บัลลังก์พญาหงส์ - บทที่ 640 มอดม้วยด้วยสุขสันต์
บรรยากาศภายในวังไทเฮาดูอึมครึม เคร่งเครียด ท่าทีของจางหมัวหมัวกับไทเฮาก็ไม่ค่อยน่ามองนัก หลังจากถาวจวินหลันเข้าไปแล้วก็ต้องตกใจกับบรรยากาศเช่นนี้ หลังจากทำความเคารพก็อดถามไม่ได้ว่า “เกิดอะไรขึ้นหรือเพคะ?”
ไทเฮามองถาวจวินหลัน แค่นหัวเราะพลางเค้นถามออกมาตรงๆ “พวกเจ้าคิดว่าข้าแก่แล้วไม่มีประโยชน์หรืออย่างไร? ถึงมีเรื่องอะไรก็ไม่ยอมบอก เอาแต่ปิดบังข้า”
ถาวจวินหลันอึ้งไป ในใจนั้นครุ่นคิดอย่างสับสน ไทเฮารู้เรื่องที่เกิดด้านนอกแล้วอย่างนั้นหรือ แต่นางไม่กล้าฟันธง ย่อมไม่กล้าพูดมั่วๆ ออกมา เพียงแค่พูดงึมๆ งำๆ “ทำไมไทเฮาพูดเช่นนี้เพคะ?”
“ข้าถามเจ้า ซินหลันล้มได้อย่างไร?” ไทเฮายิ้มเย็นมองถาวจวินหลันนิ่ง เค้นถามต่อ
ถาวจวินหลันตกใจ ตอบว่า “ทะเลาะกับพี่สะใภ้ใหญ่ของนางเพคะ พี่สะใภ้ใหญ่ของนางผลักเข้าถึงได้ล้มเพคะ” แน่นอนว่าทะเลาะกันทำไม นางไม่ได้พูดออกมา
แต่นางไม่พูด ก็ไม่ได้แปลว่าไทเฮาจะไม่ถาม ไทเฮาก็เค้นถามอย่างรวดเร็ว “แล้วทะเลาะกันเรื่องอะไร?”
ถาวจวินหลันได้ยินเช่นนี้ก็รู้อยู่แก่ใจแล้วว่าไทเฮาจะต้องรู้เรื่ององค์หญิงเก้าแล้วเป็นแน่ จึงไม่พูดอะไรอีก ยืนเงียบอยู่ที่เดิม ไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว
ไทเฮายังคงเป็นไทเฮา แม้จะปิดประตูไม่รับแขกเป็นเวลานานเช่นนี้ แต่ก็รู้เรื่องด้านนอกอย่างดี
“พวกเจ้าคิดว่าข้าแก่แล้วไม่มีประโยชน์ จึงปิดบังข้าอย่างนั้นหรือ?” ไทเฮาหงุดหงิด ถามเสียงดังอีกครั้ง
ถาวจวินหลันคุกเข่าลงไป ถอนหายใจอธิบายเสียงเบา “หากพระองค์รู้เรื่องนี้เข้าก็จะทำให้พระองค์กังวลเท่านั้นเพคะ แล้วทำไมต้องบอกพระองค์ด้วยเล่า? หากบอกทุกเรื่อง ให้พระองค์รำคาญใจ หลานอย่างพวกเราก็ถือว่าอกตัญญูจริงๆ นะเพคะ อีกอย่างเรื่องนี้สตรีในวังหลังอย่างพวกเราก็เข้าไปขัดไม่ได้ ทำได้เพียงมอบให้ผู้ชายจัดการเท่านั้น หม่อมฉันจึงไม่ได้บอกพระองค์ ทำให้พระองค์ทรงกังวลไปด้วยเพคะ”
ไทเฮาหัวเราะเสียงเย็น “ตอนนี้แม้แต่องค์หญิงยังหายตัวไประหว่างทางเงียบๆ ได้ ดูท่าทางแผ่นดินนี้จะยิ่งวุ่นวายขึ้นเรื่อยๆ แล้ว! องค์หญิงเก้าหายไประหว่างกลับจากวังหลวงเพื่อมาร่วมงานวันเกิดข้า ข้าจะไม่ควรรู้เรื่องนี้ได้อย่างไร? ข้าอยากรู้นักว่าแท้จริงแล้วใครทำได้มากขนาดนั้น กล้าล้วงคองูเห่าโดยแท้!”
