บัลลังก์พญาหงส์ - บทที่ 643 โง่เขลา
สุดท้ายแล้วหลี่เย่ก็ไม่ได้รั้งตัวอยู่ที่วังตวนเปิ่น พักอยู่ครู่หนึ่งก็ออกไปข้างนอก ส่วนเรื่องของถาวจวินหลัน หลี่เย่ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ยังเอ่ยปากให้นางหาโอกาสลองเชิงกับฮองเฮาดูสักครั้ง
ที่จริงแล้วจะพูดถึงความยินยอมพอใจ หลี่เย่ก็ไม่ยินดีนัก บางทีเพราะว่าระแวงฮองเฮามาโดยตลอด เขาคิดเสมอว่าวังของฮองเฮาอันตรายเหมือนอุโมงค์มังกรและถ้ำเสือ เขาจึงไม่อยากให้ถาวจวินหลันไปเสี่ยงอันตรายนัก
แต่สถานการณ์ขององค์หญิงเก้าก็ไม่ค่อยดีเท่าไรนัก อย่างไรองค์หญิงเก้ากับเขาก็สนิทชิดเชื้อกัน อีกทั้งยังเป็นสะใภ้ของตระกูลถาว ที่จริงหลี่เย่รู้ดีแก่ใจว่าต่อให้เขาไม่สั่ง ถาวจวินหลันก็ไม่มีทางนั่งนิ่งดูดายเป็นแน่
เขาพูดเช่นนี้สำคัญที่สุดก็เพื่ออยากเตือนให้ถาวจวินหลันระวัง ว่าอย่าได้เผลอประมาทเลินเล่อ
ถาวจวินหลันส่งหลี่เย่ออกประตูใหญ่วังตวนเปิ่นไป แล้วถึงได้กลับไปนอน บางทีพบหลี่เย่แล้วทำให้ใจสงบลง แม้นางยังเครียดเรื่องหาองค์หญิงเก้าไม่พบ แต่ก็ยังถือว่าหลับได้
ถาวจวินหลันคิดว่าฮองเฮาไม่มีทางทำอะไรองค์หญิงเก้าเป็นแน่ ด้วยความคิดเช่นนี้และเพราะเมื่อวานนอนหลับไม่สนิท กลางวันก็ไม่ได้นอนชดเชย ดังนั้นครั้งนี้ถาวจวินหลันจึงนอนหลับสนิทจนท้องฟ้าสว่าง
ตื่นขึ้นมาในเช้าวันรุ่งขึ้น นางถึงพบว่าเลยชั่วยามทำความเคารพไปแล้ว นางตกใจทันที รีบเรียกคนมาถาม “ทำไมปล่อยให้ถึงเวลานี้แล้วเล่า?”
ปี้เจียวเฝ้าอยู่ด้านนอก ได้ยินเช่นนั้นก็รีบยิ้มเดินเข้ามาอธิบายให้ถาวจวินหลันฟัง “พวกบ่าวเห็นท่านหลับสนิทเพคะ จึงบังงอาจตัดสินใจแทน ให้พวกกู่เหลียงตี้กลับไปก่อน บอกว่าสุขภาพของท่านไม่ค่อยดีเท่าไร วันนี้จึงงดเพคะ”
ถาวจวินหลันได้ยินเช่นนั้นก็ปล่อยไป แม้จะบอกว่าทำเช่นนี้ผิดกฎอยู่บ้าง แต่เพียงครั้งเดียวคงไม่เป็นไร แต่ยังคงเอ่ยปากตักเตือน “อย่าให้ครั้งต่อไป”
ปี้เจี้ยวยิ้มกว้างสดใส รีบรับคำ “ไม่มีครั้งต่อไปแล้วเพคะ”
“เอาเถิด มาพยุงข้าหน่อย” นางบิดขี้เกียจเล็กน้อย ก็รู้สึกสดชื่นไปทั้งร่าง ในที่สุดก็ได้นอนเต็มอิ่มเสียที ท่าทีแตกต่างกับเมื่อวานอย่างสิ้นเชิง
ถาวจวินหลันคิดว่าบางทีวันนี้นางควรไปทำความเคารพฮองเฮาสักหน่อย
หลังจากทานอาหารแล้ว ถาวจวินหลันก็ครุ่นคิดเรื่องนี้ แต่ยังไม่ทันคิดอะไรได้ กู่อวี้จือก็มาหานาง
กู่อวี้จือมีท่าทีลนลานเล็กน้อย
ถาวจวินหลันเห็นเช่นนั้นก็อดขมวดคิ้วมุ่นไม่ได้ “เป็นอะไรไป? ลนลานเช่นนี้ คนอื่นเห็นเข้าจะคิดอย่างไร? อย่างไรก็ควรวางท่าสงบเสงี่ยมเสียบ้าง”
กู่อวี้จือคุกเข่าลงไป น้ำเสียงฉายแววสั่นสะท้านและหวาดกลัว “พระชายาองค์รัชทายาท แย่แล้วเพคะ”
ถาวจวินหลันยิ่งขมวดคิ้วมุ่นกว่าเดิม ตำหนิเสียงเบา “เกิดอะไรขึ้นกันแน่? อะไรไม่ดีแล้ว? ทำไมเจ้าถึงเอาแต่อึกๆ อักๆ เช่นนี้?”
