่ผ่านมา
“พูดไปแล้ว พวกเราไปดูเจ้าเจ็ดเป็นอย่างไร?” เห็นว่าหมิงจูไม่อยากหยอกนกฮวยบี๋เล่นอีกแล้ว หลี่เย่จึงหันมาปรึกษากับถาวจวินหลัน “เอาจริงๆ ก็ไม่ได้ไกลเท่าไรนัก”
ที่จริงถาวจวินหลันคิดเช่นนี้นานแล้ว แต่ตั้งแต่ที่ย้ายเข้าวังหลวงมา นางกับหลี่เย่ก็ยุ่ง ไม่มีเวลาอยู่ตลอด ดังนั้นเรื่องนี้จึงถูกละเอาไว้ ที่จริงหลักๆ เลยคือหลี่เย่ยุ่ง และนางเป็นสตรีไม่อาจไปเยี่ยมตามลำพังได้
“ว่าแต่ทำไมองค์ชายเจ็ดถึงได้ย้ายออกจากวังเต๋ออันเล่าเพคะ?” ถาวจวินหลันถามอย่างอึดอัด ตามปกติแล้วองค์ชายเจ็ดถูกจัดให้ไปอยู่ที่วังเต๋ออัน ก็ควรจะต้องอาศัยที่วังเต๋ออันตลอด แต่ตอนนี้กลับไม่เป็นเช่นนั้น
หลี่เย่หัวเราะ เหมือนคิดถึงเรื่องน่าสนุกขึ้นมา “อี้เฟยคิดว่าวังเต๋ออันรกร้างและไม่สง่า จึงขอร้องให้เสด็จพ่อเปลี่ยนที่”
ถาวจวินหลันนิ่งไป จากนั้นก็คิดถึงท่าทีของอี้เฟยตอนที่ได้ยินองค์ชายเจ็ดแสดงตัวไม่แก่งแย่งอำนาจกับเขา อี้เฟยคาดหวังกับองค์ชายเจ็ดมากขนาดนี้ บางทีตอนนั้นอาจจะโมโหมาก และผิดหวังอย่างไม่มีที่เปรียบเลยกระมัง?
ที่จริงแล้ววังเต๋ออันดีมากแท้ๆ ไม่เพียงกว้างขวาง ตำแหน่งการจัดวางก็ยังดี ข้อเสียเพียงข้อเดียวคือห่างไกลเกินไป แต่ก็ไม่ถึงขั้นอ้างว้างและซอมซ่อ
แต่ต่างคนต่างความคิด นางไม่รู้ว่าควรวิจารณ์ความคิดของอี้เฟยอย่างไร
ในเมื่อจะไปพบองค์ชายเจ็ด ก็ต้องมีของขวัญติดมือไป คำนึงถึงในตอนนั้นองค์ชายเจ็ดชอบรสมือของชิงกูกูเป็นอย่างมาก ถาวจวินหลันจึงเชิญชิงกูกูให้ทำของว่างที่ประณีตมาจำนวนหนึ่ง
องค์ชายเจ็ดกำลังนอนอยู่บนเตียงอย่างเบื่อหน่าย พอได้ยินว่าหลี่เย่มาก็ยินดีปรีดาเป็นที่ยิ่ง หากไม่ใช่เพราะว่าบาดแผลที่ขา เกรงว่าเขาคงวิ่งออกไปแล้ว แต่ท่าทีคอยืดคอยาว สายตาสอดส่องมองมาทางประตูก็ยังทำให้ถาวจวินหลันอดหัวเราะไม่ได้
องค์ชายเจ็ดรู้ถึงท่าทีน่าขันของตน จึงลูบจมูกไปมาแก้เก้อพลางพูดอธิบายว่า “นอนอยู่ทั้งวันจนแทบจะเป็นโรคแล้ว ไม่เห็นมีใครมาเยี่ยมข้า มาพูดคุยกับข้าเสียที ทรมานเหลือเกินพ่ะย่ะค่ะ”