คำพูดของไทเฮาแฝงไว้ด้วยความทรงอำนาจ แต่ทำให้คนรู้สึกเชื่อฟังได้ ถาวจวินหลันสบายใจขึ้นเล็กน้อย บางทีไทเฮาอาจจะมีวิธีหาองค์หญิงเก้าได้จริงๆ กระมัง?
แต่ตอนนี้เห็นชัดว่าไทเฮายังโมโห ถาวจวินหลันก็ไม่กล้าเอ่ยปากพูดให้ไทเฮากริ้วโกรธมากกว่าเดิม
ไทเฮาโมโหอยู่ครู่หนึ่ง แล้วค่อยๆ ใจเย็นลง เรียกให้ถาวจวินหลันลุกขึ้น “เจ้าลุกขึ้นเถิด เป็นถึงพระชายาองค์รัชทายาท จะมาคุกเข่าง่ายๆ เช่นนี้ไม่กลัวคนอื่นจะหัวเราะเอาหรืออย่างไร?”
ถาวจวินหลันสบายใจ รู้ว่าไทเฮาไม่ได้โมโหนางแล้ว นางก็เริ่มกล้าพูดเย้าแหย่ “คุกเข่าให้ผู้ใหญ่ถือเป็นเรื่องถูกต้อง มีอะไรต้องน่าหัวเราะเล่าเพคะ”
ไทเฮาแม้จะบอกว่าอารมณ์ไม่ดีนัก แต่พอได้ยินเช่นนี้ก็หัวเราะออกมา จากนั้นไทเฮาก็มานั่งเบื้องหน้าตน เอ่ยปากพูดว่า “เจ้ามาไตร่ตรองเรื่องนี้กับข้า”
ถาวจวินหลันอึ้งไป ไม่รู้ว่าไทเฮาคิดอะไร คิดอยู่ครู่หนึ่งก็พูดตามความเข้าใจของตนเอง “ก่อนอื่นเลยหม่อมฉันคิดว่าเรื่องนี้คงไม่ใช่เรื่องบังเอิญเพคะ”
“หลังจากองค์หญิงเก้าตั้งครรภ์ก็ออกจากบ้านน้อยครั้ง อีกฝ่ายคงไม่ได้มีโอกาสมากนัก ดังนั้นน่าจะวางแผนมานานแล้วเพคะ” ถาวจวินหลันเหลือบมองไทเฮาทีหนึ่ง เห็นว่าไทเฮาไม่ได้มีท่าทีต่อต้านหรือบอกให้หยุด ก็พูดต่อไปว่า “อีกอย่างอีกฝ่ายก็จะต้องเข้าใจสถานการณ์ภายในวังหลวงเป็นอย่างดีเพคะ มิเช่นนั้นจะรู้ได้อย่างไรว่าองค์หญิงเก้าออกจากวังหลวงตอนนั้น? เพราะถ้าพูดตามหลักการแล้วองค์หญิงเก้าควรจะทานอาหารกลางวันและเข้าร่วมงานเลี้ยงภายในวังก่อน แต่องค์หญิงเก้ากลับไปก่อนเพคะ”
“ถ้าเช่นนั้นทำไมไม่ลงมือตอนระหว่างทางมา?” ไทเฮาเอ่ยปากเสียงเบา พูดข้อสงสัยนี้ออกมา
หลังจากถาวจวินหลันได้ยินก็ยิ่งสงสัยมาก ครุ่นคิดพิจารณาอยู่ครู่หนึ่ง ฉับพลันนางก็คิดถึงความเป็นไปได้อีกอย่าง “เป็นไปได้ว่าอีกฝ่ายไม่รู้ว่าองค์หญิงเก้าจะออกเดินทางเมื่อไรเพคะ ถ้านั่งเฉยๆ เพื่อรอให้โอกาสมาเองก็จะชัดเจนเกินไปจนคนสงสัย ดังนั้นจึงตัดสินใจลงมือระหว่างทางกลับเพคะ”
“ส่วนเหตุผลที่ไม่รู้ก็เป็นเพราะว่าภายในตระกูลถาวไม่ได้ส่งคนเข้าไป หรือว่าส่งเข้าไปแล้วแต่ไม่มีทางแจ้งเวลาที่ชัดเจนได้…” ถาวจวินหลันวิเคราะห์ทีละจุด “แต่เมื่ออยู่ในวังหลวงก็จะไม่เหมือนเดิมเพคะ นางกำนัลภายในวังมีมากมาย จะซื้อใจสักคนสองคนถือเป็นเรื่องง่ายดาย และไม่ต้องแทรกคนเข้ามาในวังตวนเปิ่น แค่รออยู่ระหว่างทางออกประตูวังก็ได้แล้วเพคะ องค์หญิงเก้าเดินทางไม่สะดวก ย่อมเดินเร็วไม่ได้ แม้แต่รถม้าก็จะต้องให้ช้าที่สุด มีเวลามาแจ้งข่าวเหลือเฟือเพคะ”
ไทเฮาพยักหน้า ถามอีกว่า “แล้วอย่างไรอีก?”