เพราะไม่คิดว่าจะเกิดเรื่องใหญ่อะไรในวังตวนเปิ่น ดังนั้นถาวจวินหลันจึงไมได้เก็บไปใส่ใจ อีกทั้งนางยังคิดว่ากู่อวี้จือตื่นตูมไปเอง อีกทั้งเรื่องใหญ่สำหรับกู่อวี้จือ บางทีอาจจะไม่ใช่สำหรับนาง
แต่ประโยคต่อไปของกู่อวี้จือก็ให้ถาวจวินหลันนิ่งอึ้งไป กู่อวี้จือพูดว่า “องค์ชายเก้าแย่แล้วเพคะ! วันนี้ตื่นมาก็เริ่มอาเจียนเป็นเลือด! ตอนนี้ดูแล้วน่าจะไม่รอดเพคะ!”
ถาวจวินหลันฟังจบก็นิ่งเกร็งไปทั้งตัว พอได้สติกลับมาก็ไม่สนใจอย่างอื่น วางตะเกียบลงรีบพุ่งออกไปข้างนอก “เรื่องเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไร? ทำไมไม่มีคนมาบอกข้าสักคำ?” ครู่หนึ่งนางก็รู้สึกผิดปกติ หยุดฝีเท้ามองกู่อวี้จืออย่างเย็นชา “เกิดอะไรขึ้นกันแน่? ทำไมเป็นเจ้ามาบอกข้า? เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับเจ้าอย่างไรกันแน่?”
กู่อวี้จือตกใจอย่างเห็นชัด ถูกถาวจวินหลันถามเช่นนี้ก็ยิ่งตกใจ น้ำตาไหลพราก “พระชายาองค์รัชทายาทเพคะ หม่อมฉันไม่ได้ทำอะไร! เพียงแค่ป้อนขนมชิ้นหนึ่งให้องค์ชายเก้าเท่านั้นเองเพคะ! หม่อมฉันเห็นว่าเขาน่ารัก จึงอยากหยอกล้อเท่านั้น หม่อมฉันไม่ได้ทำอะไรจริงๆ เพคะ!”
ถาวจวินหลันเห็นท่าทีเช่นนี้ของกู่อวี้จือ ก็ไม่อยากอดทนอีก แต่รู้ว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลามาถามหาความ ต้องรีบไปดูองค์ชายเก้าก่อน นางจึงรีบสาวเท้าก้าวออกไปข้างนอกคิดจะไปดูองค์ชายเก้า
กู่อวี้จือรีบลุกขึ้นอย่างกล้าๆ กลัว เดินตามถาวจวินหลันออกไป
แม้จะบอกว่าไม่ได้เดินไกลเท่าไรนัก เวลารวมๆ กันแล้วไม่ถึงครึ่งนาทีพวกถาวจวินหลันก็ได้เห็นองค์ชายเก้า แต่ระหว่างทางนั้นถาวจวินหลันลองคิดถึงสถานการณ์ที่แย่ที่สุดทั้งหมดแล้ว
อย่างแรกที่คิดออกคือวางยา แต่พอคิดดูว่านี่คือวังตวนเปิ่น อีกทั้งกู่อวี้จือก็คงไม่เลอะเลือนถึงเพียงนั้น จึงคิดว่าเป็นไปไม่ได้
อย่างที่สองอาจด้วยท้องไส้ขององค์ชายเก้าบอบบาง รับขนมไม่ไหวถึงได้อาเจียนออกมา แต่นั่นก็ไม่ถึงขั้นอาเจียนเป็นเลือด
อย่างที่สามนั่นคือขนมเสีย พอองค์ชายเก้ากินเข้าไปถึงได้กลายเป็นเช่นนี้ แต่ก็เป็นไปไม่ได้มากนัก ของว่างในวังตวนเปิ่นเปลี่ยนใหม่ทุกวัน ถ้าเปลี่ยนรูปลักษณ์ไปกู่อวี้จือก็ต้องมองออก อีกทั้งต่อให้เป็นเช่นนั้นจริงก็คงไม่ถึงขั้นอาเจียนเป็นเลือด
ความเป็นไปได้ต่างๆ ที่คิดติดต่อกันนั้นถาวจวินหลันปฏิเสธทั้งหมด จนกระทั่งเจอองค์ชายเก้าแล้วก็ยังไม่ได้ข้อสรุป แต่สภาพขององค์ชายเก้าสร้างความตกใจให้นางเป็นอย่างมาก
