บัลลังก์พญาหงส์ - บทที่ 654 เห็นแก่ตัว
หญิงชรามองไปทางถาวจิ้งผิงด้วยตัว “นี่เป็นลูกชายของท่าน! แล้วเหตุใดท่านต้องไม่ปล่อยหญิงชราสองคนอย่างพวกเราไปด้วย?”
“พวกเจ้าไม่ปล่อยข้าเองต่างหาก” ใบหน้าเรียบนิ่งของถาวจิ้งผิงเผยรอยยิ้มบางๆ ทว่าสายตาเย็นเยียบ ทจริงจังยิ่งจนน่าประหวั่นพรั่นพรึง “พวกเจ้าลักพาตัวภรรยาข้าก่อน ตอนนี้กลับมาบอกให้ข้าปล่อยพวกเจ้าไป น่าขันนัก”
“ในเมื่อนายท่านหาภรรยาเจอแล้ว เหตุใดต้องเจ็บตัวทั้งสองฝ่ายด้วยเล่า?” หญิงชราเริ่มหวั่นใจ พยายามพูดโน้มน้าวต่อ อยากให้ถาวจิ้งผิงเลิกล้มความคิดบ้าคลั่งเช่นนี้
แต่ถาวจิ้งผิงกลับนิ่งเป็นทองไม่รู้ร้อน “เจ้าคิดว่าข้าเชื่อจริงหรือ เรื่องที่พวกเจ้าจะคืนลูกให้ข้า หากให้พวกเจ้าใช้ลูกมาข่มขู่ข้ากับองค์หญิงเก้าต่อไป ข้ายอมไม่มีลูกชายคนนี้ดีกว่า อีกอย่างกล้าลงมือกับภรรยาของข้า หากข้าปล่อยไปเช่นนี้ ต่อจากนี้ข้าจะยืนอยู่ในราชสำนักได้อย่างไร? ข้าจะปกป้องครอบครัวของข้าได้อย่างไร? กล้าลงมือกับคนของข้า ข้าต้องแก้แค้นเป็นแน่”
ถาวจิ้งผิงพูดด้วยเสียงเย็นนิ่ง เหมือนลมหนาวเหน็บพัดผ่านในนรก จนต้องขนลุกขนพอง หลังชุ่มไปด้วยเหงื่อ ต่อให้ตอนนี้เป็นฤดูร้อน แต่พระอาทิตย์แรงแค่ไหนก็ไม่อาจกำจัดความหนาวเหน็บเช่นนี้ไปได้
“ต่อให้พวกเจ้าไม่ยอม รอพวกเจ้าตายไปแล้วค่อยสืบหาเองก็ย่อมได้ อย่างไรตัวการสำคัญก็ต้องร่วมโลงไปพร้อมกับลูกชายข้า” ถาวจิ้งผิงแย้มยิ้ม ทว่าหลับไม่ช่วยให้บรรยากาศน่าขนลุกลดลงเลยแม้แต่น้อย แต่กลับทวีความรุนแรงมากขึ้น
ตอนนี้พระอาทิตย์ใกล้ตกดิน เมฆบนท้องฟ้าถูกย้อมเป็นสีแดงทอง ดูแล้วชวนให้หวาดผวา
ทุกคนต่างคิดว่าถาวจิ้งผิงบ้าไปแล้ว นั่นเป็นลูกแท้ๆ ของเขา! แม้แต่กับลูกชายของตัวเองก็ยังโหดเ**้ยมเช่นนี้ แล้วคนอื่นเล่า? คนที่คิดเรื่องเหล่านี้ได้พลันหนาวสะท้าน
อะไรเรียกว่าความน่ากลัว นี่คือความน่ากลัว
หญิงชราทั้งสองคนได้ยินคำพูดของถาวจิ้งผิงก็ให้ตกใจจนนิ่งไป
“โอกาสสุดท้าย ข้าจะนับถึงสิบ” น้ำเสียงของถาวจิ้งผิงนิ่งสงบเหมือนบ่อน้ำ แต่ก็ประกายความเย็นยะเยือกเอาไว้ จนคนอดหวาดระแวงไม่ได้
ไม่มีใครคิดว่าถาวจิ้งผิงกำลังล้อเล่น ดังนั้นตอนที่ถาวจิ้งผิงเริ่มนับ ทุกคนก็ตัวสั่นน้อยๆ สายตาจ้องมองไปทางหญิงชราทั้งสองคน
สายตาเช่นนี้นับเป็นการกดดันกลายๆ อีกทั้งถาวจิ้งผิงยังน่ากลัวจนคนสติหลุดลอย
สุดท้ายหญิงชราสุดท้ายก็ทนต่อไม่ไหว พอนับถึงห้าก็ตะโกนเหมือนคนบ้า “ข้าพูด ข้าพูด!”