ถาวจวินหลันถูกถามจนนิ่งไป วิเคราะห์มาถึงตรงนี้ก็เหมือนไม่มีอะไรให้วิเคราะห์ได้อีก นางเองก็คิดไม่ออกแล้วว่ามีจุดน่าสงสัยตรงไหนอีก แต่ไทเฮาถามเช่นนี้นางคิดว่าไทเฮาจะต้องคิดอะไรได้เป็นแน่ นางจึงขมวดคิ้วครุ่นคิดอย่างหนัก
ไทเฮาก็ไม่ได้รีบร้อน แล้วยังหรี่ตาลงน้อยๆ พักผ่อน รอให้ถาวจวินหลันคิดเรื่องนี้ให้กระจ่างเอง ไม่ได้มีท่าทีจะพูดออกมาเอง
ถาวจวินหลันคิดอยู่นาน สุดท้ายก็นึกเรื่องหนึ่งออก อดตบมือพูดอย่างหงุดหงิดไม่ได้ “ใช่แล้วเพคะ ทำไมหม่อมฉันคิดไม่ถึงเรื่องนี้! แจ้งข่าว! ต้องมีคนไปแจ้งข่าว! มิเช่นนั้นเรื่องนี้จะสำเร็จได้อย่างไร? แต่หากต้องแจ้งข่าวก็จะต้องกระจายข่าวออกไปนอกวัง! ถ้าไม่อย่างนั้นคนคนนี้ก็รออยู่หน้าประตูวัง หรือไม่ก็ออกไปจากวังหลวงเพคะ! ขอเพียงสืบจากทหารยามเฝ้าประตูวัง ก็ต้องรู้ว่าก่อนองค์หญิงเก้าออกจากวัง ยังมีใครออกจากวังหรือว่ามีคนรออยู่ที่ประตูวังหรือไม่เพคะ!”
สำหรับความเป็นไปทั้งสองทางนี้ถาวจวินหลันเอนเอียงไปทางที่มีคนออกจากวังไป และนำข่าวนั้นออกจากวังไปด้วย เพราะอย่างไรรออยู่หน้าประตูวังก็เด่นเกินไป แม้ว่าตอนนั้นดูแล้วไม่มีอะไร แต่หลังจากเกิดเรื่องแล้วต้องน่าสงสัยแน่นอน อีกทั้งเขายังต้องพูดคุยกับนางกำนัลที่มาแจ้งข่าวด้วย
และหากนางกำนัลออกจากวัง เช่นนั้นก็ยิ่งสืบง่ายกว่าเดิม หากนางกำนัลต้องการออกจากวังหลวง ไม่ว่าจะออกไปทำอะไร ด้วยฐานะอะไร ก็จะต้องแสดงป้อยห้อยเอว และมีการจดบันทึกทุกคน ต่อให้ขันทีเป่าฉวนออกจากวังก็ไม่ยกเว้น ยังคงต้องดำเนินการตามขั้นตอนเหมือนเดิม
พอเป็นเช่นนี้ไม่ใช่ว่ามีเบาะแสแล้วหรืออย่างไร? สืบประวัติคนในวัง เช่นนั้นก็รู้แล้วว่าใครคิดเล่นงานองค์หญิงเก้า…
ขอแค่รู้ว่าเป็นใครที่คิดวางแผนองค์หญิงเก้า ยังจะต้องกลัวว่าจะหาองค์หญิงเก้าไม่เจออย่างนั้นหรือ?