องค์ชายเจ็ดไม่มีคนมาเยี่ยมอย่างนั้นหรือ? นอกจากวันแรกๆ ที่คนทยอยกันมาเยี่ยม หลังจากนั้นนอกจากตัวอี้เฟยแล้ว ก็มีฮ่องเต้ที่ส่งคนมาถามไถ่และส่งของให้บ้าง รวมถึงไทเฮาด้วยเช่นกัน แต่เพราะสองคนนี้ไม่ได้มาด้วยตนเอง พี่น้องมิตรสหายที่เหลือก็ไม่ได้อาศัยในวังหลวง ย่อมไม่อาจมาเยี่ยมได้ ไม่แปลกที่องค์ชายเจ็ดจะเบื่อหน่าย
แต่องค์ชายเจ็ดก็รีบพูดกับหลี่เย่อย่างยินดี “ตอนนี้พี่รองเป็นองค์รัชทายาทแล้ว ข้าเป็นน้องชาย แต่กลับไม่ได้ไปแสดงความยินดีด้วยตนเอง รอข้าหายดี จะต้องให้ของขวัญชดเชยกับพี่รองเป็นแน่”
หลี่เย่กลั้นหัวเราะ “ของขวัญช่างเถิด รอเจ้าหายดีก็มาดื่มสุราที่วังตวนเปิ่นกับข้าเสียสิ พอได้ออกนอกวังไปแล้วก็ดูโตเป็นผู้ใหญ่ขึ้นไม่น้อยเลย”
องค์ชายเจ็ดได้ยินก็ดีใจ แต่ก็ยังไม่ลืมตัว ยิ้มพลางทำความเคารพถาวจวินหลัน “ยินดีกับพี่สะใภ้รองด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
องค์ชายเจ็ดปากหวานเช่นนี้ ถาวจวินหลันก็ยิ้มพลางรับกล่องของว่างมาส่งให้ “นี่ทำให้เจ้าโดยเฉพาะ จะได้ปากหวานมากกว่าเดิม ดูว่าจะพูดน่าฟังกว่านี้ได้อีกหรือไม่”
เพราะคิดว่าสองพี่น้องยังมีเรื่องต้องการคุยกัน ถาวจวินหลันจึงยิ้มและพูดว่า “ข้าออกไปเดินเล่นรอ พวกท่านสองพี่น้องคุยกันดีหรือไม่เพคะ?”
องค์ชายเจ็ดรับรู้ ยิ้มพลางเรียกนางกำนัลข้างกายของตน “เหลียนซิน เจ้าดูแลพี่สะใภ้รองแทนข้าให้ดี”
ในกลุ่มนางกำนัลมีนางกำนัลที่ใส่ชุดสีเขียวอ่อนคนหนึ่งเดินออกมา ยิ้มพลางทำความเคารพถาวจวินหลัน “บ่าวเหลียนซิน ทำความเคารพพระชายาองค์รัชทายาทเพคะ”
เหลียนซินไม่ได้วางตัวต่ำต้อยและไม่ทำตัวโอหัง ไม่ได้มีท่าทีหวาดระวังเหมือนนางกำนัลธรรมดา ถาวจวินหลันจึงอดจ้องมองไม่ได้ ยิ้มพลางพูดว่า “ลุกขึ้นเถิด”
ทั้งสองคนออกจากห้อง เหลียนซินก็เสนอขึ้นมาว่า “ข้างหลังมีสวนดอกไม้ ให้บ่าวนำท่านไปดีหรือไม่เพคะ?” ภายในสวนแม้ว่าจะมีต้นไม้พืชพันธุ์ แต่ก็ไม่มีอะไรให้ดูอยู่ดี
ถาวจวินหลันรับคำ จากนั้นก็ถามว่า “อาการบาดเจ็บขององค์ชายเจ็ดเป็นอย่างไรบ้าง?”