ถาวจิ้งผิงแสดงท่าทีให้แม่นมก้าวขึ้นไปรับเด็กมาอุ้มไว้ แม่นมคนนี้เป็นคนที่องค์หญิงเก้าหาไว้ก่อนแล้ว ตอนนี้เรียกมาใช้งานได้พอดี
ที่จริงแล้วแม่นมเองก็มีความประหวั่นพรั่นพรึงอยู่บ้าง แต่เผชิญหน้ากับถาวจิ้งผิงที่น่ากลัวเช่นนี้ นางไม่กล้าแม้แต่ตอบโต้และลังเลเพียงน้อยนิด
เด็กถูกอุ้มกลับมาอย่างราบรื่น
ทุกคนสบายใจไปเปลาะหนึ่ง ทว่าไม่มีใครเห็นว่าถาวจิ้งผิงก็ผ่อนคลายลงเช่นเดียวกัน จากนั้นทุกคนก็ได้ยินเสียงดัง ฉับพลันก็เห็นถาวจิ้งผิงล้มลงไปบนพื้น
คนติดตามของถาวจิ้งผิงรีบก้าวขึ้นไปดูอาการของถาวจิ้งผิง พอเห็นแล้วก็ต้องสูดหายใจเข้าลึก บาดแผลที่แขนของถาวจิ้งผิงมีเลือดไหลออกมาตลอด ตอนนี้ไม่เพียงแค่แขนเสื้อ แม้แต่ผ้าที่พันไว้ด้านนอกก็ถูกย้อมจนเป็นสีแดง อีกทั้งยังชุ่มมาถึงด้านนอก ไม่มีท่าทางหยุดลงง่ายๆ แม้แต่น้อย
ถาวจิ้งผิงเสียเลือดมากเกินไป อีกทั้งหลายวันมานี้ เขาตามหาองค์หญิงเก้าข้ามวันข้ามคืนจนไม่ได้หลับได้นอน แม้แต่คนเหล็กก็ยังทนไม่ได้ ยังดีที่หาองค์หญิงเก้ากับลูกเจออย่างปลอดภัยแล้ว
จากนั้นเรื่องราวก็จัดการง่ายขึ้นมาก ต่อให้ถาวจิ้งผิงเป็นลมสลบไปก็ไม่ได้ส่งผลกระทบอะไร หมอหลวงก็เชิญมาแล้ว คนที่ต้องจับกุมตัวหญิงชราสองคนก็จับกุมเอาไว้เรียบร้อย คนที่รับผิดชอบเฝ้ายามก็ปิดล้อมทั้งเรือนเอาไว้ ป้องกันแน่นหนาแม้แต่น้ำหยดเดียวก็ไหลผ่านไปไม่ได้
พอถาวจวินหลันรู้ข่าวก็เกือบเป็นเวลาทานอาหารเย็นแล้ว เพราะว่าถาวจิ้งผิงล้มลง หลี่เย่จึงไม่วางใจยกเรื่องนี้ให้คนอื่น เขาจึงรับเรื่องไต่ถามเอาไว้เอง แต่ก็ส่งโจวอี้มาบอกถาวจวินหลันไว้ก่อน
ถาวจวินหลันได้ยินว่าองค์หญิงเก้ากับลูกปลอดภัยทั้งคู่ ก็รู้สึกยินดียิ่ง ไม่ว่าอย่างไรก็หุบยิ้มไม่ลง “หาเจอก็ดีแล้ว ผ่านเรื่องราวทรมานเช่นนี้ไป หลังจากนี้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่จะต้องปลอดภัย ไม่มีเคราะห์ร้ายอีกแน่!”
ถาวจวินหลันได้ยินก็นึกได้ ถามว่า “องค์หญิงเก้าได้ลูกชายหรือลูกสาว?”
