บัลลังก์พญาหงส์ - บทที่ 641 น่าสงสัย
หลังจากสำนึกผิดแล้ว ถาวจวินหลันก็ได้สติ คิดได้ว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้คือแจ้งให้หลี่เย่ทราบก่อน แม้จะบอกว่าเรื่องเหล่านี้นึกเองได้ แต่หากความร้อนใจทำให้หลี่เย่มองข้ามเล่า?
ถาวจวินหลันจึงรีบพูดกับไทเฮาว่า “ไทเฮาเพคะ พระองค์ว่าควรให้คนไปพูดเรื่องนี้กับองค์รัชทายาทก่อน…” เรื่องอื่นไม่ต้องพูดถึง หาองค์หญิงเก้ากลับมาได้โดยเร็วถือว่าเป็นประโยชน์สูงสุด
ไทเฮาหัวเราะ “ข้าส่งคนไปบอกนานแล้ว ไฉนเลยจะรอถึงตอนนี้ได้?”
ถาวจวินหลันรู้ว่าไทเฮากำลังเย้าแหย่นาง แต่ก็ยังรู้สึกไม่ดีอยู่เล็กน้อย
ไทเฮาเห็นเช่นนั้นก็ถอนหายใจเบาๆ “ข้าแค่หวังว่าเจ้าจะเป็นศรีภรรยา แผ่นดินนี้มอบให้องค์รัชทายาทไปข้าก็วางใจ ข้าเป็นคนสอนลูกชายไม่ได้เรื่อง ฮ่องเต้กลายเป็นอย่างนี้ก็มีความผิดของข้าอยู่ด้วย ฮ่องเต้หัวแข็งแก้ไขไม่ได้ ก็ได้แต่หวังว่าในอนาคตองค์รัชทายาทคงจะไม่เดินซ้ำทางเดิมกับพ่อของเขา”
ไทเฮาพูดด้วยน้ำเสียงอ้างว้าง ถาวจวินหลันได้ยินก็เจ็บปวดใจ รีบพูดกล่อมไทเฮา “ตรัสเช่นนี้ก็ไม่ถูกนะเพคะ ไฉนเลยจะเป็นความผิดของพระองค์เพคะ?”
ฮ่องเต้หาเรื่องใส่ตัวเอง ไม่อาจโทษไทเฮาได้แม้แต่น้อย
“ข้าคิดจะเตือนสติเขา แต่เขากลับไม่ยอมฟัง ข้ายังทำอะไรได้อีก?” ไทเฮาหัวเราะข่มขื่น ทั้งเศร้าใจและอึดอัด “เขาเหลือเวลาอีกไม่มากแล้ว ในเมื่อเขาคิดจะทรมานเช่นนี้ ก็ปล่อยให้เขาทรมานจนพอเถิด อย่างไรยาอายุวัฒนะก็ต้องคร่าชีวิตของเขาสักวัน!”
