บัลลังก์พญาหงส์ - บทที่ 671 คลื่นพัดโหม
ตอนที่ถาวจวินหลันดื่มยา ก็มีคนไม่น้อยกำลังพูดถึงเรื่องเมื่อวานนี้
เมื่อวานนี้ ตอนที่ถาวจวินหลันถูกหลี่เย่อุ้มออกมาด้วยใบหน้าโชกเลือด มีคนสังเกตเห็นอย่างชัดเจน หลายคนจึงอดสงสัยไม่ได้ว่า ถาวจวินหลันเป็นอย่างไรบ้าง
หลายคนคิดว่าถาวจวินหลันได้รับบาดเจ็บหนัก บางทีอาจจะเสี่ยงถึงชีวิตเลยก็ได้
หนึ่งในนั้นก็มีฮูหยินรองหวัง
ฮูหยินรองหวังพูดคุยกระซิบกระซาบกับหวังฮูหยินอย่างมีพิรุธ “ท่านพี่คงไม่ทราบ เห็นคนอื่นพูดกันว่าชายารัชทายาทไม่ไหวแล้วเพคะ!”
หวังฮูหยินได้ยินก็ตกใจ “เป็นไปไม่ได้กระมัง? ไม่เห็นด้านในออกมาพูดอะไร…” แม้สงสัยเต็มอก แต่ก็ยังใจเต้นแรง
ฮูหยินรองหวังหัวเราะเสียงเย็น “ยังต้องออกมาพูดอะไรอีก? เมื่อวานนี้หมอหลวงอยู่ในวังตวนเปิ่นนานขนาดนั้น ข้าเดาว่าต้องเป็นเพราะบาดแผลของถาวซื่อร้ายแรงเกินไป อย่างไรก็บาดเจ็บที่ศีรษะ ไฉนเลยจะสบายดีเพคะ?”
คำพูดของฮูหยินรองหวังนี้มีเหตุผลทีเดียว หวังฮูหยินจึงยิ่งสับสนไปกันใหญ่
“ตายไปก็ดี” ฮูหยินรองหวังก่นด่าด้วยความรังเกียจ “ข้าไม่ชอบท่าทีวางตัวหยิ่งยโสแล้วยังแสร้งทำใจกว้างสงบนิ่งของนาง ก็แค่คลอดลูกได้มิใช่หรือ? มีอะไรน่าแปลกใจกัน? ไม่รู้ว่าองค์รัชทายาทตาบอดหรืออย่างไร ถึงได้เห็นนางเป็นเหมือนของล้ำค่าอย่างนั้น”
หวังฮูหยินมองน้องสาวของตนเอง สุดท้ายก็ไม่ได้เอ่ยปากตักเตือน เพียงแค่นวดหัวคิ้วด้วยปวดหัว “เอาเถิด จากนี้อย่าพูดเรื่องเหล่านี้อีก หากคนอื่นได้ยินเข้า เจ้าคงไม่รอดแน่”
หยุดไปครู่หนึ่ง หวังฮูหยินก็ลุกขึ้นมาอีกครั้ง “ไม่ได้ ข้าต้องไปพบฮองเฮาเหนียงเหนียง”
ฮูหยินรองหวังรีบลุกตาม “ข้าไปด้วย” แต่เมื่อหันหน้าเจอแผ่นหลังของหวังฮูหยิน นางก็ปรากฏรอยยิ้มเย้ยหยันขึ้นมา
หวังฮูหยินถูกกักเอาไว้นอกประตู กลับเป็นฮูหยินรองหวังที่ได้เข้าไป หวังฮูหยินยืนอยู่ตรงประตูด้วยท่าทางอึดอัดทำตัวไม่ถูก ทั้งมืดมนทั้งหนักหน่วง นางรู้ดีว่าทำไมฮองเฮาถึงไม่ยอมพบนาง ไม่มีอะไรนอกจากเรื่องคราวก่อนที่นางไปหาถาวจวินหลัน
หวังฮูหยินหัวเราะขมขื่น ไม่ได้รั้นอีก ก่อนหมุนตัวเดินกลับไป นางไม่เสียดายที่ไปหาถาวจวินหลันวันนั้น อย่างไรนางก็มีลูกสาวสองคน นางยอมทำทุกอย่างเพื่อเด็กทั้งสอง
พอฮองเฮาให้ฮูหยินรองหวังเข้าพบ ก็ไม่มีท่าทางกระตือรือร้นนัก แต่เย็นชาด้วยซ้ำไป “มีอะไรหรือ?”
