บัลลังก์พญาหงส์ - บทที่ 669 วอนขอ
ไดยินอย่างนั้น แขกเหรื่อย่อมพากันตื่นตกใจ ไม่ว่าเป็นใครก็ตกใจกับคำพูดเย็นชาและโหดเ**้ยมของฮ่องเต้จนตัวสั่นสะท้านทั้งนั้น แม้แต่หลี่เย่ก็ไม่ยกเว้น
หลี่เย่มองไปทางฮ่องเต้อย่างไม่อยากเชื่อสายตา สุดท้ายก็ยังขมวดคิ้วลังเล “ทั้งหมดหรือพ่ะย่ะค่ะ? จะดู…”
“เรื่องเช่นนี้ยังทำให้ดีไม่ได้ ยังเก็บเอาไว้ทำไม?” ฮ่องเต้มองหลี่เย่อย่างล้ำลึก เหมือนจะพอใจมากที่หลี่เย่ใจอ่อนไม่กล้าลงโทษ แต่คำที่เขาพูดออกมานั้นกลับสะท้อนการสั่งสอนเอาไว้ “เจ้าใจอ่อนมืออ่อนเช่นนี้ หลังจากนี้คนจะหวาดกลัวหรือเชื่อถือเจ้าได้อย่างไร?”
ในเมื่อฮ่องเต้พูดเช่นนี้ ก็ไม่เหลืออะไรให้บิดพลิ้วได้อีก
หลี่เย่หลุบตาลงเล็กน้อย แต่กลับสบเข้ากับสายตาของกู้ซีที่ทอดมองมาพอดี ใจของเขากระตุก มองกู้ซีอย่างแฝงนัย
กู้ซีใจกระตุกทันที แทบจะเข้าใจความหมายของหลี่เย่ในฉับพลัน หลี่เย่กำลังบอกให้นางเอ่ยปากวอนขอ
แม้ไม่ยินยอมมากอย่างไร แต่กู้ซีก็ทำให้หลี่เย่โกรธไม่ได้ อีกทั้งหลี่เย่จ้องมองมา นางก็ยิ่งทำตัวไม่ถูก เหน็บหนาวใจยิ่ง สุดท้ายก็เอ่ยปากพูด “ฮ่องเต้เพคะ บ่าวในวังล้วนฟังคำสั่งของผู้อาวุโส หากจัดการประหารชีวิตทั้งหมดก็ดูจะโหดเ**้ยมเกินไป ไม่อย่างนั้นถามหาความรับผิดชอบกับชั้นอาวุโสกว่าก็พอแล้วเพคะ”
ฮ่องเต้กลับไม่พูดอะไร เพียงแค่นิ่งเงียบ ทันใดนั้นบรรยากาศก็ตึงเครียดในฉับพลัน
กู้ซีกระวนกระวายใจ จึงขดตัวให้เล็กลงอีก พูดอย่างกล้าๆ กลัวๆ “หม่อมฉันคิดว่าหากฮ่องเต้สร้างบาปประหารคนมากขึ้น สุดท้ายจะเป็นการทำลายบุญบารมี ไม่สู้ปล่อยพวกเขาไปสักชีวิต ถือว่าสร้างบุญสั่งเสริมบารมีเพคะ”
ท่าทีของกู้ซีดูน่าสงสารยิ่งนัก ใจของฮ่องเต้รู้สึกอ่อนยวบ บวกกับคิดว่ากู้ซีทำเพื่อเขา จึงไม่อยากตำหนิกู้ซีอีก โดยเฉพาะตอนที่เหลือบไปเห็นรอยเลือดบนใบหน้าและริมฝีปากซีดเผือดของกู้ซี ฮ่องเต้ก็ให้สงสารยิ่ง ยอมพูดออกมา “ช่างเถิด ในเมื่อเจ้าขอร้อง เช่นนั้นก็ทำตามเจ้าพูดเถิด ข้าเป็นโอรสสวรรค์ ไม่กลัวเรื่องเหล่านี้ แต่หากสร้างบุญเสริมบารมีให้เจ้าได้ ก็นับว่าดีมากเช่นเดียวกัน”
หลี่เย่รับคำด้วยใบหน้าด้านชา แต่ไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก ไม่ว่าอย่างไรก็รู้สึกไม่ถูกต้อง พูดตามจริงแล้วเขาไม่อยากจะเห็นใบหน้าของกู้ซีอีกเลยแม้แต่น้อย
เพราะใบหน้านั้นคล้ายกับเสด็จแม่ของเขาอยู่บางส่วน แม้แต่ลักษณะท่าทางก็คล้ายกันเล็กน้อย หลี่เย่รีบหันตัวกลับไปอย่างรวดเร็ว ย่อมไม่เห็นท่าทางอ่อนโยนของฮ่องเต้ยามพูดคุยกับกู้ซี