ถาวจวินหลันได้ยินไทเฮาพูดเช่นนี้ ก็ยิ่งเข้าใจความรู้สึกของไทเฮา ที่ว่าอยากเห็นคนได้ดีแต่กลับจนปัญญา…สุดท้ายนางก็พูดเสียงเบา “ทำไมไทเฮาไม่ทรงขับไล่นักพรตออกจากวังไปเล่าเพคะ?” บางทีอาจจะไม่ได้มีประโยชน์มาก แต่ก็ยังดีกว่าไม่ทำอะไรเลย หากทำให้ไทเฮาอารมณ์ดีขึ้นหน่อย ก็ถือว่าเกิดผลเช่นเดียวกัน
ไทเฮาเพียงแค่ยิ้มอย่างไม่ยี่หระ “ข้าไล่คนสองคนได้ แต่จะขับไล่นักพรตทั้งแผ่นดินได้อย่างไร? ไม่มีนักพรต ก็ยังมีนักบวช แล้วยังมีภูตผีปีศาจอย่างอื่นอีก แล้วทำไมข้าจะต้องเพิ่มระยะห่างระหว่างแม่ลูกของพวกเราอีกเล่า? ในเมื่อเขาชอบก็ปล่อยให้เขาทำไป อย่างไรเขาก็ยังคิดว่ามีความหวัง ยังใช้ชีวิตอย่างสบายใจได้บ้าง”
ในเมื่อไทเฮาพูดเช่นนี้ ถาวจวินหลันก็ไม่ได้พูดกล่อมอีก สุดท้ายก็เพียงแค่มองไทเฮา เอ่ยขอบพระทัยด้วยท่าทางจริงจัง “ขอบพระทัยไทเฮาที่ทรงสั่งสอนหม่อมฉันในวันนี้เพคะ”
ถ้าไม่ได้การสั่งสอนลึกซึ้งจากไทเฮา เกรงว่าหลังจากนี้นางก็คงจะใช้ชีวิตเช่นนี้ต่อไป
ไทเฮารับการทำความเคารพครั้งใหญ่ของถาวจวินหลันอย่างเปิดเผย สุดท้ายก็พูดว่า “เจ้าเข้าใจความหวังดีของข้าก็ดีแล้ว แต่แม้ข้าจะสอนเจ้า ก็ไม่ได้หมายความว่าให้เจ้าเข้าไปยุ่งเรื่องการเมือง เจ้าต้องจำเอาไว้”
ถาวจวินหลันรับคำอย่างแข็งขัน
สุดท้ายไทเฮาก็โบกมือไปมา “ดูสีหน้าเจ้าก็รู้แล้วว่าเมื่อวานนี้นอนไม่ค่อยหลับ กลับไปก่อนเถิด วันนี้ให้ซวนเอ๋อร์มาอยู่กับข้าที่นี่ก่อน เจ้าจะได้เพ่งสมาธิทั้งหมดไปจัดการเรื่องต่างๆ ครั้งนี้อย่าปล่อยคนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ไปง่ายๆ เล่า”
ถาวจวินหลันรีบรับคำ บวกกับเห็นท่าที่เริ่มเหนื่อยอ่อนของไทเฮา จึงไม่ได้รั้งตัวอยู่นาน ขอตัวทูลลากลับไป
แต่ระหว่างทางกลับ นางก็อดครุ่นคิดคำพูดของไทเฮาอีกรอบไม่ได้ สุดท้ายก็ถอนหายใจเบาๆ และรู้สึกนับถือไทเฮามากขึ้น หากนามีสติปัญญาเฉกเช่นไทเฮาก็คงจะดี
ชุนฮุ่ยกลับมาตอนที่ถาวจวินหลันทานอาหารกลางวัน พร้อมทั้งบอกข่าวดี ถาวซินหลันได้สติแล้ว อีกทั้งไม่ได้เป็นอะไรมาก เพียงแค่เสียเลือดมากระหว่างคลอด จำเป็นต้องรับการบำรุงรักษาระยะยาว และฉังเซิงเองก็ปลอดภัยดี
