บัลลังก์พญาหงส์ - บทที่ 655 เยืยนอีกครา
หน่วยซักล้างยังอ้างว้างเหมือนในความทรงจำ ภาพบรรดานางกำนัลก้มหน้าก้มตาซักผ้า เสื้อผ้าถังใหญ่ที่ซักไม่มีวันหมด
ตอนที่ถาวจวินหลันก้าวเข้าไปเหยียบหน่วยซักล้างอีกครั้ง ก็ขุดความทรงจำในอดีตขึ้นมาอีกครั้ง
ตอนนั้นนางกับถาวซินหลันใช้ชีวิตแสนลำบาก แม้มีหลี่ว์หลิ่วคอยคุ้มครอง แต่ก็ยังลำบากมากอยู่ดี สำหรับพวกนางสองคนที่ไม่เคยสัมผัสการบ้านการเรือนมาก่อนแล้ว วันเวลาช่วงแรกช่างทรมานจนถึงที่สุด
ยังดีที่สุดท้ายก็ทนมาได้
สมาชิกในห้องอย่างหลี่ว์หลิ่วและฉ่ายยวนก็จากไปแล้ว ตอนนี้ยังมีเหวินซิ่งอีกคน จากอายุแล้ว เหวินซิ่งน่าจะออกจากวังไปแล้ว แต่บางทีอาจจะไม่ใช่ก็ได้
ถาวจวินหลันคิดได้ก็หวั่นใจ หันไปสั่งหงหลัว “พรุ่งนี้เจ้าไปถามให้ข้า ดูว่านางกำนัลนามว่าเหวินซิ่งยังอยู่ในวังหลวงหรือไม่ หากตอนนี้ยังมีคนนี้ ก็เชิญนางมาที่วังตวนเปิ่น”
หงหลัวเคยได้ยินถาวจวินหลันพูดถึงเหวินซิ่งมาก่อน ตอนแรกที่หลี่ว์หลิ่วตาย ถาวจวินหลันก็ปิดประตูไม่ออกไปไหนเพราะติดโรคระบาด ตอนนั้นถาวจวินหลันเคยพูดเรื่องในหน่วยซักล้าง นางจึงพอเข้าใจความคิดของถาวจวินหลัน รีบตอบรับกลับไป “ถ้าออกจากวังไปแล้ว ก็ให้คนไปสืบดู ว่าตอนนี้นางมีชีวิตดีหรือไม่” เพราะอย่างไรนางกำนัลก็ต้องถูกบันทึกเอาไว้ เพียงไปสืบก็จะรู้
หลังจากเหยียบเข้าไปในหน่วยซักล้าง หัวหน้าหน่วยซักล้างก็รีบเข้ามาต้อนรับอย่างรวดเร็ว สีหน้าระแวดระวังและประจบประแจง เพื่อแสดงสถานะของตน ถาวจวินหลันจึงสวมใส่กระโปรงสีเหลืองอ่อนมา คนอื่นมองเพียงปราดเดียวก็ต้องรู้สถานะของนางแน่นอน อย่างไรสีเหลืองอ่อนนอกจากองค์รัชทายาทแล้ว ก็มีเพียงพระชายาองค์รัชทายาทเท่านั้นที่สวมใส่ได้
พออีกฝ่ายก้าวเข้ามาใกล้ ถาวจวินหลันก็ตั้งใจมอง ก่อนยิ้มน้อยๆ “ซุนกูกู ที่แท้เจ้ายังไม่ออกจากวังหลวง ยังอยู่ในหน่วยซักล้างนี่เอง” ตอนนั้นคนที่มาแทนหลิ่วกูกูไม่ใช่ซุนกูกูหรืออย่างไร? ตอนนั้นซุนกูกูคนนี้ทำเรื่องเอาไว้มาก นางยังจำได้