องค์ชายเก้าที่ร่างกายดูแข็งแรงมาตลอด บวกกับการดูแลดีถึงทั้งขาวและอวบอ้วน ไม่ได้ต่างกับซวนเอ๋อร์ในวัยที่เท่ากันมากนัก เหมือนกับรูปวาดเด็กในปฏิทิน นี่ก็เป็นเหตุผลที่คนรักและเอ็นดูองค์ชายเก้า
แต่ตอนนี้องค์ชายเก้าดูซูบผอม หน้าซีดเซียวเหมือนกระดาษ แม้แต่แรงจะร้องไห้ก็ยังไม่มี เพียงแค่ส่งเสียงร้องงึมงำไม่หยุด แสดงออกว่าตนเองไม่สบาย
แม่นมไม่รู้ว่าจะต้องทำเช่นไรแล้ว เหมือนว่าจะตกใจจนมึนงง คิดว่าตนเองไม่รอดแล้วเป็นแน่ อุ้มองค์ชายเก้าเอาไว้ด้วยท่าทีมึนงงกำผ้าเช็ดหน้าเอาไว้แน่น มีรอยสีแดงเปื้อนกระจายเป็นจุดๆ
ถาวจวินหลันหายใจติดขัดไปทันที แม่นมถือเป็นคนสำคัญขององค์ชายเก้า ไม่ว่าสถานการณ์ใดก็ควรต้องตั้งสติไม่ตื่นตระหนก ถือเรื่องดูแลองค์ชายเก้าเป็นเรื่องสำคัญ แต่องค์ชายเก้าเป็นแบบนี้ไปแล้ว แม่นมยังมัวแต่นิ่งอึ้ง และไม่คิดจะมาหานาง กลายเป็นกู่อวี้จือที่ต้องมาหานางแทน อีกทั้งนางไม่ได้กลิ่นยา ก็รู้ว่ายังได้เชิญหมอหลวงมาด้วยซ้ำ
นางกำนัลเล็กที่ร้องไห้จนตาแดงก่ำ ตอบด้วยความขลาดกลัว “ยังไม่ได้…”
ถาวจวินหลันทนไม่ไหวอีกต่อไป สูดลมหายใจเข้าลึก ตำหนิเสียงดัง “แม้แต่หมอหลวงก็ยังไม่เชิญ พวกเจ้ายืนบื้ออยู่ทำไมกัน? ยังไม่รีบไปเชิญอีก! มีกันตั้งมากมาย หรือแม้แต่เรื่องนี้ก็ไม่มีใครคิดได้เลยหรือ?!”
ถาวจวินหลันโกรธจัด องค์ชายเก้ากลายเป็นเช่นนี้ ไม่ได้เกิดขึ้นอย่างฉับพลัน จะต้องมีระยะเวลาทิ้งห่างเป็นแน่ แต่เพิ่งจะมีคนไปแจ้งข่าวนาง นี่หมายความว่าอย่างไรกัน?
ถาวจวินหลันหงุดหงิดยิ่ง หากรู้ว่าคนพวกนี้ไม่น่าเชื่อถือขนาดนี้ นางก็ไม่ควรเก็บไว้ให้ดูแลปรนนิบัติข้างกายองค์ชายเก้า ตอนนั้นคิดว่าอย่างไรก็เป็นคนที่องค์ชายเก้าอยู่ด้วยจนชิน และเป็นคนที่อี๋เฟยทิ้งไว้ บวกกับองค์ชายเก้ามาอยู่กับนางเพียงชั่วคราวเท่านั้น หากนางคิดจะเปลี่ยนคนก็ไม่รู้คนอื่นจะพูดอย่างไร ดังนั้นนางจึงใช้ตามเดิม ไม่เข้าไปยุ่งแม้แต่น้อย
แต่พอดูเรื่องที่เกิดขึ้นแล้ว หากตอนนั้นนางเปลี่ยนสักคนสองคน ก็คงไม่เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น
แต่หงุดหงิดไปก็เท่านั้น ถาวจวินหลันหน้าดำคร่ำเคร่ง ฝืนข่มความโกรธเอาไว้ มองแม่นมนิ่ง “เจ้าพูดมา เกิดอะไรขึ้นกับองค์ชายเก้า?”
สุดท้ายเสียงของถาวจวินหลันก็ปลุกแม่นมให้ได้สติ แต่พอแม่นมได้สติกลับมา มองเห็นสายตาของถาวจวินหลันก็ตกใจจนตัวสั่นไปทันที คุกเข่าลงไปฉับพลัน คิดจะโขกหัวโดยไม่สนใจว่ายังอุ้มองค์ชายเก้าอยู่ในอ้อมแขน “บ่าวสมควรตายเพคะ บ่าวสมควรตาย! ขอพระชายาองค์รัชทายาทโปรดไว้ชีวิตบ่าวด้วยเถิดเพคะ! บ่าวไม่ได้ตั้งใจเพคะ! บ่าวไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นเพคะ!”