ถาวจวินหลันได้ยินเช่นนั้นก็สบายใจ ถามชุ่นฮุ่ยอีกว่า “แล้วสะใภ้ใหญ่ตระกูลเฉินเล่า”
ชุนฮุ่ยตอบ “สะใภ้สามตระกูลเฉินให้บ่าวมาบอกพระชายาองค์รัชทายาท ว่าเรื่องนี้นางอยากจัดการด้วยตนเองเพคะ มิเช่นนั้นนางคงข่มความแค้นไว้ไม่ได้”
ถาวจวินหลันนิ่งไป สุดท้ายก็อดหัวเราะไม่ได้ สมกับนิสัยของถาวซินหลัน แต่เดิมคิดว่าเรื่องนี้ข้องเกี่ยวกับเรื่องภายในครอบครัวของตระกูลเฉิน ถาวซินหลันเป็นลูกสะใภ้ของตระกูลเฉินไม่อาจลงมือและยิ่งไม่ดีที่จะทำมากเกินไป ดังนั้นนางถึงคิดว่าจะลงมือด้วยตนเอง แต่คิดไม่ถึงว่าถาวซินหลันกลับไม่ยอม
ในเมื่อถาวซินหลันอยากระบายความโกรธนี้ด้วยตนเอง นางย่อมไม่ปฏิเสธ จึงตกปากรับคำ “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็ให้นางทำไปเถิด อย่างไรถ้านางจัดการให้สงบไม่ได้ นางเองก็ต้องกลับมาหาข้า ข้าจะไม่เข้าไปผสมโรงด้วยก็แล้วกัน”
เรื่องนี้นางเป็นคนนอกไม่ได้เข้าไปยุ่ง เฉินฮูหยินคงจะยินดียิ่ง พอเป็นเช่นนี้ก็ทำให้ถาวซินหลันประทับใจบ้าง
ถาวจวินหลันคิดว่าแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน อีกทั้งนางยังคิดว่าบางทีถาวซินหลันลงมือกลับทำให้สะใภ้ใหญ่ตระกูลเฉินทรมานมากกว่าตัวนาง สะใภ้ใหญ่ตระกูลเฉินไม่ชอบถาวซินหลันอยู่แล้ว หากรู้ว่าชีวิตของนางอยู่ในกำมือของถาวซินหลัน ไม่รู้ว่าจะทรมานใจเพียงใด
“สะใภ้สามยังพูดอีกว่าฉังเซิงร่างกายอ่อนแอ เกรงว่าหลังจากนี้จะต้องมีคนคอยดูแล นางขอให้ท่านประทานคนไปให้สักสองคนเพคะ” ชุนฮุ่ยพูดยิ้มๆ “จากที่บ่าวเห็น ตระกูลเฉินคงไม่มีทางละเลยฉังเซิงเป็นแน่ แต่สะใภ้สามก็ยังกังวลด้วยว่าเป็นลูกสาว จึงอยากหาวิธีปกป้องฉังเซิงเพคะ”
“ไม่ผิดอะไร” ถาวจวินหลันยิ้ม น้องสาวไม่จำเป็นต้องเกรงใจคนเป็นพี่สาวอย่างนาง ถาวซินหลันทำเช่นนี้ นางกลับยินดีเป็นอย่างมาก แม้ว่าพวกนางสองพี่น้องแยกย้ายแต่งงานออกไป แต่ก็ไม่ได้ห่างเหินกัน ทว่ายังคงสนิทชิดเชื้อกันเหมือนเดิม
ต่อให้ถาวซินหลันไม่ร้องขอ นางเองก็ต้องคิดหาวิธีช่วยเหลือฉังเซิงอยู่ดี ฉังเซิงเป็นหลานสาวคนแรกของนาง นางไม่ช่วยฉังเซิงแล้วนางควรจะไปช่วยใคร?
