บัลลังก์พญาหงส์ - บทที่ 677 รอไม่ไหว
หลังจากหลี่เย่ได้สติกลับมาแล้วก็คิดจะอ้าปากอธิบาย แต่เมื่อเห็นดวงตาแดงระเรื่อของถาวจวินหลันเขาก็ทำได้แค่ปิดปากเงียบ ลอบถอนหายใจเบาๆ ก่อนถอยออกไป ในใจคิดว่ารอให้ใจเย็นกว่านี้ค่อยอธิบายดีกว่า มิเช่นนั้นตอนนี้อยู่ต่อไปก็มีแต่จะทำให้ถาวจวินหลันเสียใจและโมโหมากกว่าเดิม
หลังจากหลี่เย่ถอยออกไปแล้ว ถาวจวินหลันก็ร้องไห้โฮนอนฟุบไปกับโต๊ะ
นางโกรธเป็นแน่ แต่ก็ไม่ได้โกรธเรื่องที่หลี่เย่ต้องการยัดเยียดเซิ่นเอ๋อร์มาให้นางทั้งหมด หลักๆ เป็นเพราะวิธีการของหลี่เย่
นอกจากโกรธแล้วก็ยังน้อยใจ นางถึงกับอดคิดไม่ได้ว่าหลี่เย่ทำเช่นนี้มีจุดประสงค์อะไร และคิดอะไรอยู่กันแน่ เพื่อเซิ่นเอ๋อร์อย่างนั้นหรือ? หรือเพราะอย่างอื่น…
นางไม่เชื่อว่าหลี่เย่จะไม่เข้าใจความคิดและจิตใจของนาง นางไม่เคยคิดสักครั้งว่าจะเอาเซิ่นเอ๋อร์มาเลี้ยงดู มิเช่นนั้นนางคงทำเรื่องนี้ตั้งแต่แรกแล้ว ไม่ต้องรอให้คนมาเสนอเอาวันนี้หรอก
แต่คิดไม่ถึงว่าหลี่เย่จะเป็นคนไปเสนอเรื่องนี้กับไทเฮา และคิดไม่ถึงว่าหลี่เย่จะคิดเช่นนี้ หลี่เย่ต้องรู้ความคิดของนางอย่างแน่นอน แต่เขาก็ยังทำ
แท้จริงแล้วหลี่เย่เห็นนางเป็นอะไรกันแน่
ถาวจวินหลันถอนหายใจ แต่กลับไม่คิดลึกมากกว่านี้ หลี่เย่ย่อมไม่เป็นอย่างที่นางคาดเดาเป็นแน่
พอได้ร้องไห้ นางก็สงบใจลงไม่น้อย แล้วก็รู้สึกละอายใจ ที่จริงนางอาละวาดอย่างไร้เหตุผล แม้ว่าหลี่เย่ผิดจริง แต่ท่าทีของนางก็ไม่ดีเช่นกัน
หลังจากบอกให้นางกำนัลยกน้ำเข้ามา ถาวจวินหลันก็ล้างหน้า ถามทั้งเสียงแหบแห้ง “องค์รัชทายาทเล่า?” เมื่อครู่นี้เอาความโมโหไปลงที่หลี่เย่ นางจึงไม่ค่อยสบายใจนัก กลัวว่าหลี่เย่จะไม่พอใจ
ตอนแรกนางคิดว่าหลี่เย่น่าจะอยู่ในห้องหนังสือ แต่คิดไม่ถึงว่านางกำนัลกลับตอบว่า “องค์รัชทายาทออกไปแล้วเพคะ แต่ไม่ได้ตรัสว่าจะไปที่ใด”
ถาวจวินหลันนิ่งอึ้งไปเล็กน้อย บอกไม่ถูกว่าแปลกใจหรือผิดหวังมากกว่ากัน รู้สึกว่าหลี่เย่ไม่ได้เป็นเหมือนที่นางคิดเอาไว้ นางจึงแปลกใจไม่น้อย