ถาวจวินหลันทนไม่ไหว แย่งองค์ชายเก้าจากมือแม่นมมาอุ้มไว้เอง เหลือบมองแม่นมอย่างเย็นชา “ข้ามอบหน้าที่ดูแลองค์ชายเก้าให้เจ้า ก็ด้วยเชื่อใจเจ้า แต่พอถามเจ้ากลับปฏิเสธอย่างเดียว ข้าไม่รู้แล้วว่าจะเก็บเจ้าเอาไว้ทำไม! ลากออกไป เค้นถามมาให้ได้ หากไม่รู้อะไรจริงๆ ก็โบยให้ตายไปเลย!”
นางรู้ว่าแม่นมตกใจจริงๆ แต่จะตกใจอย่างไรก็ไม่ควรมีท่าทีเช่นนี้ อีกทั้งดูจากสถานการณ์นี้แล้ว หากไม่ข่มขวัญคนพวกนี้ เกรงว่าแต่ละคนคงจะ ‘ไม่รู้เรื่องอะไรเลย’ กระมัง
ตามที่คาดไว้ พอได้ยินว่าให้โบยจนตาย ดวงตาล่อกแล่กของแม่นมก็เปลี่ยนเป็นหวาดกลัวทันที สลัดท่าทีก่อนหน้านี้ไปทันที ตะโกนออกมาเสียงดัง “ไม่ ไม่ ไม่ใช่หม่อมฉันเพคะ! เป็นกู่เหลียงตี้ กู่เหลียงตี้ต้องการทำร้ายองค์ชายเก้าเพคะ! ไม่รู้ว่านางเอาอะไรให้องค์ชายเก้ากิน เขาถึงได้กลายเป็นเช่นนี้เพคะ!”
เห็นแม่นมยอมพูด ถาวจวินหลันก็หัวเราะเสียงเย็น “ต่อให้กู่เหลียงตี้ให้ของกินจริง ต่อให้มีพิษจริง หรือว่าจะออกฤทธิ์ทันทีอย่างนั้นหรือ? หรือว่าเร็วทันใจเพียงนั้นเชียวหรือ? ตอนที่เพิ่งออกอาการ พวกเจ้าทำอะไรกัน? ต้องรอจนหนักถึงมารายงานหรืออย่างไร?!”
แม่นมกระอึกกระอักอธิบายอะไรไม่ออกแม้แต่คำเดียว
ถาวจวินหลันจึงออกคำสั่ง “ลากออกไป โบยให้ตาย สะเพร่าเช่นนี้เก็บไว้ก็ไร้ประโยชน์”
แม่นมร้อนรน รีบพูดว่า “ไม่ใช่ว่าพวกเราไม่ยอมรายงาน และไม่ได้จงใจยืดเวลา แต่เพราะกู่เหลียงตี้ไม่ให้พวกเราบอกพระชายาองค์รัชทายาท และไม่ยอมให้พวกเราไปเชิญหมอหลวงมาเพคะ! นี่ไม่ใช่ความผิดของบ่าวนะเพคะ!”
ถาวจวินหลันได้ยินเช่นนั้นก็มองไปทางกู่อวี้จือทันที เห็นนางรีบก้มหน้าลงอย่างร้อนรน ก็เข้าใจทันทีว่าแม่นมพูดความจริง จึงถลึงตาใส่กู่อวี้จืออย่างโมโห ไม่ได้เรื่องชอบทำให้เสียการ! นี่กำลังทำอะไรอยู่กันแน่?!
แน่นอน นางเข้าใจว่าทำไมกู่อวี้จือถึงได้ทำเช่นนี้ เพียงแค่กลัวคนอื่นรู้แล้วตนจะต้องรับโทษเท่านั้นเอง แต่กู่อวี้จือไม่คิดว่าหากเรื่องนี้ร้ายแรง ใครจะมาแบกความรับผิดชอบนี้ไหว! ไม่ต้องพูดถึงกู่อวี้จือแม้แต่นางก็แบกความรับผิดชอบนี้เอาไว้ไม่ไหว!
ก่อนหน้านี้ถาวจวินหลันยังคิดว่ากู่อวี้จือฉลาดอยู่บ้าง ถึงได้ให้ความสำคัญอยู่บางส่วน แต่คิดไม่ถึงว่ากู่อวี้จือจะทำเรื่องเช่นนี้! นางไม่รู้จริงๆ ว่าควรพูดว่ากู่อวี้จือฉลาดหรือโง่เขลาดี