ส่วนทางด้านหลี่เย่ สุดท้ายก็ตอบถาวจวินหลันกลับมาแค่คำเดียว คือสืบพบแล้วว่าใครออกจากวังไป ในนั้นมีทั้งหมดสามคน แบ่งออกเป็นคนข้างกายจวงผินกู้ซี คนข้างกายฮองเฮาและคนข้างกายจิ้งเฟย
จิ้งเฟยเป็นมารดาแท้ๆ ของอู่อ๋อง หากบอกว่านางลักพาตัวองค์หญิงเก้า อยากบีบบังคับให้ตระกูลถาวทำเรื่องอะไรก็ยังพอเข้าเค้า
แต่ถาวจวินหลันกลับคิดว่าฮองเฮาน่าสงสัยมากที่สุด นอกจากฮองเฮาไม่ถูกชะตากับนางอยู่แล้ว เมื่อวานนี้ฮองเฮาก็ยังพูดข่มขู่นางอีก บอกว่านางจะต้องกลับมาร่วมมือกันเป็นแน่ หากฮองเฮาใช้ชีวิตขององค์หญิงเก้ามาขู่ นางย่อมรับปากเป็นแน่ ดังนั้นฮองเฮาจึงน่าสงสัยที่สุด
สำหรับกู้ซี ถาวจวินหลันคิดว่าเป็นไปไม่ได้ นางกับกู้ซีไม่ได้มีความผิดความแค้นอะไรต่อกัน กู้ซีไม่เห็นต้องลงมือกับองค์หญิงเก้า พอพูดถึงผลประโยชน์ นางกับกู้ซีก็ไม่ได้มีผลประโยชน์เกี่ยวพันกัน ดังนั้นย่อมเป็นไปไม่ได้
ถาวจวินหลันนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง สุดท้ายแล้วก็เก็บความคิดที่อยากจะพุ่งรตรงไปหาฮองเฮา และเลือกรอแทน หากเป็นฮองเฮาจริง คิดว่าคงไม่รอให้นางไปหาถึงที่เป็นแน่ ถ้าจะให้พุ่งไปอย่างไม่รู้เรื่องราว ก็ไม่สู้คิดให้ดีว่าควรใช้วิธีใดถึงจะผลิกสถานการณ์กลับมาได้
นางไม่อาจละเลยองค์หญิงเก้าได้ แต่นางก็ทำตามข้อเสนอของไทเฮาไม่ได้ นางไม่อาจเมินเฉยกับชีวิตของอีกคนเพียงเพราะอยากช่วยองค์หญิงเก้า ชีวิตขององค์หญิงเก้าก็คือชีวิต หรือว่าชีวิตของคนอื่นจะไม่ใช่ชีวิตอย่างนั้นหรือ? แม้ว่าหยวนฉงหวากับคนอื่นๆ จะเคยมีเรื่องไม่ดีกับนางมาก่อน แต่สุดท้ายทั้งหมดก็เป็นอดีตไปแล้ว หยวนฉงหวาเคยช่วยนางมาก่อน นี่เป็นเรื่องจริงที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงบ่าวข้างกายที่ซื่อสัตย์ภักดีข้างกายนางเหล่านี้เลย
ดังนั้นนางทำได้แค่คิดหาวิธีอื่น อย่างเช่นทำเหมือนตอนที่เซิ่นเอ๋อร์ถูกลักพาตัวไป หันกลับมาข่มขู่ฮองเฮากลับ
สิ่งที่ฮองเฮาใส่ใจมากที่สุดคืออะไร? นอกจากอาอู่แล้วก็คือตระกูลหวัง ที่จริงสิ่งที่ฮองเฮาใส่ใจมากที่สุดคือองค์รัชทายาทฮุ่ยเต๋อ แต่องค์รัชทายาทฮุ่ยเต๋อสวรรคตไปแล้ว หากยังไม่เกิดเรื่องกับอี๋เฟยบางทีก็ยังใช้เรื่องระหว่างอี๋เฟยกับองค์รัชทายาทมาข่มขู่ฮองเฮาได้บ้าง แต่ตอนนี้ อี๋เฟยจากไปแล้ว ฐานะของอาอู่ก็ขาดความสำคัญลงไปส่วนหนึ่ง อีกทั้งตอนนั้นคนที่รู้เรื่องของอี๋เฟยกับองค์รัชทายาทฮุ่ยเต๋อคงถูกจัดการไปหมดแล้ว
ตอนนี้ทำอะไรกับอาอู่ไม่ได้ แล้วนางก็ไม่คิดจะทำด้วย เช่นนั้นก็เหลืออย่างเดียว ตระกูลหวัง
ตระกูลหวัง…ถาวจวินหลันครุ่นคิดทั้งบ่าย แต่ก็คิดหาวิธีที่ดีๆ ไม่ได้ แต่นางคิดไม่ออกก็ไม่ได้แปลว่าคนอื่นคิดไม่ออก…อย่างเช่นหลี่เย่
ถาวจวินหลันส่งคนไปเชิญหลี่เย่ให้กลับมาทานอาหาร ทั้งสองคนก็จะได้ปรึกษาเรื่องนี้ว่าควรทำอย่างไร อีกทั้งนางก็สงสารหลี่เย่ กลัวว่าหลี่เย่จะยุ่งหาคนจนไม่กินไม่พัก
ตอนที่หลี่เย่กลับมา หน้าตาก็ดูอ่อนล้า ถาวจวินหลันเห็นก็สงสารเป็นยิ่ง อดต่อว่าหลี่เย่ไม่ได้ “เรื่องหาตัวคนสำคัญก็จริง แต่ท่านก็ควรต้องดูแลตนเองให้ดีด้วยนะเพคะ มิเช่นนั้นท่านเป็นอะรไรไปใครจะจัดการเรื่องนี้เพคะ? ไม่ใช่เด็กอายุสามขวบแล้ว ทำไมถึงยังทำตามใจตนเองเช่นนี้อีก?”
