บัลลังก์พญาหงส์ - บทที่ 681 ประณาม
สุดท้ายฮ่องเต้ก็ไม่ได้ต่อว่าอะไรอีก เพียงแค่ถอนหายใจ “ช่างเถิด อย่างไรเจ้าก็ยังเด็ก ไฉนเลยจะเข้าเรื่องซับซ้อนเช่นนี้”
ถาวจวินหลันได้ยินก็อดหันไปเหลือบมองกู้ซีไม่ได้ นางไม่เห็นว่ากู้ซีที่ฮ่องเต้เอ่ยถึงนั้นมีส่วนคล้ายคลึงกับกู้ซีที่ยืนอยู่ตรงหน้าเลยแม้แต่น้อย
แต่เรื่องเช่นนี้คนหนึ่งยอมตีอีกคนยอมโดน นางจึงไม่คิดจะพูดอะไร ในเมื่อฮ่องเต้ไม่ใส่ใจ นางเปิดปากพูดออกไปก็มีแต่ให้คนอื่นรังเกียจเท่านั้น
ถาวจวินหลันสูดลมหายใจเข้าลึก ก้มหน้าพูดเรียบๆ ว่า “ที่จริงแล้วไทเฮาเป็นห่วงฮ่องเต้มาโดยตลอด หวังว่าฮ่องเต้จะไปพบนางอีกครั้งเพคะ” พอพูดจบนางก็รอดูท่าทางของฮ่องเต้ นางอยากดูว่าแท้จริงแล้วฮ่องเต้เป็นคนเลือดเย็นถึงขั้นนี้จริงหรือ หากฮ่องเต้เลือดเย็นใจแคบเช่นนี้ นางก็เลือดเย็นได้มากกว่านี้เช่นกัน
ฮ่องเต้นิ่งเงียบไปนาน แล้วจึงถอนหายใจ แม้จะไม่ได้พูดอะไร แต่ก็สั่งให้คนเตรียมรถไปวังหย่งโซ่ว
พอถาวจวินหลันไปรับเด็กๆ มาจากวังตวนเปิ่นกลับไปยังวังหย่งโซ่ว ก็เห็นว่ากู้ซีคุกเข่าอยู่ข้างๆ อี้กุ้ยเฟยอย่างน่าตกใจ และฮ่องเต้กลับไปนั่งคุยอยู่กับหลี่เย่
ถาวจวินหลันหรี่ตาลง ชี้พื้นให้จิ้งหลิงดูอย่างไม่กระโตกกระตาก กำชับให้นางพาเด็กทั้งสามคนไปนั่งคุกเข่าส่งวิญญาณตรงนั้น พอดีกับที่หวังฮูหยินพาหยวนฉงหวาและอาอู่มาด้วย ก็ถือว่ามีเพื่อนคอยอยู่ด้วยกันพอดี
พอทำเรื่องเหล่านี้เสร็จ ถาวจวินหลันถึงได้ไปกระซิบถามจางหมัวหมัว “หมัวหมัว เกิดอะไรขึ้นกับกู้ซีหรือ?”
