บัลลังก์พญาหงส์ - บทที่ 695 ไม่ชอบมาพากล
แต่ยังไม่ทันพ้นสองวัน ฮ่องเต้ก็กลับไปหากู้ซีอีกครั้ง อีกทั้งช่วงสองวันนี้ฮ่องเต้ก็ดูหงุดหงิดงุ่นง่าน ไม่สนงานราชการ แต่กลับลงโทษคนมากมาย อย่างเช่นคนตระกูลหวังที่อ้อนวอนแทนหวังฮูหยิน หรือแม้แต่เฝินหยางโหว
เฝินหยางโหวก็เริ่มตกที่นั่งลำบาก ช่วยรับโทษแทนฮองเฮา ทั้งเรื่องกดขี่ข่มเหงประชาชน เบ่งอำนาจ บีบบังคับคนอื่นมาเป็นหมากนานหลายปี บวกกับเรื่องที่ลอบทำร้ายองค์หญิงเก้า
พอรวมเรื่องเหล่านี้เข้าด้วยกันแล้ว จากที่เฝินหยางโหวอาจจะเจอจุดจบที่ดีอยู่บ้าง กลับต้องถูกลงโทษเฉือนเนื้อ มีเพียงจั่วเสี่ยนอวี้ที่แยกบ้านออกไปอยู่กับบุตรสาวคนโตของภรรยาเอก อีกทั้งยังมีผลงานจากการรายงาน ไม่เพียงแค่รอดพ้นจากเรื่องนี้ ยังได้ตำแหน่งเฝินหยางโหวไปอีกด้วย
บางทีเพราะเรื่องนี้ทำให้คิดถึงกู้กุ้ยเฟย ฮ่องเต้จึงดีกับหลี่เย่มากขึ้น อย่างน้อยก็ไม่ได้เอาความหงุดหงิดมาลงที่หลี่เย่
ด้วยเพราะคำพูดของกู้ซี ถาวจวินหลันจึงให้คนคอยจับตาดูกู้ซีเอาไว้ ดังนั้นพอฮ่องเต้เข้าไปหากู้ซี นางก็รู้เรื่องทันที
ตอนนั้นนางกับหลี่เย่กำลังทานอาหาร พอได้ยินเรื่องนี้นางก็วางตะเกียบลง ก่อนมองไปทางหลี่เย่ ขมวดคิ้วถามว่า “ท่านไม่คิดว่าเรื่องนี้ไม่ชอบมาพากลหรือเพคะ?”
“ไม่ว่าสมัยเป็นองค์รัชทายาทหรือตอนนี้เป็นฮ่องเต้ เหมือนว่าฮ่องเต้ไม่เคยโปรดปรานพระสนมไม่ลืมหูลืมตาเท่านี้มาก่อนนะเพคะ” ถาวจวินหลันพูดเสียงเบา แต่ไม่ได้ยกเรื่องรักใคร่มากกว่ากู้กุ้ยเฟยมาพูด แต่เพื่อตำแหน่งฮ่องเต้ เพื่ออำนาจ สุดท้ายฮ่องเต้ก็ยังใจแคบ มีหลักการ เย็นชาจนน่าคนกลัว
แต่ต่อให้ถาวจวินหลันไม่พูด หลี่เย่ก็เดาได้ เขาหัวเราะเย้ยหยัน “คนอย่างเขารู้จักความจริงใจด้วยหรือ? ยอมทิ้งตัวเองเพื่อความรักได้อย่างนั้นหรือ? ในสายตาของเขาเห็นอำนาจ ตำแหน่งฮ่องเต้ และตัวเองสำคัญมานานแล้ว”
เรื่องนี้เป็นความจริง ถาวจวินหลันไม่คัดค้านแม้แต่น้อย
“แต่แบบนี้ก็ยิ่งแปลก” ถาวจวินหลันหยิบตะเกียบขึ้นมาคีบอาหารให้หลี่เย่อีกครั้ง ก่อนพูดต่อ “กู้ซีมีดีตรงไหน ฮ่องเต้ถึงหลงหัวปักหัวปำเช่นนี้?”