แต่พอมาลองคิดดูอีกครั้ง ก็คิดว่าบางทีหลี่เย่อาจจะอารมณ์ไม่ดี ดังนั้นถึงได้ออกไปสงบสติอารมณ์ หรือบางทีอาจจะมีเรื่องอื่นจริง นั่นก็ถือเป็นเรื่องปกติ
ดังนั้นนางจึงไม่ได้ติดใจเรื่องนี้ หลังจากปรับอารมณ์แล้ว ก็ทำในสิ่งที่ตนเองควรต้องทำ ในใจคิดว่าบางทีตกดึกหลี่เย่อาจจะกลับมา ถึงเวลานั้นคงได้พูดคุยกันดีๆ
แต่ถาวจวินหลันกลับต้องแปลกใจยิ่ง คืนนั้นหลี่เย่ไม่ได้กลับมา เพียงฝากโจวอี้มาบอกว่าวันนี้เขาพักอยู่เป็นเพื่อนไทเฮาที่วังหย่งโซ่ว
พอได้ยินดังนั้นถาวจวินหลันก็บอกไม่ถูกว่ารู้สึกยินดีหรือผิดหวัง แต่นางย่อมไม่แสดงสีหน้าอะไรออกมา เพียงแค่พูดยิ้มๆ ว่า “เช่นนั้นเจ้าก็ดูแลองค์รัชทายาทให้ดีเถิด” พูดจบก็บอกให้โจวอี้ออกไป
แต่สิ่งที่ไม่รู้ก็คือหลังจากที่โจวอี้ออกจากวังตวนเปิ่นกลับมาถึงข้างกายหลี่เย่ แล้วบอกคำพูดของนาง หลี่เย่ก็มีสีหน้าผิดหวังทันที ถามอย่างสงสัยว่า “พระชายาองค์รัชทายาทพูดเช่นนั้นจริงหรือ? ไม่ได้บอกให้ข้ากลับไปอย่างนั้นหรือ?”
โจวอี้พยักหน้า
หลี่เย่เริ่มกระอักกระอ่วน สุดท้ายก็กระแอมออกมาเบาๆ แสร้งทำเป็นไม่ใส่ใจ พูดว่า “เช่นนั้นก็ไปหาไทเฮาเถิด” แต่ก็ลอบถอนหายใจออกมาอีกครั้ง ด้วยเพราะเซิ่นเอ๋อร์กับกั่วเจี่ยเอ๋อร์ และการดำรงอยู่ของสตรีนางอื่นทำให้ความสัมพันธ์ฉันสามีภรรยาของพวกเขามีปมและรอยร้าวเล็กน้อย เขากับถาวจวินหลันหลีกเลี่ยงปัญหานี้มาตลอด คิดว่าทำเช่นนี้แล้วรอยร้าวจะสมานกันได้สักวัน แต่คิดไม่ถึงว่าสิ่งที่คิดมานั้นผิดทั้งหมด
ปัญหาทุกอย่างประดังประเดเข้ามา
แต่จะสืบสาวไต่ความไป นี่ก็เป็นความผิดของเขา หากตอนแรกเขาทำตามใจตัวเองได้ ปมปัญหาเหล่านี้ย่อมไม่มีทางเกิดขึ้น
หลี่เย่รู้สึกเสียใจภายหลัง จนคิดว่าไม่น่าให้ไทเฮาพูดเรื่องนี้เลยจริงๆ
แต่เสียใจไปก็ไม่มีประโยชน์ หลี่เย่ถอนหายใจ เอามือไพล่หลังเดินตรงไปยังวังหย่งโซ่วช้าๆ ในใจก็เริ่มคิดแผนว่าจะกลับวังตวนเปิ่นได้เมื่อไร
หลังจากนั้นอีกสองวัน หลี่เย่ก็ยังไม่ยอมกลับไป เพียงแค่ส่งโจวอี้มารายงานทุกวัน และทุกครั้งถาวจวินหลันก็ตอบรับทราบอย่างเรียบนิ่ง พลางกำชับสองสามคำอย่างเฉยชา
เหมือนว่าต่างฝ่ายต่างไม่เข้าใจความตั้งใจของอีกฝ่าย หรือจะบอกว่าจงใจหลีกเลี่ยงอีกฝ่าย จากนั้นก็ไม่มีใครยอมลดทิฐิมาพูดเรื่องนี้ก่อน