ฮูหยินรองหวังคล้องแขนของฮองเฮาอย่างออดอ้อน พูดว่า “เสด็จป้า พระองค์ไม่ดีใจหรือเพคะ? ถาวซื่อที่น่ารังเกียจโชคร้ายแล้วเพคะ”
ฮองเฮาเหลือบมองฮูหยินรองหวังด้วยสายตาเย็นชา มองเพียงครั้งเดียวก็ให้ฮูหยินรองหวังสงบลงทันที
ฮูหยินรองหวังเผลอปล่อยมือออกด้วยความกลัว แต่ยังคงมีสีหน้าสงสัย “เสด็จป้า เป็นอะไรหรือเพคะ?”
“ใช้สมองหน่อยเถิด” ฮองเฮานวดหว่างคิ้ว ขี้เกียจจะพูดอะไรอีก ไล่ให้ฮูหยินรองหวังออกไปตรงๆ ถอนทอนอยู่ในใจ ทำไมหญิงตระกูลหวังถึงตกต่ำลงเรื่อยๆ?
ฮูหยินรองงงเป็นไก่ตาแตก สุดท้ายหมัวหมัวอาวุโสที่อยู่กับฮองเฮามานานหลายปีคนหนึ่งก็ทนมองต่อไปไม่ได้ หลุบตาพลางเอ่ยเตือนว่า “เกรงว่าคงมีคนไม่น้อยสงสัยฮองเฮา มีอะไรน่าดีใจกันเพคะ?”
นอกจากฮูหยินรองหวังที่คาดเดาไปเองแล้ว อิงผินกับองค์หญิงแปด รวมถึงอี้กุ้ยเฟยกลับมาเยี่ยมด้วยความกังวล
อี้กุ้ยเฟยแวะไปดูอาการองค์ชายเจ็ดก่อน จากนั้นก็มายังวังตวนเปิ่น แต่จะมาหาเป็นการพิเศษหรือว่ามาแวะเยี่ยมเพราะบังเอิญผ่านมาย่อมไม่มีใครรู้นอกจากตัวอี้กุ้ยเฟยเอง
อี้กุ้ยเฟยก็ส่งของมาจำนวนมาก ด้วยไม่กล้าส่งของกินมา จึงส่งหินหยกที่ยังไม่ผ่านการแกะสลัก และอัญมณีกล่องหนึ่งมาแทน
อิงผินกับองค์หญิงแปดไม่ได้ส่งอะไรมา แต่องค์หญิงแปดนำข่าวดีมาบอกด้วยเรื่องหนึ่ง…นางตั้งท้องแล้ว
ถาวจวินหลันทั้งตกใจและดีใจ ผ่านไปครู่ใหญ่ถึงได้แสดงความยินดีกับองค์หญิงแปด “ยินดีกับเจ้าด้วย หวังว่าเจ้าจะได้ลูกชายนะ”
องค์หญิงแปดยิ้มแย้ม รับคำอวยพรของถาวจวินหลันอย่างไม่ลังเล “ขอรับคำมงคลของพระชายาแล้วเพคะ หากได้บุตรชายจริง คงต้องเชิญองค์รัชทายาทมาช่วยตั้งชื่อแล้วเพคะ”
ถาวจวินหลันหัวเราะเสียงดัง พลางพูดรับคำ “ดี ตามเจ้าว่า ถึงเวลานั้น หวังว่าสามีของเจ้าจะเห็นด้วยก็แล้วกัน”
“เขาจะไม่เห็นด้วยได้อย่างไรเพคะ?” องค์หญิงแปดหัวเราะ พูดว่า “เขาควรต้องดีใจ ไม่มีทางไม่พอใจเป็นแน่เพคะ”