โจวอี้ยิ้มตอบ “บ่าวยังคิดจะขอซองแดงจากพระชายาอยู่เลยพ่ะย่ะค่ะ! องค์หญิงเก้าให้กำเนิดคุณชายน้อยสุขภาพแข็งแรงมากพ่ะย่ะค่ะ”
ถาวจวินหลันได้ยินเช่นนี้ก็หัวเราะเบิกบาน “ดีๆๆ ย่อมต้องมีซองแดงของเจ้าด้วยแน่นอน!” ตอนที่พูดประโยคนี้ในใจของนางก็คิดว่านี่ถือเป็นเรื่องดีที่เข้ามาพร้อมกัน อีกทั้งถาวจิ้งผิงมีลูกชาย นางก็ไม่ต้องกังวลเรื่องจุดธูปเคารพตระกูลถาวแล้ว
พอคิดเช่นนี้ก็ยิ่งอารมณ์ดี
โจวอี้เห็นท่าทีดีใจของถาวจวินหลัน แล้วถึงได้พูดอย่างระแวดระวัง “แต่ใต้เท้าถาวได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยพ่ะย่ะค่ะ” เขาเพิ่งบอกถาวจวินหลันตอนนี้ก็ด้วยกลัวว่าพูดตั้งแต่แรกจะทำให้ถาวจวินหลันรับไม่ได้
ถาวจวินหลันตกใจทันที “บาดเจ็บได้อย่างไร?” น้ำเสียงร้อนรนอย่างควบคุมไม่ได้
โจวอี้รีบอธิบาย “อาการบาดเจ็บไม่ได้รุนแรงมากพ่ะย่ะค่ะ เพียงรักษาตัวให้ดีเท่านั้น พระชายาอย่ากังวลไปเลยพ่ะย่ะค่ะ” หยุดไปครู่หนึ่ง เขาก็อธิบายอีก “ก็เพราะอยากจับกุมคนที่จับตัวองค์หญิงเก้าไปจนบาดเจ็บพ่ะย่ะค่ะ”
โจวอี้พูดเช่นนี้ ถาวจวินหลันย่อมสบายใจขึ้น ไม่ร้ายแรงก็ดีแล้ว
โจวอี้เห็นถาวจวินหลันสบายใจ ก็ไม่ได้พูดอะไรมากอีก บอกว่ายังต้องกลับไปปรนนิบัติหลี่เย่อีก และขอตัวทูลลาไป
ถาวจวินหลันให้โจวอี้เอาอาหารการกินบางส่วนไปให้หลี่เย่ด้วยถึงปล่อยไป จากนั้นก็เรียกหงหลัวมาสั่งว่า “พรุ่งนี้เจ้าออกจากวังไปหน่อย เอาของเหล่านี้ไปบ้านตระกูลถาว อย่างแรกเพื่อแสดงยินดีกับสมาชิกใหม่ที่เพิ่มขึ้นมาในตระกูลถาว อย่างที่สองเพื่อไปดูองค์หญิงเก้าและจิ้งผิง ครั้งนี้องค์หญิงเก้าต้องตกใจมากเป็นแน่ เจ้าเอาหยกอุ่นสงบจิตชิ้นนั้นออกมา แล้วนำไปให้นางเถิด แล้วก็ส่งยารักษาแผลไปให้จิ้งผิงด้วย”
หงหลัวยิ้มร่ารับคำ จงใจพูดเย้าแหย่ “คราวนี้พระชายาต้องดีใจแล้วนะเพคะ องค์หญิงเก้าให้กำเนิดบุตรชาย พระองค์ต้องตกรางวัลให้องค์หญิงเก้าอย่างงามแล้วเพคะ”
“นางให้กำเนิดลูกชายหรือไม่ก็เป็นผลงานครั้งใหญ่ของตระกูลถาวทั้งนั้น เจ้าพูดเช่นนี้เหมือนข้าบีบบังคับให้นางคลอดลูกชายอย่างนั้น” ถาวจวินหลันมองค้อนหงหลัว
หงหลัวหัวเราะ “พอเถิดเพคะ หรือพระชายาไม่อยากให้องค์หญิงเก้าคลอดลูกชายเพคะ? หากคลอดลูกสาว พระชายาจะไม่ผิดหวังหรือเพคะ?”
ถาวจวินหลันหยุดหัวเราะทัน “ผิดหวังก็จริง แต่ก็ไม่ถึงขั้นบังคับให้องค์หญิงเก้าคลอดลูกชายกระมัง?”
พูดแล้วก็น่าแปลก หากคนอื่นกล้ารังเกียจหมิงจู นางต้องไม่ยอมเป็นแน่ แต่ตอนนี้กลายเป็นนางที่หาเรื่องคนอื่น ก็เหมือนกับคนอื่นๆ ที่คาดหวังให้องค์หญิงเก้าคลอดลูกชาย อาจด้วยนี่เป็นนิสัยเสียของมนุษย์กระมัง แต่ความหวังก็คือความหวัง นางเพียงแค่หวังในใจ ส่วนจะพูดอะไรหรือทำอะไร นางไม่มีทางทำเป็นแน่ เป็นแม่คนเหมือนกัน นางย่อมเข้าใจองค์หญิงเก้า
อีกอย่างไม่ว่าเป็นเด็กชายหรือเด็กหญิงก็เป็นหลานของนางเหมือนกัน เหตุใดต้องรังเกียจด้วยเล่า?