เวลาผ่านไปสองวัน จึงเกือบละเลยความเคลื่อนไหวด้านฮองเฮากับอู่อ๋องไปแล้ว
อู่อ๋องมาทำความเคารพฮองเฮาด้วยตนเองครั้งหนึ่ง จากนั้นอู่อ๋องก็ไปพบจิ้งเฟยแม่แท้ๆ ของตน จากนั้นจิ้งเฟยก็เริ่มทุกข์ร้อนใจ
หลังจากถาวจวินหลันได้รับข่าวนี้ แม้ไม่รู้สถานการณ์ตอนนั้นอย่างละเอียด แต่ก็พอคาดเดาได้บ้าง ฮองเฮากับอู่อ๋องเห็นพ้องต้องกันและรวมเป็นหนึ่งเดียว เห็นชัดว่าเป็นการทำลายผลประโยชน์หรือความสัมพันธ์ของจิ้งเฟย
ถาวจวินหลันอยากจะรู้ว่าสุดท้ายแล้ว อู่อ๋องกับฮองเฮาต้องการทำอะไรกันแน่ จึงไม่ได้เข้าไปยุ่งเรื่องนี้ เพียงแค่รอให้ฮองเฮาเรียกเข้าเฝ้าอยู่เงียบๆ เทียบกับอู่อ๋องแล้ว ที่จริงนางระแวงหวังฮ่วนจื้อมากกว่า
แต่หวังฮ่วนจื้อไม่ได้ทำอะไรเลย แม้แต่ออกไปข้างนอกก็ยังไม่เคย คล้ายไม่สนใจเรื่องที่ตระกูลถาวจะเรียกความยุติธรรมจนตระกูลหวังได้รับผลกระทบไปด้วย แม้แต่พ่อของเขา เขาก็ยังไม่เคยไปเยี่ยมหา เอาแต่ใช้ชีวิตสำมะเลเทเมาไปกับโสเภณีสองคนที่ซื้อมาใหม่ในบ้าน
ถาวจิ้งผิงทนไม่ไหวแล้ว ตอนนี้เรี่องคืนความยุติธรรมก็ใกล้สำเร็จมากขึ้นทุกที เขากระวีกระวาดร้อนใจรอไม่ไหว เขาย่อมไม่พอใจที่ถาวจวินหลันบอกให้หยุดรอก่อน
วันนี้ตอนที่องค์หญิงเก้าเข้าวังมาทำความเคารพถาวจวินหลัน ก็ยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูด “จิ้งผิงไม่อยากปล่อยตัวการเรื่องใส่ร้ายท่านพ่อไป ตอนนี้เป็นโอกาสดีอันหาได้ยาก ไม่ควรรอต่อไป ยิ่งเรียกคืนความบริสุทธิ์ได้เร็วเพียงใด ท่านพ่อท่านแม่ก็นอนตายตาหลับเร็วขึ้นเพคะ”
ถาวจวินหลันได้ยินเช่นนี้ก็รู้แล้วว่าถาวจิ้งผิงคงรอไม่ไหวแล้วเป็นแน่ คิดดูก็ไม่น่าแปลกนัก อย่างไรถาวจิ้งผิงก็ยังไม่โตเป็นผู้ใหญ่เสียทีเดียว ที่จริงอายุของเขาก็เพิ่งขึ้นเลขสองเท่านั้น เป็นช่วงเวลาที่กำลังคึกคะนอง อีกทั้งเรื่องนี้ก็ยังขาดหลักฐานอีกเพียงเล็กน้อย ไม่ต้องพูดถึงถาวจิ้งผิง แม้แต่นางเองก็คาดหวังมาก
แต่เรื่องนี้ยังต้องวางแผนการณ์ไกล แต่นางไม่พูดความคิดของตนเองออกมาตรงๆ ถามองค์หญิงเก้ากลับไปว่า “เจ้าคิดว่าอย่างไร?”