ซุนกูกูยังไม่ได้มองหน้าถาวจวินหลันให้ชัด พอได้ยินถาวจวินหลันพูดเช่นนี้ก็มึนงงไปเล็กน้อย แต่ก็ยังพูดประจบประแจง “พระชายาองค์รัชทายาทยังจำบ่าวได้หรือไม่ ช่างเป็นเกียรติของบ่าวเหลือเกินเพคะ”
“ดูท่าทางซุนกูกูจะจำข้าไม่ได้เสียแล้ว” ถาวจวินหลันหัวเราะเสียงเบา “เจ้าเงยหน้ามองข้า คิดว่าคงจำได้”
ซุนกูกูทนอึดอัดใจไม่ไหว เงยหน้ามองถาวจวินหลันทีหนึ่ง มองทีเดียวก็จำได้ทันที ตอนนั้นถาวจวินหลันตามหลี่เย่ไป นางจำเรื่องนี้ได้อย่างแม่นยำ แต่นางคิดไม่ถึงว่าพระชายาองค์รัชทายาทที่สูงส่งล้ำค่าจะเคยเป็นนางกำนัลเล็กๆ ที่ซักล้างใต้อำนาจนาง แล้วยังเป็นนางกำนัลเล็กๆ ที่เคยถูกรังแกมาก่อน
สีหน้าของซุนกูกูซีดขาวไปทันที ขาอ่อนจนล้มพับไป พูดตะกุกตะกัก “บ่าวสมควรตายเพคะ บ่าวสมควรตาย!” แต่ก็กลัวว่าถาวจวินหลันจะยกเรื่องตอนนั้นขึ้นมาพูดเพราะไม่ชอบตน จึงไม่กล้าพูดอธิบายว่าตนเองทำผิดอะไร เพียงแค่โขกหัวร้องขอชีวิตเท่านั้น
ถาวจวินหลันหุบยิ้ม มองซุนกูกูแสดงละครอย่างเย็นชา สุดท้ายคิดว่าพอสมควรแล้ว ถึงได้พูดเรียบๆ ว่า “ซุนกูกูลุกขึ้นมาเถิด หากคิดจะแสร้งร้องไห้ อย่างน้อยก็ต้องมีน้ำตาหยดลงมาบ้าง หากจะโขกหัวจริงๆ ก็ต้องโขกให้มีเสียงสิ เจ้าแสร้งทำท่าเช่นนี้มีแต่ให้คนขบขันเท่านั้น”
ซุนกูกูแสร้งทำจริง มิเช่นนั้นโขกหัวอยู่ตั้งนานทำไมหน้าผากถึงไม่เห็นขึ้นรอยแดงเลยแม้แต่น้อย? ร้องไห้อยู่ตั้งนานแต่ก็เพียงส่งเสียงโอดครวญเท่านั้น คุยเสียใหญ่โต แต่ทำจริงไม่ได้ ช่างน่าเบื่อนัก
หลังจากถูกถาวจวินหลันจี้จุด ซุนกูกูก็ตัวเกร็งจนนิ่งไป ทำต่อก็ไม่ใช่ ล้มเลิกก็ยิ่งไม่ถูก
ถาวจวินหลันเห็นซุนกูกูไม่ลุกขึ้นมา ก็ไม่ทัดทาน ถามไปตรงๆ “ได้ยินว่าเมื่อวานมีคนถูกส่งเข้ามา ข้าอยากเจอ”
ซุนกูกูได้ยินเช่นนี้ เหงื่อเย็นก็ผุดขึ้นทันที “นี่ นี่…”
ถาวจวินหลันเห็นซุนกูกูมีปฏิกิริยาเช่นนี้ ก็รู้ว่าเรื่องนี้ต้องมีลับลมคมในเป็นแน่ ใจกระตุกวูบ เค้นถามเสียงเย็น “ดูท่าเมื่อวานที่ข้าให้คนมาบอก เจ้าคงจะไม่ได้ใส่ใจ ซุนกูกูคงเห็นเป็นเรื่องล้อเล่น ทว่าข้ากลับไม่ได้คิดเช่นนั้น”