“ยังไม่แน่หรอก นี่เป็นลูกชายคนโตของเขาเชียวนะ” ถาวจวินหลันหัวเราะ หันไปมองอิงผิน “อิงผินเหนียงเหนียง ตอนนี้ถือว่ามีแต่เรื่องดีนะเพคะ เหตุใดถึงไม่เอาของดีมาให้ข้าด้วยเล่า? ช่างขี้งกเสียจริง”
ทางด้านอิงผินเพิ่งจะเลื่อนขั้นเป็นตำแหน่งเฟย ส่วนองค์หญิงแปดก็ตั้งครรภ์ นั่นไม่ใช่เรื่องดีเข้ามาหาพร้อมกันหรืออย่างไร
พอได้ยินถาวจวินหลันพูดหยอกล้อ อิงผินกลับไม่ได้รู้สึกประหม่าแม้แต่น้อย “ข้าจะไปมีของดีอะไร? เจ้าเป็นถึงชายารัชทายาทแล้ว ทำไมยังอยากได้ของจากข้าอีกเล่า อีกอย่าง ส่งของมาให้ก็ไร้ประโยชน์อยู่ดี เจ้าไม่ได้ขาดอัญมณี อย่างอื่นข้าก็ไม่กล้าเอามาให้ นั่นไม่นับว่าสิ้นเปลืองเรี่ยวแรงอย่างนั้นหรือ”
ถาวจวินหลันส่ายหน้า กลืนไม่เข้าคายไม่ออก “ช่างเถิด อิงผินเหนียงเหนียงคงตั้งใจเก็บของดีไว้ให้หลานสินะเพคะ“
สองสามคนพูดคุยหยอกล้อกันอยู่ครู่หนึ่ง องค์หญิงแปดถึงได้เอ่ยปากถามอาการบาดเจ็บของถาวจวินหลัน “แผลบนหน้าผากของท่านรุนแรงหรือไม่? ข้าได้ยินว่าน่าตกใจทีเดียว?”
เมื่อวานนี้อิงผินก็อยู่ในเหตุการณ์ ย่อมรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น จึงถอนหายใจพูดว่า “ไม่น่าตกใจได้อย่างไร? ตอนนั้นข้าอึ้งไปแล้ว ข้าอยู่ในวังมานานหลายปี ยังไม่เคยพบเจอเหตุการณ์เช่นนี้ ไม่รู้ว่าคนพวกนั้นทำกันอย่างไร”
ถาวจวินหลันยิ้ม “ยังดีที่ไม่เป็นอะไรมาก ล้มลงมาไม่แรงนัก อีกอย่าง หลังพานพบเคราะห์กรรม หลังจากนี้คงราบรื่นแล้วกระมัง?“
อิงผินพยักหน้าติดต่อกัน “เป็นจริงอย่างว่า”
องค์หญิงแปดกลับกังวล “คงไม่เหลือแผลเป็นกระมัง?”
ถาวจวินหลันนิ่งไป หัวเราะขมขื่น “ทิ้งแผลเป็นไว้แน่นอน แต่วังหลวงมียาดีมากมาย อย่างไรก็ต้องเห็นผล แม้ทิ้งแผลเป็นแต่ก็ไม่ชัดมากนัก ใช้แป้งกลบทับได้ อีกอย่างข้าก็ไม่ใช่เด็กสาวอายุน้อยแล้ว จะทิ้งแผลเป็นไว้ก็ไม่สำคัญ”
องค์หญิงแปดได้ยินถาวจวินหลันพูดอย่างเรียบง่าย จึงถลึงตามองนางทีหนึ่ง “มีสตรีที่ไหนไม่สนใจรูปลักษณ์ตนเองบ้างเพคะ? ท่านแสร้งทำไปเถิด อย่าไปแอบร้องไห้ทีหลังก็แล้วกัน!”