หลังจากเขาสั่งให้โจวอี้จัดการเรื่องต่อจากนี้ ตนเองก็อุ้มถาวจวินหลันขึ้นมาอย่างระมัดระวัง แล้งพากลับไปยังวังตวนเปิ่น จนลืมเรื่องบาดแผลบนหลังของตนไปแล้ว
รีบเร่งเดินทางกลับไปยังวังตวนเปิ่นด้วยความร้อนใจ หลี่เย่ให้หมอหลวงตรวจจับชีพจรอีกครั้งหนึ่ง มั่นใจแล้วว่าอาการไม่ได้รุนแรงเกินไป ถึงได้ถอนใจโล่งอก แล้วให้หมอหลวงสั่งยาให้คนไปเคี่ยวเอาไว้ ส่วนตนเองเฝ้าดูอยู่ข้างเตียง
หงหลัวเห็นเสื้อผ้าด้านหลังของหลี่เย่ขาดรุ่ย ถึงได้นึกขึ้นได้อย่างตื่นตกใจว่าหลี่เย่อาจได้รับบาดเจ็บ จึงรีบพูดว่า “บ่าวจะไปเรียกหมอหลวงให้มาดูองค์รัชทายาทนะเพคะ” พอพูดจบก็รีบเดินตามออกไป
หลี่เย่ได้ยินดังนั้นก็นึกขึ้นได้ถึงบาดแผลบริเวณหลังของตน พอเอามือไปจับก็สัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดขึ้นมาในทันที เสี้ยนไม้ทิ่มอยู่บนมือ แค่จับไปเบาๆ ก็รู้สึกเหมือนมีเข็มทิ่มลงไปอย่างใดอย่างนั้น
หมอหลวงถูกตามกลับมา เห็นบาดแผลบนหลังของหลี่เย่ก็ต้องตกใจไม่น้อย รีบน้อมรับความผิดในทันใด “ข้าน้อยไม่ดีเองพ่ะย่ะค่ะ ไม่เห็นบาดแผลบนร่างกายขององค์รัชทายาท” พูดไปพลางเปิดกล่องยาไปพลาง
หลี่เย่หมอบลงบนตั่ง ให้หมอหลวงรักษาอาการบาดเจ็บ หงหลัวเรียกให้ขันทีคนหนึ่งเข้ามาถือตะเกียง บาดแผลเช่นนี้วุ่นวายเป็นที่สุด ไม่เพียงแต้องดึงเสี้ยนออกมาทีละชิ้น ยังต้องค่อยๆ ใส่ยา เป็นงานที่ใช้ความละเอียดอย่างยิ่ง แต่กลางคืนไม่สว่างเท่ากลางวัน จึงทำได้แค่ใช้ไฟมากเพื่อส่องแสงสว่าง
หงหลัวกลับมาเฝ้าอยู่ข้างกายถาวจวินหลัน
พอถาวจวินหลันตื่นขึ้นมา ก็ยังเอาเสี้ยนไม้บนหลังของหลี่เย่ออกไม่หมด
ถาวจวินหลันปวดหัวเหมือนจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ แล้วยังรู้สึกเวียนหัว พอืดพะอมเล็กน้อยด้วย
หลังจากกะพริบตาจนคุ้นชินกับแสงแล้ว ถาวจวินหลันก็คิดถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ รีบลูบหน้าท้องของตนเองทันที ไม่รู้สึกถึงความผิดปกติใดๆ ถึงได้ถอนหายใจ
หงหลัวดีใจอย่างยิ่ง เข้ามาถามอาการของถาวจวินหลันอย่างกระตือรือร้น พลางหันไปสั่งนางกำนัลเล็กที่เฝ้าประตูว่า “ไป ไปบอกองค์รัชทายาท บอกว่าพระชายาองค์รัชทายาทฟื้นแล้ว”
ถาวจวินหลันเห็นท่าทียินดีของหงหลัว ก็รู้สึกขบขัน ผ่อนลมหายใจเบาๆ คิดขึ้นมาได้ว่าหลี่เย่กลิ้งตกลงมาพร้อมกับตนเอง นางจึงถามหงหลัวว่า “องค์รัชทายาทเล่า?”
