บัลลังก์พญาหงส์ - บทที่ 648 ตกใจ
มองดูท่าทีเช่นนี้ของฮ่องเต้ ขอแค่กู้ซีไม่ได้พูดข้อแม้ที่มากเกินไป ฮ่องเต้ก็คงจะต้องตอบตกลงอย่างแน่นอน
ถาวจวินหลันมองหลี่เย่ทีหนึ่ง ในใจนั้นคาดเดาอารมณ์ของเขา ไม่รู้ว่าเขาเห็นภาพนี้แล้วในใจจะรู้สึกเสียใจหรือไม่? กู้ซีไม่เพียงแค่มีหน้าตาคล้ายกู้กุ้ยเฟย ทั้งยังเกือบจะเป็นผู้หญิงของตน…
ไม่ต้องพูดถึงหลี่เย่ แม้แต่นางดูในตอนนี้ ก็รู้สึกแปลกใจ นี่ถือว่าเกิดอะไรขึ้น?
แต่พอมาคิดดูให้ดี ไม่ว่ากู้ซีจะได้รับความโปรดปรานหรือไม่ ก็ไม่ได้เกี่ยวกับนางมากนัก อย่างน้อยก็ไม่ต้องแก่งแย่งชิงดีกัน หลังจากนี้ยิ่งไม่ต้องพูดถึง ดังนั้นนางเพียงทำเป็นมองไม่เห็นก็พอแล้ว
แต่นางพลันนึกถึงคำพูดของไทเฮา กู้ซีเปลี่ยนไปมาก ไทเฮาไม่ได้พูดผิดเลยแม้แต่น้อย ไม่ต้องพูดถึงไทเฮา ตอนนี้นางก็ไม่ชอบกู้ซีเท่าไรแล้ว
โดยเฉพาะคิดถึงการกระทำทั้งหลายของกู้ซีในวันนี้ นางยิ่งรู้สึกเบื่อหน่ายและรังเกียจ
ตอนที่ความคิดของถาวจวินหลันตีกันยุ่งเหยิงในหัว กู้ซีก็เอ่ยปากพูด “ที่จริงแล้วเอาองค์ชายเก้ามาเลี้ยงอยู่ที่วังตวนเปิ่นคงไม่ค่อยเหมาะสม ไม่ต้องพูดถึงว่าพระชายาองค์รัชทายาทมีลูกหญิงชายต้องเลี้ยงดูอยู่แล้ว ย่อมไม่อาจแบ่งเวลามาดูแลองค์ชายเก้าได้ แต่เดิมก็ไม่ควรเลี้ยงองค์ชายเก้าไว้ในวังตวนเปิ่นอยู่แล้ว ฮ่องเต้ทรงคิดว่าจริงหรือไม่เพคะ?”
ฮองเฮาได้ยินเช่นนั้นก็เอ่ยปากพูดเสริม “นี่เป็นเรื่องจริง ก่อนหน้านี้ร่างกายของหม่อมฉันไม่ดี มีเรี่ยวแรงไม่มากพอ จึงไม่ได้คิดถึงเรื่องเหล่านี้ พอจวงผินพูดเช่นนี้ก็เห็นว่าจริงอย่างว่า ให้พระชายาองค์รัชทายาทเลี้ยงดูองค์ชายเก้าคงไม่เหมาะสมจริงๆ เพคะ”
หลังจากถาวจวินหลันได้ยินเช่นนั้นก็หรี่ตาลงทันที กู้ซีกับฮองเฮาเข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยเช่นนี้คิดจะทำอะไรกันแน่? นางพอจะเดาความคิดของฮองเฮาได้บ้าง องค์ชายเก้าอยู่กับนางที่นี่ ฮองเฮายื่นมือเข้ามายุ่งไม่ได้ ย่อมไม่มีทางลงมือกับองค์ชายเก้าได้ ดังนั้นเปลี่ยนที่ให้องค์ชายเก้าถือว่าเป็นเรื่องดียิ่ง อย่างน้อยก็ลงมือได้ง่าย
แต่นางกลับไม่เข้าใจความตั้งใจของกู้ซี พอคิดถึงการกระทำทุกสิ่งอย่างของกู้ซีในวันนี้ นางก็ยิ่งรู้สึกแปลกพิลึก กู้ซีวันนี้ดูมีความคิดจะตั้งตนเป็นปฏิปักษ์ต่อนาง
