บัลลังก์พญาหงส์ - บทที่ 649 วางแผน
กู่อวี้จือไม่ได้เป็นอะไรมา เพียงแต่ต้องนอนนิ่งรักษาตัวอยู่บนเตียงเท่านั้น
แต่ในเมื่อไม่ได้เป็นอะไรมาก ถาวจวินหลันย่อมไม่ได้ใส่ใจมากเกินไป ที่จริงแล้วพูดง่ายๆ ก็คือกู่อวี้จือได้รับโทษเช่นนี้ ก็เพราะหาเรื่องใส่ตัว ไม่จำเป็นต้องไปสงสารนาง
กลับเป็นกู้ซี ถาวจวินหลันลองมานั่งคิดพิจารณาให้ดี แต่ยิ่งครุ่นคิดมากเท่าไรในใจก็นางก็ยิ่งรู้สึกแปลก สุดท้ายก็พูดกับหลี่เย่ว่า “ข้าคิดว่าเรื่องวันนี้ไม่ใช่เหตุบังเอิญ เหมือนมีคนวางแผนมาดีแล้วเพคะ”
หลี่เย่กำลังดื่มชาอยู่ ได้ยินเช่นนั้นก็ส่งเสียงหัวเราะเบาๆ ถือเป็นการให้คำตอบ สุดท้ายกลับพูดว่า “เช่นนี้ก็ดีเหมือนกัน เด็กคนนั้นจะมาเลี้ยงอยู่ที่วังตวนเปิ่นตลอดก็ไม่ถูกต้อง ในเมื่อนางอยากเลี้ยง ก็โยนให้นางพอแล้ว ไม่ว่าอย่างไรสุดท้ายแผนการของนางก็เป็นจริงไม่ได้”
กู้ซีไม่รู้ตัวตนที่แท้จริงขององค์ชายเก้า ตอนนี้ย่อมต้องดีใจเป็นพิเศษ แต่เมื่อดูจากคนที่รู้ฐานะตัวตนขององค์ชายเก้าเช่นพวกเขา กู้ซีย่อมต้องคว้าน้ำเหลว ไม่ได้รับผลสำเร็จใดๆ กลับมา
หากเป็นองค์ชายธรรมดาก็ยังได้ตำแหน่งอ๋องมาบ้าง แต่องค์ชายเก้าไม่ต้องพูดแม้แต่ตำแหน่งท่านอ๋อง แม้แต่คนธรรมดายังเป็นไม่ได้ แล้วยังบอกไม่ได้ด้วยซ้ำไปว่าจะสิ้นพระชนม์เมื่อไร กู้ซีจะไม่ได้รับอะไรจากตัวองค์ชายเก้าแม้แต่น้อย
ตอนที่กำลังคิดเรื่องนี้อยู่ หลี่เย่ก็เอ่ยพูดเสียงทุ้ม “อีกไม่นานคงหาองค์หญิงเก้าพบแล้ว”
ถาวจวินหลันได้ยินเช่นนั้นก็เลิกคิดเรื่องอื่นอีก จับแขนเสื้อของหลี่เย่เอาไว้ ถามว่า “จริงหรือเพคะ?”
หลี่เย่ปรากฏรอยยิ้มขบขัน พยักหน้า “เรื่องจริงแน่ยอย หรือข้ากล้าเอาเรื่องนี้มาล้อเล่นกับเจ้าเล่า?”