เหลียนซินหัวเราะออกมาเบาๆ “รักษามานานขนาดนี้ คิดว่าใกล้หายแล้วเพคะ แต่ก็ไม่อาจใช้แรงได้ไปอีกนาน คิดว่าองค์ชายเจ็ดคงจะอุดอู้อยู่ระยะหนึ่งเป็นแน่เพคะ”
“แท้จริงแล้วเจ็บตรงไหนกันแน่?” ถาวจวินหลันตกใจเล็กน้อย “ทำไมนานขนาดนี้ยังไม่หายดีอีก?” จากคำพูดของเหลียนซิน ตอนนี้ก็แค่ดีขึ้นมากแล้ว แต่ก็ยังห่างจากคำว่าหายขาดอยู่ไกลนัก จะต้องรู้ว่าองค์ชายเจ็ดนอนติดเตียงมานานแล้ว
“เจ็บที่ตาตุ่มและหัวเข่าเพคะ ต้นขาเองก็หัก กระดูกแทงเนื้อออกมา ต้องใช้แรงมากมายถึงจะต่อเข้าไปได้เพคะ” พอพูดถึงอาการเจ็บขององค์ชายเจ็ด สีหน้าของเหลียนซินก็ไม่น่ามอง น้ำเสียงโกรธขึ้ง “ไม่รู้ว่าต้องโหดเ**้ยมเพียงใดถึงทำเรื่องเช่นนี้ได้!”
ถาวจวินหลันได้ยินเหลียนซินพรรณนา พลันก็ขนลุกชันทั้งตัว มิน่าตอนนั้นหลี่เย่ถึงไม่ได้เล่าอาการบาดเจ็บขององค์ชายเจ็ดอย่างละเอียด แท้จริงแล้วน่ากลัวเช่นนี้เอง
“ตอนที่องค์ชายเจ็ดเพิ่งกลับมายังฝันร้ายอยู่บ่อยครั้งเพคะ พอฝันร้ายทีก็เกร็งไปทั้งตัว แล้วยังมีเหงื่อผุดพรายเต็มไปหมด ตะโกนเสียงดังให้วิ่งหนีเพคะ” เหลียนซินถอนหายใจ พูดต่อไป “ไม่รู้ว่าสถานการณ์ในตอนนั้นน่ากลัวเพียงใดเพคะ”
ถาวจวินหลันก็นิ่งเงียบไป ผ่านไปครู่ใหญ่ถึงถอนหายใจออกมา “รอจนสืบพบว่าใครทำเรื่องนี้ก็ต้องเล่นอีกฝ่ายให้หนัก” ทำร้ายองค์ชายจนเป็นเช่นนี้ ฆ่าล้างเก้าชั่วโคตรก็ยังไม่เกินไป
“องค์รัชทายามจะต้องแก้แค้นแทนองค์ชายเจ็ดใช่หรือไม่เพคะ?” เหลียนซินมองถาวจวินหลันด้วยสีหน้าคาดหวัง แม้จะบอกว่านางกำนัลทำเช่นนี้ดูจะเกินเหตุไป แต่ในตอนนี้ไม่มีใครคิดว่าแหกกฎอะไร
ถาวจวินหลันย่อมไม่เอาความเรื่องนี้ ในความจริงแล้วนางรู้สึกยินดีแทนองค์ชายเจ็ด นางกำนัลเหลียนซินคนนี้ใส่ใจองค์ชายเจ็ดมากนัก นี่นับเป็นเรื่องดี ข้างกายมีคนเช่นนี้คอยดูแลถือเป็นโชคขององค์ชายเจ็ดแล้ว
นางพยักหน้าหนักแน่น “ย่อมเป็นเช่นนั้น”
เหลียนซินถอนใจโล่งอก ใบหน้าพลันปรากฏรอยยิ้มบางๆ
เมื่อเดินเล่นรอบสวนแล้ว ตอนที่ถาวจวินหลันกลับไปถึง องค์ชายเจ็ดก็พูดคุยกับหลี่เย่เรียบร้อยแล้ว
ด้วยเพราะตอนนี้องค์ชายเจ็ดต้องกินอาหารปรุงพิเศษ จึงไม่ได้รั้งพวกเขาไว้กินข้าว พอออกมาจากวังขององค์ชายเจ็ด หลี่เย่ก็ถอนหายใจ “เกรงว่าต่อจากนี้ขาของเจ้าเจ็ดคงคืนสภาพเท่าเดิมไม่ได้แล้ว พอถึงวันฟ้าครึ้มคงจะเจ็บปวดมาก หากสะเพร่าเพียงเล็กน้อยก็พิการได้”
แม้ได้ยินมาจากเหลียนซินแล้ว ถาวจวินหลันก็ยังอดสูดหายใจลึกไม่ได้ “รุนแรงเพียงนี้เลยหรือเพคะ?”