พอคิดเช่นนี้ถาวจวินหลันก็เข้าใจถึงหลักเหตุและผลทั้งหมด จึงกระวีกระวาดร้อนใจอยากจะไปหาหลี่เย่พูดเรื่องเหล่านี้ให้เขาฟัง
ไทเฮามองถาวจวินหลันเรียบๆ ริมฝีปากปรากฏรอยยิ้มขึ้นมาน้อยๆ สุดท้ายสิ่งที่พูดออกมากลับกลายเป็นการกล่าวโทษ “ในเมื่อตอนนี้คิดได้ ทำไมตอนนั้นถึงคิดไม่ออกเล่า? เจ้าไม่ได้ฉลาดมาตลอดอย่างนั้นหรือ? ทำไมครั้งนี้ถึงได้เลอะเลือนเช่นนี้?”
ถาวจวินหลันนิ่งไป เผชิญหน้ากับการกล่าวโทษของไทเฮากลับไม่สามารถตอบโต้ได้แม้แต่ประโยคเดียว ก่อนหน้านี้เมื่อพบเจอเรื่องนางก็จะวิเคราะห์เช่นนี้ แต่เมื่อวานนางไม่ได้ทำ บางทีอาจเป็นเพราะกังวลมากเกินไป หรือว่าเป็นเพราะเหตุผลอื่น แต่สุดท้ายนางก็ไม่ได้วิเคราะห์ และยิ่งไม่คิดถึงเรื่องเหล่านี้
ถ้าเมื่อวานนางคิดออก บางทีก็คงหาองค์หญิงเก้าพบแล้ว พอคิดเช่นนี้นางก็รู้สึกผิดขึ้นมา จากนั้นก็คิดว่าบางทีเวลาผ่านไปนานเช่นนี้แล้วอีกฝ่ายคงทำลายหลักฐานไปแล้ว อย่างนั้นก็ยิ่งเป็นความผิดของนาง
ไทเฮาเห็นท่าทีโทษตัวเองและรู้สึกผิดบนใบหน้าของถาวจวินหลันอย่างชัดเจน แต่ไม่ได้คิดจะพูดปลอบประโลมอะไร จากที่ไทเฮาคิดแล้ว ครั้งนี้ถาวจวินหลันทำผิดจริง ควรต้องสำนึกให้ดี หงุดหงิดโทษตัวเองสักครั้งคงทำให้นางได้รับบทเรียน
สุดท้ายไทเฮาก็พูดออกมาช้าๆ “ที่เจ้าไม่ได้คิดมาก เพราะหลังจากเข้าวังมาเจ้าคิดว่าเรื่องข้างนอกนั้นไม่เกี่ยวกับเจ้าแล้ว เจ้าขอแค่ดูแลวังหลังให้ดีก็พอ จึงไม่ยอมคิดเยอะอย่างไรเล่า! แต่เจ้าเคยคิดหรือไม่ หากแค่จัดการดูแลวังหลังให้ดีก็พอแล้ว เช่นนั้นให้ใครดูแลก็เหมือนกันมิใช่หรือ? ทำไมต้องเป็นเจ้าด้วย?”