เรื่องนี้ย่อมไม่อาจเอามาล้อเล่นได้ ถาวจวินหลันจึงหัวเราะยินดี “รีบพูดเร็วเพคะ จะหาเจอได้อย่างไรเพคะ?” ในเมื่อหลี่เย่บอกว่าใกล้จะเจอแล้ว เช่นนั้นก็หมายความว่าเขาต้องมั่นใจเป็นมาก นางจะไม่ดีใจได้อย่างไร
หลี่เย่ยิ้มบ้างๆ หยิบแป้งกรอบดอกเหมยขึ้นมากัดไปคำหนึ่ง พูดว่า “เจ้าลองเดาดู” ทว่าเขากลับจงใจหยอกล้อ พูดจาอิดออด
ถาวจวินหลันร้อนใจเหมือนถูกแมวข่วน แต่ดูจากท่าทีของหลี่เย่ นางก็รู้ว่าเขาจะต้องรอให้นางขอร้องเขาเป็นแน่ จึงจงใจพูดว่า “ไม่บอกก็แล้วแต่ท่าน หาคนกลับมาได้ก็พอแล้ว”
หลี่เย่หุบยิ้มทันที “จะปล่อยไปจริงหรือ? ไม่อยากรู้แล้วหรือ? ถ้าเช่นนั้นข้าออกไปได้แล้วใช่หรือไม่?”
พอได้ยินว่าหลี่เย่ยังต้องออกไป ถาวจวินหลันพลันก็เสียใจมากกว่าเดิม นางจะไม่อยากรู้ได้อย่างไร? แต่นางแค่ไม่อยากให้หลี่เย่ลำพองใจเท่านั้นเอง โดยเฉพาะมองดูท่าทีเช่นนั้นของหลี่เย่ ก็รู้ว่าในใจของเขาจะต้องมีแผนการอยู่แน่
ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายนางก็ทำได้แค่ยอมแพ้ “ถ้าเช่นนั้นท่านต้องการอะไรถึงจะยอมพูดเพคะ?”
หลี่เย่หัวเราะพอใจในทันใด จากนั้นก็พูดว่า “ข้าจำได้ว่าตอนฤดูใบไม้ผลิเจ้าเก็บดอกท้อเอาไว้ใช่หรือไม่? เอามาทำวุ้นดอกท้อเถิด”
ถาวจวินหลันไม่ค่อยเชื่อ “ง่ายเช่นนี้หรือเพคะ?”
หลี่เย่มองถาวจวินหลันทีหนึ่ง เห็นนางมีท่าทางแคลงใจสงสัยก็ส่งเสียงหัวเราะทันที “ทำไมหรือ เจ้าคิดว่าข้าจะยกข้อเสนออะไรหรือ? แค่นี้ก็พอแล้ว ส่วนอย่างอื่น…ไฉนเลยข้าจะเป็นจอมวายร้ายบีบบังคับคนอ่อนแอกว่าเล่า?” พูดจบแล้วยังขยิบตาให้กับถาวจวินหลันอย่างเจ้าเล่ห์
ถาวจวินหลันหน้าแดงก่ำ คิดจะถลึงตามองหลี่เย่ แต่ก็คิดว่าจริงๆ แล้วไม่ใช่ความผิดของหลี่เย่ เป็นนางที่คิดมากไป แต่ถ้าไม่ถลึงตาใส่เขา นางก็คงรู้สึกไม่พอใจ สุดท้ายก็เพียงแค่พูดเร่งเบาๆ อย่างเขินอาย “รีบบอกเร็วเพคะ!”