ถาวจวินหลันมองกู้ซีทีหนึ่ง กู้ซีกลับมองฮ่องเต้อย่างตั้งอกตั้งใจ สีหน้าอ่อนโยนและเขินอาย
อาจด้วยผู้ชายส่วนใหญ่ล้วนชอบผู้หญิงประเภทนี้ ตอนที่ฮ่องเต้มองกู้ซี ท่าทีก็อ่อนโยนลงมาก “จวงผินพูดถูก แต่มอบให้คนอื่นเลี้ยงข้าก็คิดว่าไม่เหมาะ…”
พระสนมที่มีตำแหน่งสูงหน่อยหลายคนล้วนมีลูกชายของตนเอง จิ้งเฟย อี้เฟยและซูเฟยล้วนมีลูกชาย นอกจากฮองเฮา มอบให้ฮองเฮาไปเลี้ยงฮ่องเต้ย่อมไม่พอใจ ดังนั้นจึงลำบากใจอยู่เล็กน้อย
กู้ซีกลับพูดอย่างเขินอาย “หากฮ่องเต้ทรงไว้วางใจ มอบให้หม่อมฉันลอง…”
คำพูดของกู้ซีดังออกไป ทันใดนั้นทุกคนก็มองนางเป็นตาเดียวกัน แม้จะบอกว่ากู้ซีพูดปูทางมาบ้างแล้ว จึงไม่ได้ดูกะทันหันเกินไป แต่ทุกคนก็ยังอดตกใจไม่ได้
ใครก็คิดไม่ถึงว่ากู้ซีจะพูดประโยคเช่นนี้ออกมา ช่างไม่เกรงใจเป็นที่ยิ่ง! โยนเรื่องอื่นออกไปไม่ต้องพูดถึง องค์ชายเก้าในสายตาของคนอื่นนั้นเป็นองค์ชายที่แท้จริง เป็นสายเลือดของตระกูลหลี่ ดังนั้นสามารถเลี้ยงดูองค์ชายได้ การที่เป็นพระสนมนั้นย่อมถือว่าไม่เหมือนกันแล้ว ต่อให้ตำแหน่งไม่ได้สูงขึ้น แต่นั่นก็ไม่เหมือนกัน
ต่อให้เป็นแค่แม่เลี้ยงแล้วจะทำไม? ในอนาคตหลังจากองค์ชายเก้าโตขึ้นก็ยังต้องกตัญญูไม่ใช่อย่างนั้นหรือ? แม้ว่าองค์ชายเก้าในอนาคตจะเป็นได้แค่ท่านอ๋อง แต่นั่นก็ถือว่ามีลูกชายแล้ว
พระสนมในวังหลังความแตกต่างระหว่างมีลูกชายและไม่มีลูกชายนั้นใหญ่โตมากนัก
และยิ่งไปกว่านั้นองค์ชายเก้าเป็นลูกหลงของฮ่องเต้ ฮ่องเต้ย่อมให้ความสำคัญอยู่หลายส่วน แม่ได้ดีเพราะลูกก็มีมาก หากฮ่องเต้รับปากเรื่องนี้ เช่นนั้นจากความโปรดปรานที่กู้ซีได้รับ นางกับองค์ชายเก้าจะต้องมีประโยชน์ซึ่งกันและกันเป็นแน่
จากฐานะของกู้ซีแล้ว นางพูดคำขอเช่นนี้ ก็ให้คนอื่นตื่นตะลึง กู้ซีเพิ่งเข้าวังมาได้นานเท่าไรกัน? ตำแหน่งก็ไม่ได้สูง…นางเอ่ยปากพูดเช่นนี้ได้ ก็ด้วยต้องการความโปรดปรานจากฮ่องเต้เป็นหลักมิใช่หรืออย่างไร? แต่ต่อให้เป็นเช่นนี้ นี่ก็ออกจะเหิมเกริมเกินไปเสียหน่อย
ที่สำคัญที่สุดก็คือ กู้ซีพูดเปิดเผยแผนการทั้งหมดอกมาแล้ว กู้ซื่อช่างกล้าหาญเสียจริง
ฮ่องเต้มองกู้ซี เห็นกู้ซีค่อยๆ ก้มหัวลงไป คล้ายอึดอัดใจและประหม่า ใบหน้าเริ่มแดงก่ำ ผ่านไปครู่หนึ่งก็พูดอย่างขลาดกลัว “หม่อมฉันเพียงแค่พูดเท่านั้นเพคะ ฮ่องเต้ทรงอย่าเก็บไปใส่ใจ…”