หลี่เย่ถูกถาวจวินหลันตำหนิจนต้องก้มหน้าลงไป แต่พอดูให้ดีแล้ว ก็เห็นได้ไม่ยากว่าริมฝีปากของเขากำลังยกยิ้ม
ถาวจวินหลันเห็นก็ยิ่งโมโห “ยังจะหัวเราะอีก!” ถ้าไม่ใช่เพราะข้างๆ ยังมีคนอยู่ด้วย นางก็อยากหยิกเขาแรงๆ สักทีหนึ่ง ทำให้เขาเข้าใจความรุนแรงของเรื่องนี้เสียที
หลี่เย่รีบรับผิด “เป็นความผิดของข้า” พูดจบก็เอื้อมมือไปจับมือของถาวจวินหลันเอาไว้ ก่อนดึงเอวของนางมาโอบไว้ พูดเสียงเบา “เจ้าให้อภัยข้าเถิด อีกอย่างคนใต้บัญชาจะมีใครมาเป็นห่วงข้าเหมือนเจ้าเล่า? ต่อจากนี้ยังต้องให้เจ้าคอยสอนพวกเขาด้วย”
หากโจวอี้กับหวังหรูได้ยินเขาพูดแบบนี้ พวกเขาคงต้องน้อยอกน้อยใจเป็นแน่ พวกเขาเป็นคนปรนนิบัติรับใช้ข้างกายหลี่เย่ ย่อมไม่กล้าละเลยเขา ไม่ว่ากินข้าวหรืออย่างอื่นก็ดี ต่างก็ทำด้วยใจทั้งนั้น เพียงแต่หลี่เย่ไม่ยอมให้ความร่วมมือเท่านั้นเอง คราวนี้ยังจะมาโทษพวกเขาอีก
ถาวจวินหลันรู้จักโจวอี้กับหวังหรูดี รู้ดีแก่ใจว่าทั้งสองคนนั้นไม่มีทางละเลยเหมือนที่หลี่เย่พูดเป็นแน่ จึงกลอกตามองหลี่เย่ทีหนึ่ง “ท่านพูดมั่วไปเถิดเพคะ หวังหรูกับโจวอี้มีใครบ้างไม่ได้ทุ่มเทปรนนิบัติท่านเพคะ? ตัวท่านเองไม่กินข้าวพักผ่อนให้ดี อย่าไปโทษพวกเขาเลย หากหลังจากนี้ยังเป็นเช่นนี้อีก ข้าจะถามท่านเท่านั้นเพคะ”
หลี่เย่รีบรับผิดเสียงหลง “ได้ๆๆ หลังจากนี้สามีไม่กล้าแล้ว”
เห็นว่าหลี่เย่ไม่จริงจัง ถาวจวินหลันก็กลอกตาใส่เขา แต่ก็พูดแฝงนัย “ทานข้าวเถิด สองวันมานี้ข้าไม่ได้กินข้าวดีๆ เลย คืนนี้ต้องกินข้าวให้ดีสักมื้อ ทานเสร็จแล้วพวกเราค่อยคุยธุระกัน”