ซุนกูกูมีเหงื่อผุดพรายเต็มหน้าผาก รีบอธิบาย “แต่ตอนที่ถูกส่งมานั้นก็สลบไม่ได้สติแล้วเพคะ พระชายาองค์รัชทายาททรงพระปรีชา บ่าวไม่กล้าเอาคำพูดของพระชายาองค์รัชทายาทมาเป็นลมผ่านหูหรอกเพคะ”
ถาวจวินหลันขมวดคิ้ว จ้องไปทางซุนกูกูครู่หนึ่ง รู้สึกว่าไม่เหมือนกำลังโกหก จึงส่งเสียงฮึดฮัดออกมา “พาข้าไปดู” หยุดไปครู่หนึ่งก็ถามอย่างแฝงนัย “ในเมื่อตอนถูกส่งมาเป็นเช่นนั้น ทำไมเจ้าถึงไม่รายงานขึ้นไปก่อน? เมื่อวานนี้ข้าส่งคนมาถ่ายทอดคำพูด เจ้าก็ควรต้องรายงานตามจริง แต่ปล่อยมาถึงตอนนี้…”
เสียงที่ลากยาวทำให้ซุนกูกูรู้สึกเหมือนถูกมีดทื่อเล่มหนึ่งเฉือนเนื้อของนาง
ถาวจวินหลันบอกความคิดอย่างชัดเจน ซุนกูกูตัวสั่นสะท้านไปเล็กน้อย รู้สึกใจฝ่อเป็นยิ่ง ย่อมไม่กล้าพูดอะไรอีก แล้วรีบเดินนำทางถาวจวินหลันไป
หงหลัวเข้าใจสิ่งที่ถาวจวินหลันต้องการ ก็โกรธกรุ่น จึงถลึงตามองซุนกูกู ในใจคิดหาวิธีว่าจะ ‘สั่งสอน’ ซุนกูกูที่ไม่รู้กาลเทศะคนนี้อย่างไร นางเป็นนางกำนัลใหญ่ในจวนตวนชินอ๋อง ตอนนี้เข้าวังหลวงมาก็เป็นคนสนิทที่อยู่ใกล้ชิดถาวจวินหลัน ดูแลนางกำนัลเล็กๆ ใหญ่ๆ ในวังตวนเปิ่น จึงต้องวางอำนาจอยู่บ้าง นางถลึงตามองซุนกูกูเช่นนี้ ก็ยิ่งให้ใจของซุนกูกูสั่นสะท้าน
ซุนกูกูแบกความกดดันจากหลายฝ่าย เดินนำทางถาวจวินหลันไปจนถึงห้องพัก
ถาวจวินหลันยังไม่ได้เข้าไปก็ต้องขมวดคิ้ว ห้องพักตรงนี้ถือเป็นบริเวณที่แย่ที่สุดของหน่วยซักล้าง ไม่เพียงแค่อับชื้น แต่ยังมืดสนิท อีกทั้งไม่ได้ซ่อมแซมมาหลายปี ย่อมไม่อาจใช้เป็นที่อยู่อาศัยได้
แต่ความจริงแล้ว ห้องเช่นนี้ยังแน่นขนัดไปด้วยนางกำนัลมากมาย ไม่มีทางอื่นหน่วยซักล้างใหญ่โตเพียงนี้ ไม่มีทางให้เลือกแม้แต่น้อย
แน่นอนว่าหากไม่ใช่เพราะทำผิดต่อกูกูที่คุมกิจการภายในเกินไป หรือเป็นบ่าวที่มีความผิดติดตัว ก็คงไม่น่าเวทนาถึงเพียงนี้
ถาวจวินหลันเบนหน้าไปมองซุนกูกู “จวงผินสั่งเจ้ามาอย่างนั้นหรือ?”