น้ำเสียงของกู้ซีฉายแววสะอื้น คล้ายจะร้องไห้ในที
ฮ่องเต้ยิ้มบาง ยื่นมือออกไปจับนิ้วเรียวยาวดั่งหยกขาวของกู้ซี ตบเบาๆ แฝงไว้ด้วยความรักใคร่ “เจ้าช่างขี้ขลาดนัก กว่าจะกล้าได้เช่นวันนี้ ไม่ทันไรก็กลับไปเป็นเหมือนเดิมเสียแล้ว”
น้ำเสียงอ่อนโยนของฮ่องเต้ ฟังแล้วให้รู้สึกคล้ายผ่อนปรนกับเรื่องนี้
กู้ซีเงยหน้าขึ้นด้วยความตื่นตกใจ ในดวงตาเป็นประกายยินดี จนในดวงตาเป็นประกายระยิบระยับ นางพูดอย่างขัดเขินทั้งตกใจทั้งยินดี “ฮ่องเต้…”
“ฮองเฮา เจ้าว่าอย่างไร?” ฮ่องเต้ไม่ได้อนุญาตในทันใด แต่กลับถามฮองเฮาก่อน
ฮองเฮาเก็บอาการตกใจ พูดยิ้มๆ ว่า “นั่นเป็นบุตรชายของพระองค์ ย่อมต้องให้พระองค์ตัดสินใจเพคะ แต่หม่อมฉันคิดว่าจวงผินไม่เคยคลอดและเลี้ยงเด็กมาก่อน นางไม่มีประสบการณ์ เกรงว่า…”
ฮองเฮาพูดคล้ายไม่ค่อยเห็นด้วยนัก แต่แฝงความไม่เห็นด้วยเพียงน้อยนิดเท่านั้น ที่มากไปกว่านั้นคือความเป็นกังวลเล็กน้อย และความเชื่อฟังเท่านั้นเอง มิเช่นนั้นฮองเฮาคงจะไม่พูดว่า ‘ย่อมต้องให้ฮ่องเต้ตัดสินใจ’
อีกทั้งการเตือนของฮองเฮานั้นก็เป็นข้อหยิบยกข้อดีออกมา ทั้งทำครบหน้าที่ของตนเอง แล้วยังทำให้คนอื่นไม่อาจจับประสงค์ร้ายของนางได้ แล้วยังเป็นการเตือนฮ่องเต้ถึงข้อเสียของเรื่องนี้
ถาวจวินหลันคิดว่าถ้านางเป็นฮ่องเต้ จะต้องคิดว่าฮองเฮาเป็นคนดีมากแน่นอน รู้จักกาลเทศะ มองถึงภาพรวม จนคนคนฟังรู้สึกสบายใจ มิน่าฮ่องเต้ถึงได้มีหน้าตายิ้มแย้มท่าทีอ่อนโยนกับฮองเฮามาโดยตลอด
ฮ่องเต้นิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ เหมือนจะลังเลตัดสินใจไม่ได้
กู้ซีจึงพูดเสียงเบา “แม้หม่อมฉันไม่เคยคลอดและเลี้ยงเด็กมาก่อน แต่ความรักใคร่ที่มีให้องค์ชายเก้ากลับเหมือนกัน หม่อมฉันจะเรียนรู้ดูแลองค์ชายเก้าให้ดีเป็นแน่เพคะ”
แม้จะบอกว่าไม่ได้พูดขอร้องฮ่องเต้ตรงๆ แต่ก็แสดงให้เห็นถึงการตัดสินใจของนาง
เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ฮ่องเต้ก็ตัดสินใจทันที “เช่นนั้นก็ดี ตามนี้ก็แล้วกัน รอฤกษ์งามยามดีไม่สู้วันบังเอิญ วันนี้เอาองค์ชายเก้ากลับไปเลี้ยงที่วังเจ้าเถิด” หยุดไปครู่หนึ่ง ฮ่องเต้มองไปที่ฮองเฮาอีกครั้ง “ไม่ได้ปรับเปลี่ยนตำแหน่งในวังหลังมานานแล้ว ตอนนี้ตำแหน่งเฟยทั้งสี่ว่างไปหนึ่งคน ให้แต่งตั้งจวงผินขึ้นเป็นจวงเฟย ส่วนคนอื่นก็ให้ฮองเฮาตัดสินใจดูแล้วกัน”