จางหมัวหมัวแค่นยิ้ม “ฮ่องเต้สั่งเพคะ”
พอถาวจวินหลันได้ยินก็นิ่งเงียบ เพียงแค่ลอบถอนหายใจเบาๆ เท่านั้น ดูท่าทางความสำคัญที่ฮ่องเต้มีให้แก่กู้ซีนั้นคงไม่ใช่เรื่องเพียงน้อยนิดเป็นแน่ และยิ่งไม่ใช่เรื่องจอมปลอม
เกรงว่าพอผ่านเวลาไว้ทุกข์สามเดือนไป ทางฮ่องเต้ต้องกระวีกระวาดร้อนใจอยากแต่งตั้งกู้ซีใจจะขาด บางทีกู้ซีอาจจะได้ครองตำแหน่งฮ่องเฮาในอีกไม่นานนี้
ไม่รู้ว่าฮองเฮารู้สึกถึงอันตรายที่กำลังคืบคลานเข้ามาหรือไม่
แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร ตอนนี้ก็ไม่มีใครมีเวลาไปเอาความเรื่องนี้
ด้วยเพราะบรรดาเจ้านายต้องคุกเข่าส่งวิญญาณทั้งเจ็ดวัน หลายคนจึงไร้เรี่ยวแรงไปตามๆ กัน ในนั้นมีคนที่ร่างกายอ่อนแอ ก็สลบไปหลายครั้ง หนึ่งในนั้นก็มีกู้ซี
แต่คนอื่นไม่มีสิทธิพิเศษให้กลับไปพักได้ แม้แต่ถาวจวินหลันที่ตั้งครรภ์อยู่ก็คุกเข่าส่งวิญญาณด้วยเช่นเดียวกัน กู้ซีเองก็ไม่ได้รับการดูแลเป็นพิเศษจากฮ่องเต้ แต่กลับนั่งคุกเข่าจริงจังอยู่หลายวัน
พอถึงวันที่ย้ายโลงศพออกมา กู้ซีก็ผอมซูบลงไปไม่น้อย ตัวถาวจวินหลันแม้ว่าจะนั่งคุกเข่าส่งวิญญาณด้วย แต่สุดท้ายแล้วก็ยังใส่ใจเรื่องการพักผ่อน ดังนั้นจึงไม่เป็นอะไรมาก อีกทั้งแม้จะบอกว่าหลายวันมานี้กินแต่อาหารมังสวิรัติ แต่อย่างไรนางก็เป็นหญิงตั้งครรภ์ ห้องครัวเล็กต้องสรรหาวิธีทำให้นางกินจนได้ พยายามที่จะชดเชยในส่วนที่ไม่อาจกินเนื้อสัตว์ได้ให้เต็ม
วันที่โลงศพย้ายออกมา ถาวจวินหลันย่อมไม่ได้ตามไปด้วย อย่างแรกเพราะเดินทางทางน้ำนั้นเหนื่อยล้า หญิงตั้งครรภ์เช่นนางย่อมรับไม่ไหว อย่างที่สองภายในวังหลวงยังมีเรื่องต้องจัดการอีกมากมาย ในเมื่อนางต้องดูแลกิจในวังหลวง ฉะนั้นจึงต้องคอยอยู่ในวัง
แต่ฮ่องเต้ หลี่เย่และบรรดาพระสนมที่พอมีหน้ามีตาในวังหลวงต้องตามไปด้วยทั้งหมด แม้แต่ฮองเฮาก็ไม่เป็นข้อยกเว้น
ถาวจวินหลันครุ่นคิด ฉวยโอกาสนี้เชิญถาวซินหลันเข้ามาพูดคุยในวังหลวง ร่างกายของถาวซินหลันได้รับการบำรุงมาพอสมควรแล้ว ใบหน้าซีดเซียวตอนนี้เริ่มมีสีแดงระเรื่อให้เห็น มองดูแล้ววางใจได้ไม่น้อย
แต่ไทเฮาสิ้นพระชนม์ไปเช่นนี้ ถาวซินหลันย่อมเสียใจยิ่ง อย่างไรไทเฮาก็ดีกับถาวซินหลันมาตลอด ถาวซินหลันย่อมผูกพันกับไทเฮา
วันนี้ถาวซินหลันไม่มีคุณสมบัติไปส่งไทเฮาเป็นครั้งสุดท้าย จึงรู้สึกไม่ค่อยดีนัก
ถาวจวินหลันพาถาวซินหลันมายังวังหย่งโซ่ว อย่างแรกจะได้จัดการสภาพยุ่งเหยิงของวังหย่งโซ่ว อย่างที่สองเพื่อพูดคุยกับถาวซินหลัน