ถาวจวินหลันเป็นเช่นนี้แล้ว หงหลัวย่อมไม่กล้าพูดความจริงให้นางกังวลอีก จึงพูดว่า “องค์รัชทายาทมีเสี้ยนไม้ตำ ตอนนี้กำลังให้หมอหลวงเอาออกอยู่ด้านนอกเพคะ”
หงหลัวเล่าอย่างกระชับ ถาวจวินหลันย่อมคิดว่าไม่ได้เป็นอะไรร้ายแรง จึงไม่ได้ถามอะไรออกมาอีก หันไปกังวลเรื่องงานเลี้ยงเทศกาลไหว้พระจันทร์ “งานสมโภชเทศกาลไหว้พระจันทร์เล่า? ได้จัดต่อหรือไม่? อย่าเสียเวลาเพราะข้าเพียงคนเดียวเลย”
หงหลัวเห็นถาวจวินหลันใส่ใจเรื่องนี้ จึงหัวเราะพูดว่า “จะเป็นไปได้อย่างไรเพคะ? แต่เรื่องนี้บ่าวเองก็ไม่ทราบแน่ชัด คิดว่าน่าจะไม่ได้กระทำต่อนะเพคะ”
ถาวจวินหลันคิดแค่ว่ากลับวังตวนเปิ่นมาก่อนเท่านั้น ไม่รู้ว่างานเลี้ยงเป็นอย่างไรบ้าง จึงไม่ได้คิดมาก เพียงแค่สั่งไปว่า “ไปบอกองค์รัชทายาท ไม่ต้องให้เขาห่วงเรื่องข้า ข้าไม่ได้เป็นอะไรมาก” หยุดไปครู่หนึ่งก็พูดว่า “รอหมอหลวงจัดการเสร็จแล้ว ค่อยเชิญองค์รัชทายาทเข้ามาคุยกับข้าเถิด”
หงหลัวรับคำ ให้คนยกยาเข้ามาช่วยป้อนยาถาวจวินหลัน แล้วถึงได้ออกไปหาหลี่เย่
ส่วนถาวจวินหลันกลับหลับตารักษาสมาธิ หัวนางถูกกระแทก แม้ฟื้นได้สติมาแล้ว แต่ก็ยังมึนๆ อยู่ดี ยังต้องรักษาตัวอย่างสงบก่อน
หงหลัวเพิ่งออกจากห้องนอนไป พอเงยหน้าขึ้นมาจะพูดก็ต้องถูกภาพเหตุการณ์ข้างหน้าสะกดจนนิ่งไป
นางกำนัลคนหนึ่งกำลังเช็ดเหงื่อให้หลี่เย่ การกระทำอ่อนโยน แก้มทั้งสองข้างแดงระเรื่อ ท่าทีเขินอายปนหวาดกลัว ก็ให้ห้องเงียบสงบดูมีเสน่ห์ขึ้นมาพิลึก
ยังดีที่หลี่เย่หลับตาไม่ได้มอง
หงหลัวรีบก้าวเข้าไปข้างกาย แย่งผ้าจากมือของนางกำนัลเล็กคนนั้นแย่ง ข่มความโกรธพูดเสียงขรึม “เจ้าออกไปก่อนเถิด ข้าจะรับใช้องค์รัชทายาทเอง” ด้วยเป็นนางกำนัลที่เข้าวังหลวงมานาน และได้รับการอบอรมสั่งสอนมาอย่างดี ตอนที่ปรนนิบัติรับใช้เจ้านายผู้ชายจึงสงบนิ่งและสง่างาม ไม่อาจแสดงท่าทางขัดเขินได้แม้แต่น้อย ต่อให้ต้องรับใช้เจ้านายผู้ชายอาบน้ำ ก็ต้องปฏิบัติอย่างสงบนิ่ง คิดว่ากำลังเผชิญหน้ากับท่อนไม้ มิเช่นนั้นคงได้เขินอายกันไปหมด แล้วจะทำงานเสร็จได้อย่างไร?