องค์หญิงเก้าลังเลไป “หม่อมฉันคิดว่าจิ้งผิงพูดถูกเพคะ” หลังจากพานพบเรื่องทรมานมาแล้วครั้งหนึ่ง ความสัมพันธ์ฉันสามีภรรยาของพวกเขาจึงดีขึ้นบ้างแล้ว ด้วยสนิทสนมกันดี บวกกับการสั่งสอนก่อนหน้านี้ ทำให้องค์หญิงเก้าไม่คิดจะคัดค้านความคิดของถาวจิ้งผิงอีก
อีกทั้งองค์หญิงเก้ายังหวังว่าหลังจากเรื่องนี้จบลงไปแล้ว ถาวจิ้งผิงจะอารมณ์ดีได้บ้าง หลายวันมานี้เห็นถาวจิ้งผิงผิดหวังเป็นกังวล นางก็ร้อนรนใจตามไปด้วย
เห็นองค์หญิงเก้ามีท่าทีเช่นนี้ ถาวจวินหลันก็ลอบถอนหายใจ แต่ริมฝีปากก็ยังแย้มยิ้ม “เป็นเช่นนี้ก็ดีเหมือนกัน พวกเจ้าสามีภรรยามีใจตรงกัน ข้าเห็นแล้วมีความสุขนัก”
องค์หญิงเก้าเขินอายเล็กน้อย แต่ยินดียิ่งกว่า “พูดเช่นนี้แปลว่าพระชายาเห็นด้วยกับข้อเสนอของพวกเราหรือ?”
ถาวจวินหลันส่ายหน้าเบาๆ ปฏิเสธออกมาตรงๆ “ไม่ ข้ายังคงไม่เห็นด้วย ข้าอยากให้พวกเรารออีกหน่อย ไม่ว่าอย่างไรคำให้การก็อยู่ตรงนั้น ไม่มีใครปฏิเสธไปได้ ทำไมพวกเราจะต้องร้อนใจตอนนี้ด้วยเล่า?“
องค์หญิงเก้าขมวดคิ้วโดยพลัน มีท่าทีไม่ค่อยเห็นด้วยนัก
ถาวจวินหลันไม่ได้พูดมาก ตัดสินใจทันที “เอาเถิด ตามนี้แล้วกัน”
องค์หญิงเก้าได้ยินเช่นนี้ย่อมไม่ต่อต้าน แต่ใบหน้ากลับเต็มไปด้วยความผิดหวัง
“มู่เอ่อร์เป็นอย่างไรบ้าง?” ถาวจวินหลันยิ้มถามถึงลูกชายขององค์หญิงเก้า ตั้งใจใช้เรื่องนี้มาเปลี่ยนเรื่องพูด
เป็นไปตามที่คาดไว้ พอพูดถึงลูกชาย องค์หญิงเก้าก็เหมือนจะลืมเรื่องอื่นไป ยิ้มแย้มพูดว่า “มู่เอ๋อร์แข็งแรงดีมากเพคะ เลี้ยงง่ายด้วย แม่นมก็พูดกันว่ามู่เอ๋อร์เป็นเด็กดีมาก ไม่ดื้อเลย เพคะ”
ถาวจวินหลันก็หัวเราะ “เช่นนั้นก็ดีแล้ว หวังว่าเขาจะเป็นเด็กแข็งแรงซุกซนเหมือนซวนเอ๋อร์ อย่างไรเด็กผู้ชายก็ควรต้องแข็งแรงร่าเริงหน่อยถึงจะดี เจ้าว่าจริงหรือไม่? เจ้าอย่าเห็นเป็นเรื่องยุ่งยาก พอเขาโตขึ้นรู้ความแล้ว ไม่ว่าเจ้าอยากเห็นความซุกซนของเขาอย่างไร ก็คงไม่ได้เห็นอีกแล้ว”