พอพูดจบฮ่องเต้ก็คิดจะลุกขึ้นเดินจากไป
แต่หลี่เย่กลับเอ่ยปากพูดขวางไว้ “เสด็จพ่อพูดเรื่องนี้ขึ้นมา ลูกคิดจะขอความชอบให้น้องเจ็ดพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ชะงักฝีเท้าลง “ว่ามา” ตอนที่พูดกับกู้ซีนั้นฮ่องเต้ยังพอมีท่าทีอบอุ่นอยู่บ้าง แต่เมื่อรับมือกับหลี่เย่กลับดูเย็นชาเข้มงวดกว่ามาก ความแตกต่างระหว่างเรื่องนี้คนที่มีตานั้นมองเพียงแวบเดียวก็มองออก
หลี่เย่ไม่สนใจนัก คล้ายมองไม่เห็น สีหน้าท่าทางยังนิ่งเฉยไม่เปลี่ยน เพียงแค่พูดว่า “คราวนี้น้องเจ็ดต้องเจอความลำบากไม่น้อย ผลงานที่สร้างไว้ย่อมไม่ต้องพูดถึง น้องเจ็ดไม่ได้มีความชอบอื่น ประทานเงินทองก็ดี ยศถาบรรดาศักดิ์ก็ดี ยังไม่เห็นว่าเขาจะชอบเป็นพิเศษ ในเมื่อเสด็จพ่อคิดจะปฏิวัติวังหลวง ไม่สู้แต่งตั้งอี้เฟยเหนียงเหนียงเป็นกุ้ยเฟย เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ถือว่าประทานรางวัลแก่น้องเจ็ดแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ถาวจวินหลันได้ยินหลี่เย่ตั้งใจพูดถึงอี้เฟย นิ่งอึ้งอยู่สักพักก็เข้าใจความคิดของเขา ยกอี้เฟยให้เป็นกุ้ยเฟย ถือว่าเลี้ยงคนเพื่อให้อยู่ในฐานะเท่าเทียม และตั้งป้อมประจันหน้ากับฮองเฮา ไว้ข่มกู้ซีและพระสนมโปรดปรานที่ถูกแต่งตั้งขึ้นมาใหม่ อีกทั้งยังเปิดตำแหน่งเฟยให้ว่างอีกหนึ่งตำแหน่ง ถึงเวลานั้นก็ให้อิงผินแม่แท้ๆ ขององค์หญิงแปดแต่งตั้งขึ้นเป็นเฟยได้
แน่นอนว่าข้อดีที่ตรงไปตรงมาที่สุดก็คือฐานะขององค์ชายเจ็ดที่ข้ามหน้าองค์ชายคนอื่นไป ยิ่งมีเกียรติมากยิ่งขึ้น และองค์ชายเจ็ดก็ยืนหยัดที่จะปกป้องหลี่เย่ นี่ก็ถือเป็นข้อดีข้อใหญ่ของวังตวนเปิ่น
ฮ่องเต้มองหลี่เย่อย่างเข้มขรึม สุดท้ายก็พูดออกมาเรียบๆ “ไม่เสียดายแรงสนับสนุนที่เจ้าเจ็ดมีต่อเจ้า ในเมื่อเจ้าพูดขึ้นมาแล้ว ก็จัดการเรื่องนี้ตามนั้นเถิด”
สำหรับองค์ชายเจ็ดองค์ชายที่ได้รับความเอ็นดูมานาน ฮ่องเต้ยังคงรักใคร่เป็นอย่างมาก ดังนั้นจึงไม่ได้มีต่อต้าน เพราะอย่างไรคราวนี้องค์ชายเจ็ดก็ลำบากไม่น้อย ฮ่องเต้ยังคิดจะชดเชยให้องค์ชายเจ็ดอยู่เช่นกัน