“อีกฝ่ายพุ่งตรงมาที่เขา ถ้าไม่ใช่เพราะเขาหนีออกมาได้เร็ว เกรงว่าคงเอาชีวิตไม่รอดด้วยซ้ำ” หลี่เย่สีหน้าดำคล้ำ “เพียงแค่ไปบรรเทาภัยพิบัติเท่านั้น แต่กลับคิดจะฆ่าองค์ชาย ดูท่าทางอีกฝ่ายคงใจกล้าน่าดู”
ถาวจวินหลันได้ยินเช่นนั้นก็เข้าใจทันที “ท่านคิดว่าเป็นคนพวกเดียวกันหรือเพคะ”
หลี่เย่ตอบรับเสียงเบา
ถาวจวินหลันยิ่งว้าวุ่นใจ “แต่ตอนองค์รัชทายาทฮุ่ยเต๋อ ท่านบอกว่า…” ฝีมือของจวงอ๋องไม่ใช่หรือ? เหตุใดจวงอ๋องถึงได้ลงมือกับองค์ชายเจ็ดเล่า?
“เจ้าเจ็ดคิดสืบเรื่องการบาดเจ็บขององค์รัชทายาทฮุ่ยเต๋อ” หลี่เย่ตอบเสียงเบา แววตาเย็นชา “เขาทำเพื่อข้า เพราะเขากลัวข้าถูกสงสัย แต่ข้าคิดว่าเขาต้องสืบพบอะไรเป็นแน่ หรือบางทีอีกฝ่ายคงคิดว่าเขาสืบพบอะไรบางอย่างแล้ว มิเช่นนั้นคงไม่โหดเ**้ยมเช่นนี้”
ถาวจวินหลันไม่ได้พูดอะไรอีก แต่ก้นบึ้งหัวใจรู้สึกหนาวเหน็บ ความคิดโหดเ**้ยมเช่นนี้… นางคิดเช่นนี้ก็รีบกำชับหลี่เย่ทันที “เช่นนั้นท่านต้องระวังนะเพคะ”
หลี่เย่ได้ยินเช่นนั้นก็นิ่งไป จากนั้นก็กดความรู้สึกในใจลง ยิ้มให้ถาวจวินหลันอย่างอ่อนโยน “ข้าอยู่ในวังหลวง ย่อมต้องปลอดภัยอยู่แล้ว อย่ากลัวไปเลย”
ถาวจวินหลันได้ยินเช่นนั้นก็คลายกังวล ถึงจะวางใจได้บ้างแล้ว แต่จากนั้นก็ยังกังวลอีก หากต้องออกไปนอกวังเล่า? แต่เห็นท่าทางอมยิ้มของหลี่เย่ นางก็ไม่ได้พูดอะไรอีก คิดว่าต่อให้หลี่เย่เดินทาง แต่เป็นถึงองค์รัชทายาทย่อมต้องมีคนคุ้มกันเข้มงวด อีกทั้งยังรู้ว่าต้องป้องกันตัวอยู่แล้ว อีกฝ่ายย่อมหาโอกาสได้ไม่ง่ายเป็นแน่