“ไทเฮาได้พูดอะไรทิ้งไว้หรือไม่เพคะ” หลายวันแล้วที่ถาวซินหลันไม่ได้มีโอกาสพูดคุยกับถาวจวินหลันตามลำพัง เสียงของนางแหบแห้งเล็กน้อย นี่เป็นเพราะว่าหลายวันมานี้นางร้องไห้อย่างหนัก
ถาวจวินหลันส่ายหน้า “ไม่ได้ทิ้งอะไรเอาไว้เป็นพิเศษ เรื่องทั่วไปที่ควรต้องฝากฝัง ไทเฮาก็ฝากฝังไว้นานแล้ว ทิ้งไว้แค่ว่าไม่ให้ร่วมฝังเท่านั้น”
ถาวซินหลันน้ำตารื้นอีกครั้ง “ไทเฮามีเมตตาเหลือเกินเพคะ”
ถาวจวินหลันพยักหน้า “ใช่แล้ว”
ฉับพลันพวกนางทั้งสองคนก็เงียบไป ช่วงนั้นมีนางกำนัลเดินเจ้ามาถามสองสามครั้ง มิเช่นนั้นก็ไม่รู้ว่าจะเงียบไปถึงเมื่อไร
“เซิ่นเอ๋อร์จะทำอย่างไร?” สุดท้ายถาวซินหลันก็เอ่ยปากพูดขึ้นมาก่อน เรื่องนี้ที่จริงเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด อย่างไรก่อนหน้านี้เซิ่นเอ๋อร์ก็ถูกเลี้ยงอยู่ที่วังหย่งโซ่ว ตอนนี้ไทเฮาสิ้นพระชนม์ไปแล้ว วังหย่งโซ่วไม่มีคนอาศัยอยู่อีก เซิ่นเอ๋อร์คงอยู่ที่นี่ไม่ได้
ถาวจวินหลันยิ้มแย้ม “หลังจากนี้ข้าจะเลี้ยงเซิ่นเอ๋อร์”
ถาวซินหลันตกใจทันที พูดออกมาตรงๆ “ท่านบ้าไปแล้วหรือ! ทำไมถึงได้ตัดสินใจเช่นนี้?! เขาก็มีแม่แท้ๆ มิใช่หรือ! อีกอย่างนั่นยังไม่ใช่ลูกแท้ๆ ของท่าน หากท่านทำได้ไม่ดี คนอื่นจะเอาไปติฉินนินทาได้ อีกอย่างบุญคุณเพียงเล็กน้อย แต่จากนั้นเป็นศัตรู ท่านอย่าได้เลี้ยงศัตรูเชียวนะเพคะ!”
ถาวซินหลันพูดอย่างมีเหตุผล และเป็นความจริง บางทีอาจจะใจแคบเกินไป แต่ทั้งหมดนี้ก็เพราะมองในมุมของถาวจวินหลัน
ถาวจวินหลันถอนหายใจ “ข้าย่อมต้องคิดถึงเรื่องเหล่านี้มาก่อน แต่เรื่องนี้ไทเฮาเสนอเอง แล้วข้าก็รับปากไปแล้ว ที่จริงไทเฮาก็พูดถูก ข้าเลี้ยงไว้ก็ดีเหมือนกัน“
เท่านี้นางก็นีบว่ามีบุญคุณกับเซิ่นเอ๋อร์ ในอนาคตต่อให้เซิ่นเอ๋อร์แค้นเคืองนางอย่างไร ก็ทำอะไรนางไม่ได้ อีกทั้งผูกสัมพันธ์เช่นนี้เอาไว้ ในอนาคตเซิ่นเอ๋อร์ก็ไม่อาจจะกลายเป็นอริกับซวนเอ๋อร์ได้
แต่ความอึดอัดในใจของนางถ้าหากโยนทิ้งไปได้ เช่นนั้นย่อมต้องเป็นแบบนี้แล้ว
ถาวซินหลันได้ยินว่าไทเฮาเป็นคนเสนอ แม้ในใจไม่ค่อยเห็นด้วยเท่าไร แต่สุดท้ายแล้วก็ไม่ได้พูดอะไรตอบโต้ เพียงแค่พูดว่า “ไทเฮาตรึกตรองดีแล้วบางทีอาจเป็นเพราะมีความตั้งใจเป็นพิเศษนะเพคะ”
ถาวจวินหลันพยักหน้า “น่าจะใช่ แต่วันนี้ข้าเรียกเจ้ามา ก็ด้วยอยากให้เจ้าช่วยข้าสัก”
ถาวซินหลันแปลกใจ “เรื่องอะไรเพคะ?”