หยุดไปครู่หนึ่งไทเฮาก็พูดอย่างแฝงนัย “เป็นภรรยา ไม่เพียงแค่ต้องดูแลเรือนหลังให้ดี แล้วยังต้องช่วยบรรเทาภาระของสามีด้วย ดูแลเรือนหลังให้ดี ไม่ว่าผู้หญิงที่ไหนก็ทำได้ แต่ทำไมสุดท้ายหญิงสาวที่ถูกสรรเสริญเยินยอถึงได้มีน้อย? ฮองเฮาของเกาจู่ฮ่องเต้ไม่ได้จัดการผู้หญิงให้เกาจู่ฮ่องเต้รับอนุภรรยา ตามปกติแล้วถือว่าทำผิดโทษอิจฉาริษยา แต่ทำไมนางถึงถูกสรรเสริญว่าเป็นฮองเฮาผู้มีศีลธรรมเล่า? เพราะนางช่วยเหลือเก่าจู่ฮ่องเต้กู้แผ่นดินด้วยอย่างไรเล่า! นางช่วยเกาจู่ฮ่องเต้ตีกู้แผ่นดิน ช่วยเกาจู่ฮ่องเต้ปกป้องแผ่นดิน! ก่อนที่เกาจู่ฮ่องเต้จะสวรรคตก็นอนติดเตียงเป็นเวลาห้าปีเต็ม แต่ฮองเฮาของเกาจู่ฮ่องเต้ทำอย่างไร? นางยังสามารถทำให้คนเชื่อถือได้ และช่วยเกาจู่ฮ่องเต้เริ่มใช้การเมืองแบบใหม่! นี่ถึงจะเป็นฮองเฮาผู้ทรงคุณธรรม!”
“ที่ข้าเลือกเจ้าก็ด้วยข้าเห็นเงาของเกาจู่ฮองเฮาจากตัวเจ้า! สุขภาพขององค์รัชทายาทไม่ค่อยดี ทั้งเจ้าและข้าก็รู้ดี หากไม่หาภรรยามากความสามารถ แล้วให้เขาปกครองแผ่นดินคนเดียว ข้าก็คงเจ็บปวดนัก!” ไทเฮาถอนหายใจ มองถาวจวินหลันด้วยสายตาร้อนแรง “เสน่ห์ของเจ้าก่อนหน้านี้เล่า? ตอนที่องค์รัชทายาทออกทัพ เจ้าดูแลจวนตวนอ๋องได้ สร้างอำนาจให้องค์รัชทายาท ตอนโรคระบาดเจ้าก็ช่วยวางแผนให้องค์รัชทายาทจนได้ชื่อเสียงดีงามกลับคืนมา คิดรอบคอบจากทุกด้านทุกทาง แม้กระทั่งร่างกายตัวเองก็ไม่สนใจ เจ้าควรเอาเสน่ห์ส่วนนี้ออกมา”
ถาวจวินหลันฟังคำสอนของไทเฮา ก็รู้สึกอึ้งตะลึงอย่างยิ่ง
นางไม่เคยคิดว่าความหวังดีที่ไทเฮามีต่อนางจะเป็นเช่นนี้ แต่สำหรับคำต่อว่าของไทเฮาเหล่านั้น นางกลับมาคิดให้ดูละเอียดก็ต้องยอมรับ ตั้งแต่เข้าวังหลวงมา วันเวลาที่นางต้องข้องเกี่ยวกับโลกข้างนอกก็ยิ่งน้อยลงเรื่อยๆ วุ่นวายหัวหมุนอยู่แต่ภายในวังหลัง น้อยครั้งที่จะรู้เรื่องภายนอก ตอนแรกเพราะไม่มีวิธีและไม่มีเวลา แต่หลังจากนั้นเพราะความเคยชิน คิดว่าควรต้องเป็นเช่นนี้
เพราะเช่นนี้นางถึงได้สูญเสียข้อดีของตนเองไป กลายเป็นผู้หญิงที่ไม่ได้ต่างอะไรกับผู้หญิงส่วนมาก เพราะนางทิ้งจุดเด่นเหล่านั้นไป ไม่มีสิ่งเหล่านั้นแล้วนางก็ไม่ได้เป็นหนึ่งอีกต่อไป
ถาวจวินหลันอดสำนึกคิดไม่ได้ เพราะว่าหลงความสบายจึงวายวอดจริงหรือ? ก่อนหน้านี้นางยังพร่ำคิดอยู่เสมอว่าอยากเป็นแค่ภรรยาของหลี่เย่ ดังนั้นถึงได้ทุ่มเทสมาธิ ใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดที่มี ตอนนี้สุดท้ายก็สมปรารถนา นางจึงขาดแรงกระตุ้นไป และลืมว่าตนเองควรทำอย่างไร