หลี่เย่ก็ไม่ได้ยืดยาดอีก เพียงแค่พูดออกมาสองคำ “หมอตำแย”
หลังจากถาวจวินหลันได้ยินก็ต้องนิ่งอึ้งไป จากนั้นก็เข้าใจความหมายของหลี่เย่ องค์หญิงเก้าใกล้คลอดแล้ว ในเมื่ออีกฝ่ายลักพาตัวองค์หญิงเก้าไป เช่นนั้นย่อมต้องเก็บไว้เพื่อประโยชน์ ย่อมไม่ทำเรื่องเป็นอันตรายต่อองค์หญิงเก้า ดังนั้นหากไม่คิดจะคืนองค์หญิงเก้ามาในเร็ววัน เช่นนั้นย่อมต้องหาหมอตำแยเตรียมไว้ให้องค์หญิงเก้าเป็นแน่
หมอตำแยมีชื่อในเมืองหลวงก็มากมาย แต่อย่างไรก็ต้องมีขีดจำกัด ไล่สืบไปทีละคน คอยจับตาดูก็จะต้องได้ผลเป็นแน่
นี่ถือเป็นวิธีที่ดี อีกทั้งดูจากท่าทีของหลี่เย่ เกรงว่าวิธีนี้คงจะได้ผลดีทีเดียว
รอจนส่งหลี่เย่ออกไปแล้ว ถาวจวินหลันลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ให้คนไปจัดการเก็บของขององค์ชายเก้า แล้วสั่งให้หงหลัวนำไปส่งให้กู้ซีด้วยตนเอง
แต่ที่ลำบากก็คือ ควรจัดการคนดูแลรับใช้องค์ชายเก้าอย่างไร
พอคิดไปคิดมาถาวจวินหลันก็ขี้เกียจจะเก็บกวาดเรื่องวุ่นวายนี้แล้ว จึงสั่งไปว่า “ส่งไปพร้อมกันทั้งหมด ให้จวงผินเหนียงเหนียงจัดการเอง” ในเมื่อกู้ซีต้องการเลี้ยงเด็ก เช่นนั้นเรื่องเหล่านี้ย่อมต้องให้กู้ซีไปนั่งคิด นางเองก็สบายไปไม่น้อย คนที่อี๋เฟยเหลือเอาไว้ นางจะจัดการก็ไม่ใช่ จะไม่จัดการก็ไม่ใช่ ที่จริงแล้วก็ถือว่าตกที่นั่งลำบากอยู่เล็กน้อย
อีกทั้งนางยังอยากลองเชิงกู้ซี
รอจนหงหลัวอุ้มองค์ชายเก้าออกไปแล้ว ถาวจวินหลันถึงได้หากู่อวี้จือ อย่างแรกเพราะเอายาทาแผลไปให้ อย่างที่สองเพราะอยากพูดบางอย่างกับกู่อวี้จือ
กู่อวี้จือเพราะมีแผลตรงสะโพกและเอว ดังนั้นจึงต้องนอนคว่ำ แม้แต่นอนเอียงก็ไม่อาจทำได้ พอเห็นถาวจวินหลัน กู่อวี้จือก็ขยับเล็กน้อย แต่เหงื่อเย็นก็ผุดออกมาบนหน้าผากเป็นชั้น
“ขออภัยที่หม่อมฉันไม่อาจลุกไปรับพระชายาได้เพคะ” หลังจากกู่อวี้จือสูดหายใจเข้าลึก ก็ขออภัยในทันใด แต่เสียงของนางนั้นอาจเป็นเพราะกรีดร้องตอนโดนโบยมากเกิน จนเจ็บคอ เสียงพูดจึงแหบต่ำบาดหูเป็นอย่างมาก
“ไม่เป็นอะไร” ถาวจวินหลันพยักหน้า หาเก้าอี้นั่งลงตามสบาย ไม่ได้เข้าไปใกล้เกินไป กลิ่นยาที่อยู่ร่างกายของกู่อวี้จือนั้นพูดจริงๆ แล้วก็ไม่น่าดมเป็นอย่างมาก
กู่อวี้จือมีสภาพเช่นนี้ ถาวจวินหลันย่อมไม่คิดจะพูดอ้อมค้อม “ที่ข้ามาตอนนี้ก็ด้วยอยากถามบางอย่างจากเจ้า”
อาจด้วยกู่อวี้จือคิดว่าเสียงของตนเองไม่น่าฟัง ดังนั้นจึงไม่ได้พูดอะไรออกมา เพียงแค่พยักหน้าเท่านั้น