ซุนกูกูรู้ว่าถาวจวินหลันพูดถึงอะไร ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็สู้สายตาเฉียบแหลมของถาวจวินหลันไม่ได้ หัวเราะเฝื่อน “ในเมื่อพระชายาองค์รัชทายาททรงทราบหมดแล้ว เหตุใดต้องถามด้วยเพคะ”
แม้คำพูดนี้ไม่ได้เป็นการยอมรับโดยตรง แต่ความหมายก็เหมือนกัน
ถาวจวินหลันนิ่งไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็เดินเข้าห้องต่อไป
ซุนกูกูกลับรู้ว่าคนสูงส่งเช่นถาวจวินหลันไม่มีทางลงมือด้วยตนเอง ไม่รอให้หงหลัวได้ลงมือ นางก็ผลักประตูผุพังออก ที่บอกว่าผุพัง อย่างแรกเพราะสีที่ทาไว้ลอกออกเป็นชิ้น สองเพราะเต็มไปด้วยรอยแมลงกัด สามเพราะหน้าต่างข้างบนนั้นไม่อาจมองเห็นสีเดิมของมันได้อีกแล้ว ไม่เพียงแค่เหลือง แต่ยังเต็มไปด้วยรอยขาด
ถาวจวินหลันขมวดคิ้วน้อยๆ คิดว่าหน่วยซักล้างนี้ดูทรุดโทรมกว่าแต่ก่อนมากนัก ดูท่าทางหน่วยซักล้างคงไม่ได้ซ่อมบำรุงมาหลายปีแล้ว เงินซ่อมแซมหน้าต่างกระดาษเหล่านี้คงถูกทุจริตเข้ากระเป๋าตนเอง
ตอนที่ประตูถูกผลักออก ก็มีเสียงดัง ‘เอี๊ยดอ๊าด’ ชวนให้เข็ดฟัน เศษฝุ่นละอองส่วนหนึ่งก็ลอยตกลงมา
ถาวจวินหลันยิ่งขมวดคิ้วมุ่น ทิ้งไว้ในห้องเช่นนี้ เกรงว่าเน่าเละจนราขึ้นก็คงไม่มีคนรู้กระมัง? หรือจะบอกว่ากู้ซีเป็นคนคิดแผนการนี้จริงๆ?
ถาวจวินหลันก้าวเข้าห้องไปด้วยท่าทีเช่นเดิม จากนั้นนางก็เห็นคนจำนวนหนึ่งบนเตียงเต็มไปหมด แม้แต่ผ้าห่มก็ยังไม่มีให้ โชคดีที่ตอนนี้เป็นฤดูร้อน มิเช่นนั้นเกรงว่าคืนนี้คงต้องมีคนแข็งตายเป็นแน่
ถาวจวินหลันเบื่อที่จะสั่งสอนซุนกูกู เพียงแค่หันไปมองอย่างเกียจคร้านและไม่สนใจซุนกูกูอีก
แต่ต่อให้เป็นเช่นนี้ซุนกูกูก็ตกใจจนต้องรีบอธิบายออกมา “คำสั่งจากเบื้อบนเพคะ พวกเราเป็นเพียงบ่าว ไฉนจะกล้าต่อต้าน…”
ถาวจวินหลันแค่นยิ้ม “ข้าจำได้ว่าซุนกูกูเป็นคนของฮองเฮาเหนียงเหนียง ดูท่าทางข้าต้องไปถามฮองเฮาเหนียงหนียงเสียแล้ว ว่านี่หมายความว่าอย่างไร”
ซุนกูกูคุกเข่าลงไปทันที ครั้งนี้นางโขกหัวลงไปจริงๆ จริงใจเสียยิ่งกว่าอะไรทั้งนั้น