หลี่เย่ได้ยินคำของหงหลัวก็ลืมตาตื่น เอ่ยถามเสียงเบา “พระชายาเป็นอย่างไรบ้าง?”
หงหลัวหน้านิ่งไม่หลุกหลิก ช่วยหลี่เย่เช็ดเหงื่อที่ไหลบนหน้าผากเพราะความเจ็บ พลางรายงานอาการของถาวจวินหลันเสียงเบา “ดูแล้วไม่ได้เป็นอะไรมาก แต่ก็ไม่ได้สบายดีนัก พระชายาบอกให้ท่านอย่ากังวล หลังจากองค์รัชทายาทรักษาเสร็จแล้วให้เข้าไปพูดคุยกับพระองค์”
หลี่เย่พยักหน้า ถามอีกว่า “ตอนนี้เล่า?”
“หลับตาทำสมาธิเพคะ” หงหลัวมองไปยังหมอหลวงที่เหงื่อไหลเต็มตัว ก็หยิบผ้าสะอาดอีกผืนขึ้นมาส่งให้หมอหลวง “หมอหลวงเช็ดเหงื่อเถิด มิเช่นนั้นจะหยดลงมานะเจ้าคะ” หากหยดลงมาบนร่างกายของหลี่เย่ นั่นไม่เพียงเกิดโทษ แล้วยังทำให้หลี่เย่รู้สึกไม่ดีอีกด้วย
หมอหลวงเพ่งสมาธิจนเกือบถึงขีดสุดแล้ว หงหลัวไม่เอ่ยเตือนก็ยังคงไม่รู้ว่าเหงื่อผุดพรายอยู่บนหน้าผาก ได้ยินดังนั้นก็รีบเช็ดอย่างลนลาน แต่ก็รู้สึกไม่ดีที่จะใช้ผ้าที่หงหลัวยื่นมาให้ เพียงแค่ใช้ชายเสื้อเช็ดอย่างขอไปทีเท่านั้น
ยุ่งวุ่นวายกับงานอยู่ครู่ใหญ่ ไม่มีใครสนใจเรื่องกินข้าวทั้งนั้น ดังนั้นทุกคนจึงเริ่มหิวกันแล้ว หงหลัวเอ่ยถามหลี่เย่เสียงเบา “ห้องครัวเล็กเตรียมอาหารไว้แล้วเพคะ องค์รัชทายาทจะเสวยหน่อยหรือไม่เพคะ?”
หลี่เย่เริ่มหิวแล้วเช่นกัน จึงรับคำทันที แต่ก็ถามอีกว่า “พระชายาทานข้าวบ้างแล้วหรือยัง?”