“ของว่างที่เจ้าให้องค์ชายเก้ากินนั้นเป็นของที่วางไว้ในห้ององค์ชายเก้าแต่เดิมหรือไม่?” ประโยคแรกที่ถาวจวินหลันถามคือสิ่งนี้ วันนั้นไม่ได้พูดถึงรายละเอียดส่วนนี้มาก่อน แต่ตอนนี้พอมาคิดดูแล้วกลับแปลกอยู่เล็กน้อย
กู่อวี้จือพยักหน้า จากนั้นก็พูดว่า “วางไว้ในที่สะดุดตา แม่นมบอกว่าปกติแล้วก็ให้องค์ชายเก้ากินเช่นเดียวกัน ล้วนเป็นของย่อยง่ายเพคะ”
เพราะว่าวางไว้ในที่เด่น ดังนั้นถึงได้หยิบเอามาหยอกล้อองค์ชายเก้า และด้วยเห็นว่ากินเป็นปกติ นางถึงได้วางใจป้อนเข้าไป
“ถ้าเช่นนั้นองค์ชายเก้าป่วย ทำไมเจ้าถึงไม่ให้คนมาแจ้งข้า หรือว่าให้คนไปเชิญหมอหลวงเล่า?” ถาวจวินหลันยังคงไม่เชื่อว่ากู่อวี้จือจะโง่จนถึงเพียงนี้ นางเองก็สงสัยเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน
ตามปกติแล้วไม่ว่าใครพบเจอเรื่องเช่นนี้ สิ่งที่ควรทำอันดับแรกก็คือเชิญหมอหลวง แต่กู่อวี้จือกลับเลือกปิดบังเรื่องนี้เอาไว้
ต่อให้ทำเพื่อหนีความรับผิดชอบนี้ กู่อวี้จือก็ควรต้องรีบมาบอกนางทันทีสิ
กู่อวี้จือนิ่งไปครู่หนึ่ง ฉับพลันก็หัวเราะขมขื่น “ครั้งนี้ข้าถูกคนตลบหลังแล้วเพคะ”
กู่อวี้จือเอ่ยปากพูดเช่นนี้ บรรยากาศก็อึมครึมขึ้นมา ถาวจวินหลันเลิกคิ้วน้อยๆ ไม่แปลกใจที่กู่อวี้จือพูดเช่นนี้ แต่ในใจนางคิดถือเป็นอีกเรื่องหนึ่ง สิ่งที่ควรถามก็ยังต้องถามอยู่ดี จึงถามอย่างสงสัย “อย่างนั้นหรือ?”
“ตอนนั้นแม่นมแสดงท่าทีนิ่งเฉยมาก บอกแค่ว่ากินของแล้วเสาะท้อง น่าจะเป็นเพราะกินขนมเข้าไป และปิดปากไม่พูดเรื่องเชิญหมอหลวงเพคะ” กู่อวี้จือพูดไปพูดมาก็เริ่มขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน “นางเป็นแม่นมขององค์ชายเก้าแล้วยังนิ่งสงบเช่นนี้ หม่อมฉันย่อมไม่คิดมาก คิดว่าไม่ได้เป็นอะไรมาก ตอนแรกหม่อมฉันก็คิดจะบอกพระชายาองค์รัชทายาท ให้พระองค์ตัดสินใจ แต่แม่นมกล่อมหม่อมฉันบอกว่าถ้าพูดไปแล้วจะเป็นการหาเรื่อง อย่างช่วงหลายวันมานี้พระชายาองค์รัชทายาทก็ยุ่งอยู่แล้ว ย่อมไม่อยากมีเรื่องมารบกวนใจอีก แล้วยังบอกว่าท่านไม่ค่อยใส่ใจองค์ชายเก้าอยู่แล้วเพคะ”
“หม่อมฉันจึงคิดว่าปิดเรื่องนี้ไปก็แล้วกัน คิดไม่ถึงว่า…”กู่อวี้จือทำหน้าหงุดหงิด
“พอพูดเช่นนี้ แม่นมก็ตั้งใจให้เข้าใจผิด” ถาวจวินหลันเลิกคิ้ว
กู่อวี้จือไม่พูดอะไร แต่ดูหวาดหลัวและทำตัวไม่ถูก