“ขอให้ใต้เท้าเฉินรวบรวมบรรดาขุนนางฝ่ายบุ๋นเขียนฎีกาประณามฮ่องเต้” ถาวจวินหลันพูดเนิบๆ หลุบตาลงเล็กน้อยตั้งใจมองลวดลายบนพื้นพรม ในใจคิดว่าหากไทเฮารู้ว่านางทำเช่นนี้ ไม่รู้ว่าจะโกรธหรือไม่เห็นด้วยหรือเปล่า
ถาวซินหลันตกใจ “อยู่ดีๆ ทำไมถึง…อีกอย่างจะประณามอย่างไรเพคะ?” ดูท่าทางก็รู้แล้วว่าตัวนางตกใจจนอึ้งไปอย่างสมบูรณ์แล้ว คำพูดนี้ฟังแล้วทั้งเนรคุณและทรยศ แล้วยังออกมาจากปากของถาวจวินหลันอีก
ถาวจวินหลันพยายามเอ่ยปากพูดอย่างใจเย็น “ฮ่องเต้คิดจะแต่งตั้งกู้ซีเป็นหวงกุ้ยเฟย แล้วยังคิดจะเอาองค์รัชทายาทไปจดไว้ใต้ชื่อกู้ซี”
ถาวซินหลันตะลึงจนตัวแข็งทื่อ สติหลุดลอยไปชั่วขณะ ผ่านไปครู่ใหญ่ถาวซินหลันก็ตบโต๊ะลุกพรวด “มีเรื่องเช่นนี้ด้วยหรือ! ฮ่องเต้เลอะเลือนไปแล้วกระมัง!”
ถาวจวินหลันตกใจ จากนั้นก็หันไปมองด้านนอก เห็นว่าไม่มีคนอยู่รอบข้าง แล้วถึงได้ถลึงตามองถาวซินหลัน “ปากของเจ้านี่ ตอนนี้ไม่มีคนอยู่ก็เริ่มกำเริบเสิบสานแล้วหรือ? ไม่คิดหรือว่าที่นี่คือที่ใด? เหตุใดถึงกล้าพูด?!”
ถาวซินหลันพอหลุดปากพูดออกมาก็คิดได้ว่าตัวนางพูดเรื่องไม่ควรพูด จึงรีบปิดปากทันที ส่งยิ้มให้ถาวจวินหลันอย่างขลาดกลัว “ก็ข้าโกรธ…”
“โกรธแล้วกล้าพูดมั่วๆ อย่างนั้นหรือ?” ครั้งนี้ถาวจวินหลันไม่คิดจะปล่อยถาวซินหลันไปง่ายๆ ถลึงตามองนางอย่างเฉียบคม “ข้าว่าเจ้าคงถูกตามใจจนเคยตัวแล้ว! แม้แต่กฎเกณฑ์ก็ลืมไปหมด!”
ถาวซินหลันไม่กล้าพูดแก้ตัว เพียงแค่ลูบจมูกไปมาอย่างอับอาย แล้วนั่งสำนึกอยู่ตรงนั้น แต่ก็ยังมีความไม่พอใจ เอาแต่บ่นพึมพำตำหนิฮ่องเต้
ถาวจวินหลันถลึงตามองนางอย่างโกรธขึ้ง “ยังจะพูด!”