พอพูดถึงเรื่องลูกเวลาก็ไหลผ่านไปอย่างรวดเร็ว แค่ชั่วพริบตาเดียวเวลาก็เริ่มเย็นแล้ว องค์หญิงเก้าจึงลุกขึ้นขอตัวลา
ถาวจวินหลันก็ลุกออกไปส่ง
ตอนที่เดินมาถึงหน้าประตูวังตวนเปิ่น จู่ๆ องค์หญิงเก้าก็หยุดฝีเท้าพูดเสียงเบาว่า “ได้ยินว่าพระชายาองค์รัชทายาททะเลาะกับองค์รัชทายาทหรือเพคะ?”
ถาวจวินหลันนิ่งอึ้ง ถามว่า “เจ้ารู้ได้อย่างไร?”
“ได้ยินคนเล่ามาเพคะ” องค์หญิงเก้าหัวเราะประหม่า แต่ก็ปกปิดท่าทีผิดปกติของตนไปอย่างรวดเร็ว ก่อนพูดเสียงเบาว่า “บางครั้งผู้ชายก็ห่วงศักดิ์ศรีของตนเอง ข้าเข้าใจเขาดี แม้ยามปกติดูอบอุ่น แต่ก็เจ้าอารมณ์เช่นเดียวกัน จะงัดข้อกันต่อไปก็ไม่ดีนะเพคะ เดี๋ยวคนอื่นหัวเราะเอานะ หากให้หม่อมฉันพูด พระชายายอมถอยให้สักก้าวดีกว่าเพคะ”
องค์หญิงเก้าพูดด้วยความหวังดี ไม่ว่าจะยอมรับหรือไม่ ถาวจวินหลันก็หัวเราะพลางเอ่ยขอบคุณ “ขอบใจเจ้ามาก”
พอส่งองค์หญิงเก้ากลับไปแล้ว ถาวจวินหลันก็นิ่งอยู่ในภวังค์ แท้จริงแล้วองค์หญิงเก้าไปได้ยินใครพูดมากันแน่?
จะบอกว่าทุกคนรู้เรื่องนี้ไปทั่วก็ย่อมเป็นไปไม่ได้ ถึงนางกับหลี่เย่ทะเลาะกัน แต่มองจากมุมของคนนอกก็คงเห็นว่าว่าไทเฮามีพระวรกายไม่แข็งแรงเท่านั้น หลี่เย่กับไทเฮารักกันดี ดังนั้นจึงอยู่เป็นเพื่อนไทเฮานานหน่อย อีกทั้งตัวนางก็ไม่ได้มีท่าทางผิดปกติอะไร ทั้งไม่แสดงอารมณ์ฉุนเฉียว และไม่เคยเอ่ยโทษใครมาก่อน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคนอื่นในวัง แม้แต่คนในวังตวนเปิ่นก็มีตั้งมากมายที่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
ดังนั้นเรื่องนี้ช่างน่าแปลก
ถาวจวินหลันครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็คิดบางอย่างได้ ที่จริงน่าจะมีความเป็นไปได้สองอย่าง อย่างแรกคือมีสายสืบอยู่ที่วังตวนเปิ่น หรือข้างกายหลี่เย่มีหนอนบ่อนไส้ อย่างที่สองคือหลี่เย่สั่งให้องค์หญิงเก้ามาพูดกับนางเอง