“กินข้าวต้มเปล่าไปถ้วยหนึ่ง ทั้งยังดื่มยาไปด้วย คิดว่าคงทานอย่างอื่นไม่ลงแล้วเพคะ” หงหลัวตอบ “บ่าวให้ห้องครัวเล็กเคี่ยวข้าวต้มเนื้อเละเอาไว้ ถึงเวลาพระชายาหิวก็ทานได้ทันทีเพคะ”
หลี่เย่ครุ่นคิด พูดกำชับอีกว่า “หากเป็นอาหารสำเร็จก็แล้วไป แต่ถ้าไม่ก็ให้ต้มแค่บะหมี่สองถ้วยพอ ของข้าขอจืดกว่าหน่อย ส่วนของหมอหลวง เจ้าก็ไปถามความชอบของเขาเอาแล้วกัน” ด้วยเพราะนอนคว่ำ หลี่เย่จึงไม่ค่อยสะดวกพูดนัก เสียงก็แหบพร่า เขาย่อมไม่อยากพูดมากนัก
หมอหลวงตกใจกับความเมตตาที่ไม่ทันได้ตั้งตัว จึงรีบโบกมือไปมา “อย่าวุ่นวายเลย ทำตัวตามสบายเถิดพ่ะย่ะค่ะ” สุดท้ายก็เอ่ยขอบพระทัยรางวัลของหลี่เย่
หลี่เย่หลับตาลงอีกครั้ง “ทำต่อไป”
หมอหลวงรีบก้มหน้าก้มตาบ่งเสี้ยนออกจากหลังของหลี่เย่ ยังดีที่เหลือไม่เยอะแล้ว พอน้ำแกงมาถึงก็ทำเสร็จพอดี
หลี่เย่ได้ยินหมอหลวงพูดว่า “เสร็จแล้ว” ก็รีบพลิกตัวลุกขึ้นอย่างกระวีกระวาดร้อนใจ นอนคว่ำอยู่นาน จนเขาทนไม่ไหวแล้ว รับเสื้อผ้าจากขันที ก็รีบสวมทันที ก่อนตรงเข้าไปดูถาวจวินหลันในห้องนอน
ทางด้านหงหลัวก็รีบพาหมอหลวงไปกินข้าว ถึงเป็นบะหมี่หนึ่งชาม แต่บะหมี่หนึ่งชามนี้ก็ไม่ธรรมดา มีเครื่องเคียงอย่างอื่นเตรียมไว้ให้ด้วย มิเช่นนั้นก็คงน่าสงสารเกินไปหน่อย
ยายังมีฤทธิ์ช่วยให้ใจสงบ ดังนั้นตอนที่หลี่เย่เข้าไป ถาวจวินหลันก็หลับสนิทไปแล้ว หลี่เย่ย่อมไม่กล้าไปรบกวน เพียงแค่ยืนมองอยู่นิ่งๆ ครู่หนึ่งก็ถอยออกจากห้องไป
หน้าผากของถาวจวินหลันถูกพันแผลไว้อย่างดีแล้ว ด้วยคิดว่าผ้าพันแผลสีขาวไม่ค่อยน่ามอง หงหลัวจึงหาผ้าคาดหน้าผากผืนหนึ่งให้ถาวจวินหลันใส่ไว้ มองผ่านๆ แล้วเหมือนไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ
แต่หลี่เย่รู้ว่าบาดแผลตรงหน้าผากแท้จริงแล้วเป็นอย่างไร เขาจึงรู้สึกเจ็บปวดอย่างมาก
หลังจากรีบร้อนกินข้าวแล้ว หลี่เย่ถึงได้มีเวลามาจัดการเรื่องที่ต้องทำต่อ โจวอี้จับคนที่ควรจับเอาไว้หมดแล้ว ตามคำสั่งของฮ่องเต้ เกรงว่าคงจะต้องจัดการเรื่องนี้ทั้งวันทั้งคืน
หลี่เย่คิดว่าจะไปพบคนเหล่านั้นก่อนถูกจัดการ มิเช่นนั้นรอให้คืนนี้ผ่านไป เกรงว่าเรื่องมากมายคงจะถูกกลบมิดโดยสมบูรณ์