จากที่ถาวจวินหลันดูแล้วย่อมต้องเข้าใจหมดทุกเรื่อง กู่อวี้จือพูดเรื่องจริง แต่ก็มีน้ำด้วยเช่นเดียวกัน บางทีแม่นมอาจจะทำให้กู่อวี้จือเข้าใจผิด แต่ตัวกู่อวี้จือเองก็ถูกคนจูงจมูกไปเหมือนกันมิใช่หรือ และมีหลายส่วนที่ไม่อยากให้คนรู้เรื่องนี้ด้วยกลัวถูกต่อว่า ดังนั้นถึงได้จงใจปิดบังเรื่องนี้
“แต่ ตอนนั้นหม่อมฉันมาดูสถานการณ์ด้วยตนเอง องค์ชายเก้าก็ยังไม่ได้มีอาการรุนแรงนัก ใครจะรู้ว่าเช้านี้ถึงอาการหนักขึ้นมา…” กู่อวี้จือเห็นสีหน้าเข้าใจเรื่องราวทั้งหมดของถาวจวินหลัน ก็ร้อนลน รีบพูดอธิบาย
ถาวจวินหลันมองท่าทีตึงเครียดของกู่อวี้จือ ก็ไม่ได้โทษนางอีก เพียงแค่พูดอย่างอ้อมค้อมว่า “เพราะเรื่องนี้ฮ่องเต้บรรดาลโทสะหนักมาก แม้จะบอกว่าเจ้าโดนไม้โบย แต่เกรงว่าคงไม่มากพอให้คนนับถือ…”
กู่อวี้จือใจหล่นวูบทันที “เช่นนั้นความหมายของพระชายาคือ…” แต่จากน้ำเสียงของกู่อวี้จือนั้นคงไม่อยากฟังเท่าไร
ถาวจวินหลันหยุดไปครู่หนึ่ง มองดูรอยแผลบนแผ่นหลังของกู่อวี้จือ จากนั้นพูดช้าๆ ว่า “หลังจากรักษาตัวดีแล้ว เจ้าก็พยายามออกไปข้างนอก หลีกเลี่ยงจุดสนใจ อย่าให้คนคิดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาอีก อีกทั้งสถานะเหลียงตี้ของเจ้า…”
แค่เพียงเรื่องที่ฮ่องเต้แทบจะส่งกู่อวี้จือเป็นโสเภณีกองทัพ นางก็ไม่ควรเก็บกู่อวี้จือเอาไว้อีกแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงให้กู่อวี้จืออยู่ในตำแหน่งเหลียงตี้อันโดดเด่นสูงส่งด้วยเกียรติยศเลย
เรื่องนี้ทั้งทำลายหน้าตาและศักดิ์ศรีของหลี่เย่ นางไม่อยากให้คนอื่นคิดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาอีก และยิ่งไม่หวังให้หลี่เย่นึกถึงอีก ดังนั้นจึงทำได้แค่ส่งกู่อวี้จือออกไป
ไม่ใช่ว่านางใจร้าย แต่เรื่องราวเป็นไปได้แค่เช่นนี้เท่านั้น กู่อวี้จือและหลี่เย่ คนไหนสำคัญย่อมไม่ต้องพูดถึง แม้ว่ากู่อวี้จือจะน่าสงสารอยู่บ้าง แต่กู่อวี้จือก็มีความผิด และนางย่อมไม่อาจเสียสละหลี่เย่เพราะกู่อวี้จือ
ไม่ได้ยกเรื่องให้ส่งกู่อวี้จือออกจากวังไปบำเพ็ญ ก็ถือว่านางมีเมตตามากพอแล้ว
กู่อวี้จือรับเรื่องนี้ไม่ค่อยได้เท่าไรนัก จึงมีท่าทีร้อนรน ดิ้นรนพยายามลุกขึ้น แต่ด้วยบาดแผลบนหลังของนางรุนแรงเกินไป ไฉนเลยจะลุกขึ้นได้? ทรมานไปก็เพียงแค่ทำให้นางดูยิ่งน่าเวทนามากขึ้นเท่านั้น
ถาวจวินหลันเบนหน้าหนีไม่มองกู่อวี้จืออีก ลุกขึ้นพูดเสียงเบาว่า “เรื่องเป็นไปเช่นนี้แล้ว เจ้ารักษาตัวให้ดี ขาดเหลืออะไรก็ส่งคนมาบอกข้า”