ถาวจวินหลันไม่สนใจซุนกูกู เพียงแค่ก้าวขึ้นไปสำรวจคนเหล่านั้น เป็นคนที่ดูแลองค์ชายเก้าจริง พวกนางสลบไสลไม่ได้สติ ลมหายใจอ่อนระโหยโรยแรงเหมือนพร้อมตายได้ตลอดเวลา
ถาวจวินหลันสูดลมหายใจลึก เบนหน้าไปสั่งหงหลัว “เจ้าไปเชิญหมอหลวงมา ทำอย่างเอิกเกริก” นางเพิ่งคิดได้เมื่อครู่นี้เอง
พอสั่งกำชับเสร็จแล้ว ถาวจวินหลันก็พูดอีกว่า “หากปลุกให้ตื่นได้ ก็ให้ส่งคนที่มีสติไปยังวังตวนเปิ่น หากต้องอยู่ที่นี่ต่อ จากที่ไม่ตายก็ต้องตาย”
พอพูดจบ ถาวจวินหลันก็ไม่คิดจะอยู่ที่นี่อีก ยกเท้าก้าวออกไปข้างนอก ที่นี่กลิ่นอับเชื้อราแรงมาก จนคนได้กลิ่นอึดอัดไปหมด ไม่ต้องพูดถึงบรรดางูเงี้ยวเขี้ยวขอเหล่านั้นเลย
แค่ซุนกูกูเห็นถาวจวินหลันเดินออกไปข้างนอกโดยไม่พูดอะไร ก็รีบก้าวขึ้นไปจับชายกระโปรงของถาวจวินหลันพูดอ้อนวอนร้องขอ “พระชายาองค์รัชทายาท ได้โปรดไว้ชีวิตบ่าวด้วยเถิดเพคะ ถือว่าเห็นแก่ความสัมพันธ์ในอดีตก็ได้เพคะ!”
“หากดูจากความสัมพันธ์ในอดีตข้า คงต้องทำให้เจ้าตายตอนนี้เลย” ถาวจวินหลันมองไปยังใบหน้าเ**่ยวย่นเต็มไปด้วยคราบน้ำตาของซุนกูกู ก่อนใช้ปลายเท้าเตะมือซุนกูกูออกไป นางไม่ได้ใช้แรง เพียงแค่ไม่อยากให้คนนี้มาสัมผัสตัวเองเท่านั้น
“จับตาดูให้ดี อย่าให้นางตายเร็ว” ถาวจวินหลันหัวเราะเสียงเย็น สั่งโดยไม่แม้แต่หันหน้ากลับมามอง
ซุนกูกูทรุดตัวนั่งลงบนพื้น แววตาเปี่ยมด้วยความหวาดกลัว แต่ก็ยังแฝงความยินดีเล็กน้อย ถือว่ารักษาชีวิตน้อยๆ ของนางเอาไว้ได้แล้ว
ทางถาวจวินหลันเพิ่งออกจากหน่วยซักล้าง ก็สั่งทันทีว่า “ไปวังหย่งโซ่ว เร็ว!” ตอนนี้นางกระวีกระวาดร้อนใจอยากเข้าเฝ้าไทเฮา พูดแผนการของนางให้ไทเฮาฟัง
ถ้าเรื่องนี้สำเร็จ กู้ซีก็ถือว่าช่วยเหลือนางครั้งใหญ่ และหลังจากนี้ไม่ว่านางจะทำอะไรก็จะราบรื่นขึ้น เผลอๆ อาจจะช่วยเหลือหลี่เย่ได้ แต่หากไม่สำเร็จ นางก็ไม่ได้เสียหายอะไร เพียงแค่ทุ่มเทแรงไปเสียเปล่าเท่านั้น
ระหว่างทางไปวังหย่งโซ่ว ถาวจวินหลันก็จัดการเรียงลำดับความคิดของตนเองอย่างละเอียดอีกครั้ง แต่ยิ่งคิดว่าเป็นไปได้ อัตราที่จะสำเร็จก็สูงมาก นางจึงยิ่งคิดร้อนใจมากขึ้น