ถาวจวินหลันทำตัวไม่ถูก “มิเช่นนั้นจะทำอะไรได้อีก? ข้าร้องไห้โวยวาย แล้วแผลที่เหลือไว้จะหายไปหรืออย่างไร?”
องค์หญิงแปดหมดคำพูดตอบโต้ทันที ผ่านไปนานก็ส่ายหน้า “ท่านดูสบายใจเหลือเกินเพคะ”
“ไม่อยากปล่อยวางก็ต้องปล่อยวาง” ถาวจวินหลันหัวเราะ “แต่เดิมข้าก็ไม่ได้สวยงามค้ำฟ้ามาจากไหน ยิ่งไม่ใช่คนที่ใช้รูปลักษณ์มายั่วยวนคนอื่น แล้วยังต้องกังวลไปทำไม?”
ที่จริงพอรู้ว่าต้องทิ้งรอยแผลเป็นเอาไว้ หลี่เย่ดูเคร่งเครียดกว่านางด้วยซ้ำไป แน่นอนว่าที่หลี่เย่เครียดก็ด้วยกลัวว่านางจะรู้สึกเสียใจ ไม่ได้กลัวว่าหลังจากนี้ไปนางจะไม่สวย
หลี่เย่กดดันหมอหลวงให้พยายามถึงที่สุด ผสมยาลบเลือนบาดแผลที่ดีที่สุด นางย่อมไม่มีอะไรต้องเรียกร้องอีกแล้ว
“ข้าได้ยินว่าจวงผินก็บาดเจ็บบนใบหน้า” อิงผินม้วนแขนเสื้อขึ้น กดเสียงพูด “ได้ยินว่าอาจจะทิ้งแผลเป็นเช่นเดียวกัน หลังจากฮ่องเต้ได้ยินเรื่องนี้ก็ทรงกริ้วมาก ทั้งยังสงสารนาง คิดจะเลื่อนขั้นเฟยให้นางอีก”
ถาวจวินหลันตกใจ “หน้าของจวงผินก็บาดเจ็บอย่างนั้นหรือ? เจ็บได้อย่างไร?”
อิงผินนิ่งอึ้งไป “เจ้าไม่รู้หรือ?”
ถาวจวินหลันมึนงงไป “ข้าควรรูอะไรอย่างนั้นหรือ?”