“เด็กทั้งสองคนเกิดใกล้กัน แต่น่าเสียดายที่ร่างกายของฉังเซิง…” ถาวจวินหลันคิดถึงฉังเซิง ก็ต้องถอนหายใจ คิดถึงเสียงอ้อแอ้เหมือนลูกแมว นางก็สงสารและเอ็นดูอย่างมาก
พูดถึงฉังเซิง หงหลัวก็หยุดหัวเราะ แต่กลับเอ่ยปลอบถาวจวินหลันว่า “พระชายาอย่ากังวลไปเลยเพคะ ฉังเซิงเด็กคนนั้นดูเป็นเด็กมีบุญ ต้องโตอย่างปลอดภัยเป็นแน่”
ถาวจวินหลันพยักหน้า ไม่พูดเรื่องเหล่านี้อีก “ไปพาซวนเอ๋อร์กับหมิงจูมานี่เถิด ถึงเวลากินข้าวแล้ว”
สามคนแม่ลูกทานข้าวเย็นร่วมกันเสร็จ ถาวจวินหลันก็อยู่เล่นกับเด็กๆ อยู่ครู่หนึ่ง พอถึงเวลานอนถึงได้ให้แม่นมพาเด็กๆ ออกไป จากนั้นก็เรียกชุนฮุ่ยเข้ามา “วันนี้ในวังมีเรื่องอะไรหรือไม่?”
ชุนฮุ่ยรายงานเสียงเบา “วันนี้หน่วยซักล้างมีนางกำนัลทำความผิดหลายคนถูกส่งเข้าไป พระชายาว่า วังไหนส่งไปบ้างเพคะ?”
ถาวจวินหลันนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็เลิกคิ้วพูดยิ้มๆ ว่า “วังของจวงผินหรือ?” แม้จะบอกว่าฮ่องเต้ตรัสเลื่อนตำแหน่งจวงผินแล้ว แต่ก็ยังไม่ได้ประกาศอย่างเป็นทางการในวังหลัง จัดพิธีแต่งตั้ง ย่อมต้องเปลี่ยนไปเรียกจวงผินเหนียงเหนียงแล้ว
ชุนฮุ่ยหัวเราะ “พระชายาทายถูกแล้วเพคะ จวงผินเหนียงเหนียงไล่ออกไปด้วยตนเอง อีกทั้งพวกนางเป็นคนที่เคยดูแลองค์ชายเก้ามาก่อน เป็นคนที่อี๋เฟยเหนียงเหนียงเหลือเอาไว้ จวงผินเหนียงเหนียงจัดการหาคนใหม่ให้องค์ชายเก้า แม้แต่แม่นมก็เปลี่ยนเช่นกัน ไม่ว่าองค์ชายเก้าจะร้องไห้เสียงดังอย่างไรก็ยังยืนยันจะเปลี่ยนคนเพคะ”
เด็กอายุหนึ่งขวบย่อมไม่ยอมให้คนมาบังคับอีกแล้ว อีกทั้งยังจำคนติดคนมาก อี๋เฟยตายไป คนที่องค์ชายเก้าติดมากที่สุดก็คือแม่นม เพราะอย่างไรก็กินนมมาเป็นปี อยู่ด้วยกันทั้งวันทั้งคืน ความผูกพันไม่ใช่สิ่งจอมปลอม
ตอนนี้เปลี่ยนคนกะทันหัน องค์ชายเก้าต้องไม่คุ้นชินเป็นแน่ ร้องไห้โวยวายก็เป็นเรื่องปกติ
ก่อนหน้านี้ถาวจวินหลันส่งแม่นมไปให้ ก็ถือเป็นการเตือนกู้ซี ถึงแม่นมมีความผิด แต่สุดท้ายก็ยังมีความสำคัญกับองค์ชายเก้า ยังต้องให้องค์ชายเก้าเห็นหน้าแม่นมไปก่อน แต่ให้คนอื่นไปปรนนิบัตรดูแลองค์ชายเก้าแทน จากนั้นก็ค่อยๆ ให้แม่นมคนนั้นห่างออกไป เช่นนี้ถือเป็นวิธีการที่นุ่มนวลที่สุด
คิดไม่ถึงว่ากู้ซีไม่ยอมทำเช่นนี้ คิดรั้นจะเปลี่ยนคนให้ได้ แท้จริงแล้วกู้ซีคิดอะไรอยู่กันแน่?
ถาวจวินหลันยิ้มเยาะ กำชับชุนฮุ่ย “ไปบอกหญิงคุมกิจของหน่วยซักล้าง หากตายไปคนหนึ่งก็เอาชีวิตนางมาชดใช้ หากมีข่าวหลุดออกไปแม้แต่น้อย ข้าจะเอาลิ้นของนาง แต่ถ้านางยอมเชื่อฟัง จะเงินก็ดี จะเลื่อนตำแหน่งก็ดี ข้าจะทำให้นางพอใจ”