ถาวซินหลันพุ่งเข้ามาออดอ้อน “ก็เป็นเช่นนั้นนี่เพคะ ท่านว่าข้าพูดถูกหรือไม่? ถ้าไม่ใช่เพราะเขาเลอะเลือนแล้ว ก็คงไม่ตัดสินใจเช่นนี้เป็นแน่เพคะ”
“ห้ามพูดแบบนี้อีก!” แม้จะบอกว่าถาวซินหลันกดเสียงให้เบาลงแล้ว แต่ถาวจวินหลันก็ยังถลึงตามองนางทีหนึ่ง จากนั้นถึงพูดเข้าเรื่อง “ก่อนหน้านี้ไทเฮาห้ามเรื่องนี้เอาไว้ สุดท้ายจึงไม่สำเร็จ แต่ตอนนี้ไทเฮาสิ้นพระชนม์กะทันหันเช่นนี้ เกรงว่าคงไม่มีคนห้ามฮ่องเต้ได้อีกแล้ว เรื่องนี้อาจจะถูกเสนอขึ้นมาพูดอีก”
“แต่เรายอมให้เรื่องนี้สำเร็จไม่ได้นะเพคะ” ถาวซินหลันหน้าดำคล้ำรับคำพูดต่อ จากนั้นก็พูดเสียงเย็นว่า “หากกู้ซีเป็นหวงกุ้ยเฟยจริง แล้วยังเป็นเสด็จแม่ในนามขององค์รัชทายาท หลังจากนี้ก็จะกลายเป็นไทเฮามิใช่หรือ? ถึงเวลานั้น มีไทเฮาสองพระองค์คอยข่มท่าน แล้วเมื่อไรท่านจะลืมตาอ้าปากได้เพคะ? อีกทั้งวิธีการของกู้ซีก็ไม่ได้ต่ำด้อยเลยแม้แต่น้อย พอเป็นเช่นนี้ก็จะยิ่งวุ่นวายนะเพคะ”
ถาวจวินหลันพยักหน้า ถอนหายใจ “เรื่องพวกนั้นเอาไว้ก่อน เกรงว่าถึงเวลานั้นเรื่องที่กู้ซีเกือบได้เป็นผู้หญิงขององค์รัชทายาทคงจะถูกขุดขึ้นมา พวกเขาแต่เดิมเป็นญาติผู้พี่ผู้น้องกันอยู่แล้ว แต่จู่ๆ ก็กลายเป็นแม่ลูก ต้องถูกคนอื่นเอาไปติฉินเป็นแน่”
โดยสรุปแล้ว ไม่ว่าอย่างไรหลี่เย่ก็จะต้องถูกนินทาเป็นแน่ หลังจากนี้พอเด็กๆ โตขึ้น แล้วถามเรื่องนี้ เกรงว่าคงจะกระอักกระอ่วนจนตอบไม่ถูกเลยทีเดียว
ดังนั้นไม่ว่าจะมองจากมุมไหน เรื่องนี้ก็ไม่อาจปล่อยให้สำเร็จได้ มิเช่นนั้นปัญหาจะตามมาไม่ขาด
“หากเขาดื้อรั้นจะให้องค์รัชทายาทขายหน้า เช่นนั้นพวกเราก็ไม่ต้องคำนึงถึงเขา ถึงเวลานั้นเขายกเรื่องนี้ขึ้นมาอีกครั้งจริง ก็ให้ใต้เท้าทุกท่านร่วมมือกันถวายฎีกาเถิด” ถาวจวินหลันหรี่ตาลงเล็กน้อย แค่นหัวเราะ “ข้าไม่เชื่อว่า คนรู้หนังสือทั้งหมดในใต้หล้าลุกขึ้นมาประณามเขา แล้วเขาจะยังทำเรื่องนี้สำเร็จได้”
คนรู้หนังสือย่อมไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้ นางพูดออกมาก่อนก็เพราะอยากให้ใต้เท้าเฉินกระจายเรื่องนี้ออกไป ถึงเวลานั้นก็จะออกเสียงต่อต้านได้ทันทีที่ฮ่องเต้เสนอเรื่องนี้ ไม่เสียเวลาจนเรื่องนี้ลุล่วง
สุดท้ายถาวจวินหลันก็กำชับถาวซินหลันเสียงเย็น “เจ้าช่วยถ่ายทอดคำพูดของข้าไปให้กู้อวี่จื๋อที บอกว่าถ้าเขาอยากให้รากฐานของตระกูลกู้สิ้นไปเช่นนี้ ก็ขอให้ยืนดูเรื่องนี้อยู่เงียบๆ แล้วกัน”