อิงผินได้สติขึ้นมาทันที เกรงว่าเรื่องนี้คงมีคนปิดบังถาวจวินหลันเอาไว้ พอนางพูดออกไปจึงดูปากมากไปเสียอย่างนั้น แต่คำพูดหลุดจากปากไปแล้ว เห็นชัดว่าไม่อาจเรียกกลับมาได้ ดังนั้นนางจึงทำได้แค่พูดต่อไป แต่ก็ไม่กล้าพูดละเอียดมาก เพียงแค่บรรยายสถานการณ์เมื่อวานคร่าวๆ สุดท้ายก็พูดว่า “ได้ยินว่าบาดเจ็บเพราะช่วยฮ่องเต้”
ตอนที่อิงผินพูดประโยคนี้ ก็ไม่ทันได้สังเกตว่าตนเองกำลังยิ้มเยาะ แต่ถาวจวินหลันกลับสังเกตเห็น
ถาวจวินหลันคิดว่าที่อิงผินรู้สึกเย้ยหยันอาจด้วยคิดว่าเรื่องนี้เป็นแค่การแสดงละครเท่านั้น จะบอกว่ากู้ซีชอบฮ่องเต้มากขนาดเสี่ยงอันตรายเพื่อฮ่องเต้อย่างนั้นหรือ? เกรงว่าคงไม่ใช่
แต่ไม่ว่าพูดอย่างไร เรื่องนี้ก็เกิดขึ้นแล้ว ไม่ว่าคนอื่นจะคิดอย่างไร ขอเพียงฮ่องเต้ซาบซึ้ง และไม่เกี่ยวข้องกับคนอื่นก็พอแล้ว
แต่ถาวจวินหลันยังสนใจเรื่องที่อิงผินบอกก่อนหน้านี้ ‘ฮ่องเต้คิดจะเลื่อนขั้นเฟยให้นางอีกขั้น’
กู้ซีเป็นหนึ่งในสี่เฟยแล้ว ถ้าเลื่อนขั้นต่อไปก็เป็นกุ้ยเฟย แต่กุ้ยเฟยคงมีสองคนในเวลาเดียวกันไม่ได้กระมัง? ตั้งแต่รัชสมัยนี้เป็นต้นมา ก็ไม่เคยมีกฎเกณฑ์เช่นนี้มาก่อน
ถาวจวินหลันขมวดคิ้วมุ่น “ข่าวนี้น่าเชื่อหรือไม่เพคะ?”
อิงผินหัวเราะ “เป็นข่าวที่หลุดออกมาจากวังของจวงผิน”
ถาวจวินหลันยิ่งขมวดคิ้วแน่นขึ้น ในเมื่อหลุดออกมาจากวังของกู้ซี อย่างน้อยก็ต้องน่าเชื่อถือกว่าหกถึงเจ็ดส่วน ฮ่องเต้คงสัญญาเช่นนี้ หรือคิดเช่นนี้จริง
แน่นอนว่าฮ่องเต้อยากเลื่อนตำแหน่งให้กู้ซี ที่จริงแล้วก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับนางนัก แต่พอคิดถึงวิธีการของกู้ซี ถาวจวินหลันก็คิดว่าปล่อยให้เรื่องดำเนินไปเช่นนี้ไม่ได้ ยิ่งตำแหน่งของกู้ซีสูงมากเท่าไรก็ยิ่งสร้างเรื่องวุ่นวายได้ง่ายเท่านั้น อย่างน้อยดูจากการที่นางคิดอยากกดกู้ซีเอาไว้ก็ไม่ได้ง่ายเท่านั้นอีกแล้ว
“แต่เรื่องนี้ก็ยังไม่เร่งรีบ ข้าคิดว่าคงไม่สำเร็จในเร็ววัน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าฮองเฮาเห็นด้วยหรือไม่ เพียงขุนนางด้านนอกก็คงไม่เห็นด้วยแล้ว คดีความครั้งนี้ยังต้องสะสางอีก” อิงผินหัวเราะ จงใจพูดเพื่อปลอบประโลมถาวจวินหลัน สุดท้ายก็พูดอีกว่า “พูดเรื่องเหล่านี้ก็คิดแค่พูดฆ่าเวลาเท่านั้น หากเจ้าใส่ใจจนเก็บไปคิดมาก นั่นถือว่าเป็นความผิดของข้าแล้ว ต่อไปนี้ข้าจะกล้าพูดคุยกับเจ้าได้อีกอย่างไร”
อิงผินพูดเช่นนี้ ถาวจวินหลันก็หลุดหัวเราะทันที แต่นางต้องยอมรับว่า อิงผินนั้นพูดถูกต้อง นางจึงเปิดใจกว้าง พูดยิ้มๆ ว่า “เป็นความผิดของข้า แต่เดิมก็เป็นคนชอบคิดมาก ช่างเถิดเพคะ ตอนนี้พวกเราไม่พูดเรื่องนี้แล้ว พูดเรื่องน่าฟังดีกว่า”