เมื่อฮ่องเต้จากไปแล้ว กู้ซีและคนอื่นๆ ย่อมไม่รั้งตัวอยู่นาน แต่กู้ซีนั้นยิ้มและพูดกับถาวจวินหลันว่า “ขอพระชายาองค์รัชทายาทรีบส่งตัวองค์ชายเก้าไปที่วังของข้าโดยเร็วที่สุดเถิด”
วันนี้กู้ซีถือว่าได้รับทั้งชื่อเสียงและผลประโยชน์ นางได้รับผลดีทั้งหมดไปแล้ว นางจึงอารมณ์ดีเป็นมาก รอยยิ้มก็สดใสขึ้นหลายส่วน
แต่ถาวจวินหลันมองเห็นรอยยิ้มสดชื่นของกู้ซี กลับรู้สึกว่าต้องการหาเรื่องและสะใจเต็มเปี่ยม จึงยิ้มกลับไป “ยังไม่ทันได้แสดงความยินดีกับจวงผินเหนียงเหนียง ข้าขอแสดงความยินดีกับจวงผินเหนียงเหนียงตรงนี้เพคะ” ปากพูดว่ายินดี แต่น้ำเสียงกลับนิ่งสงบ รอยยิ้มก็เพียงยิ้มส่งๆ ไปเท่านั้นเอง
แต่ด้วยกังวลเรื่องขององค์ชายเก้า นางถึงได้พูดออกมาอีก “ขอจวงผินเหนียงเหนียงดูแลองค์ชายเก้าให้ดีด้วยเถิดเพคะ”
จวงผินยังยิ้มกว้างดังเดิม “ในเมื่อเป็นลูกของข้า ข้าก็ต้องดูแลสุดความสามารถอยู่แล้ว พระชายาองค์รัชทายาทวางใจเถิด”
ถาวจวินหลันอดเบนสายตาออกจากจวงผินไม่ได้ มิเช่นนั้นนางเกรงว่าคงต้องพูดเย้ยหยันไปเสียหน่อย ท่าทีของจวงผินช่างดูลำพองใจมากเหลือ จนคนเห็นแล้วอึดอัดใจยิ่งนัก
ถาวจวินหลันแต่เดิมไม่คิดจะพูดอะไรกับจวงผินอีกแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าจวงผินจะอมยิ้ม พูดว่า “พูดไปแล้ว ข้ายังต้องขอบคุณพระชายาองค์รัชทายาท เพราะในที่สุดฝันข้าก็กลายเป็นจริง”
ถาวจวินหลันใจกระตุก มองดูรอยยิ้มของจวงผิน พูดออกมาเรียบๆ “จวงผินเหนียงเหนียงสำเร็จสมปรารถนา ไฉนเลยจะเป็นผลงานของข้าเล่า”
จวงผินหุบยิ้มทันที หันกลับไปทำท่าคล้ายไม่สนใจ แสร้งทำเป็นไม่ได้ได้ยิน เดินออกไปทันที
ถาวจวินหลันมองแผ่นหลังของจวงผิน อดหรี่ตาลงไม่ได้
ผ่านไปครู่ใหญ่นางถึงได้เบนหน้ามาถามหลี่เย่ “องค์รัชทายาทคิดว่า เรื่องนี้น่าสงสัยบ้างหรือไม่เพคะ?”
หลี่เย่ไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่พยักหน้าน้อยๆ จากนั้นก็หมุนตัวกลับเข้าห้องไป ถาวจวินหลันเดินตามไปช้าๆ คิดถึงกู่อวี้จือขึ้นมาจึงได้ถามหงหลัวว่า “กู่เหลียงตี้เป็นอย่างไรบ้าง?”
การโบยตีของกู่อวี้จือนั้นยังไม่สิ้นสุด อย่างไรหลี่เย่ก็กลับมาแล้ว ฮ่องเต้เองก็ยอมลดบทลงโทษ จึงรักษาชีวิตของกู่อวี้จือเอาไว้ได้ แต่ก็โดนไม้โบยเจ็บหนักอยู่ดี