“ข้าให้ขันทีเป่าฉวนจับตาดูไว้แล้ว ว่ามีตรงไหนพิเศษกันแน่” หลี่เย่ก็หยิบตะเกียบขึ้นมาอีกครั้ง ยิ้มพลางคีบเนื้อปลาให้ถาวจวินหลัน “เอาเถิด เจ้าอย่าไปคิดมากเลย บำรุงครรภ์ให้ดี ไม่ว่าอย่างไรก็ละเลยเรื่องกินข้าวไม่ได้”
พอพูดถึงลูก ถาวจวินหลันก็อดยิ้มไม่ได้ “เด็กคนนี้ช่างเรียบร้อยเหลือเกิน ตั้งครรภ์แล้วยังไม่แพ้ท้อง แถมความอยากอาหารก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ช่วงนี้ต้องกินวันละหกมื้อแน่ะเพคะ”
หลี่เย่แย้มยิ้ม “ไม่ดีหรืออย่างไร? เด็กคนนี้ดีจริงเชียว ไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่น เขาไม่ได้ทรมานเจ้า ทั้งยังเพิ่มเนื้อหนังให้เจ้า พอคลอดเขาออกมา ข้าต้องให้รางวัลสักหน่อยแล้ว”
ถาวจวินหลันได้ยินหลี่เย่พูดเช่นนี้ก็ขบขันยิ่งนัก แล้วไม่ได้กังวลถึงเรื่องพวกนั้นอีก แต่ก้มหน้าก้มตากินข้าวต่อ
จนกระทั่งทานข้าวเสร็จ ถาวจวินหลันถึงพูดอีกเรื่อง “ตอนนี้เจ้านายที่พอมีหน้ามีตาในวังตวนเปิ่นเหลือเพียงหม่อมฉันคนเดียว คนอื่นมองมาคงดูไม่ดี เลื่อนขั้นจิ้งหลิงเป็นเหลียงตี้ดีหรือไม่ นางมีผลงานเลี้ยงดูกั่วเจี่ยเอ๋อร์ ทั้งยังปรนนิบัติรับใช้ท่านมมาหลายปี จะยกนางขึ้นมาก็ไม่แปลกนะเพคะ”
“เจ้าตัดสินใจเรื่องในวังหลังเองเถิด” หลี่เย่ไม่ค่อยสนใจเรื่องเหล่านี้ หยุดไปครู่หนึ่ง ไม่รู้ว่าคิดอะไรถึงพูดว่า “หากมีคนพูดเรื่องเพิ่มคน เจ้าก็อย่าไปสนใจ บอกว่าข้าไม่ต้องการก็พอ ถ้ายังไม่หยุดก็ให้เขามาหาข้า”
ถาวจวินหลันเม้มปากยิ้ม “เพคะ” ไม่ต้องพูดว่าหลี่เย่ไม่ยอม หากหลี่เย่คิดเช่นนั้นจริง นางก็ไม่มีทางอนุญาตเป็นแน่
วันรุ่งขึ้น ยาเม็ดหนึ่งถูกส่งมาถึงถาวจวินหลันและหลี่เย่ ยาเม็ดสีม่วงทอง ขนาดเท่านิ้วก้อย บรรจุเอาไว้ในกล่องหยกขาวให้ความลึกลับน่าเลื่อมใส เหมือนเป็นยาเทวดาที่เทวดาเทพเจ้าองค์ไหนทำหล่นลงมาอย่างนั้น
ถาวจวินหลันกับหลี่เย่สบตากัน ข่มความอยากรู้อยากเห็นเอาไว้ เพียงแค่เลิกคิ้วถาม “นี่คือยาอายุวัฒนะที่ฮ่องเต้เสวยหรือเพคะ?”
หลี่เย่ก็ไม่ได้ไปแตะต้อง จ้องเขม็งไปยังขันทีเป่าฉวน
ขันทีเป่าฉวนพยักหน้ายอมรับ “เป็นยาที่ฮ่องเต้เสวยพ่ะย่ะค่ะ เมื่อวานนี้ฮ่องเต้มือสั่นจนยาเม็ดนี้หลุดจากมือ กระหม่อมถึงได้แอบเก็บมาพ่ะย่ะค่ะ”
พอหวนนึกถึงภาพตอนฮ่องเต้กินยาเข้าไป ขันทีเป่าฉวนก็คิดว่าแปลกพิลึก ไม่กล้าแม้แต่ปิดบัง พูดอธิบายไปอย่างละเอียด “หลังจากฮ่องเต้เสวยยาแล้ว ก็เริ่มมีเรี่ยวแรงขึ้น อีกทั้งความหงุดหงิดใจก็หายเป็นปลิดทิ้ง หลับสนิทตลอดทั้งคืน ทั้งยัง…”
“ยังอะไรหรือ?” หลี่เย่รอไม่ไหว จึงเค้นถาม
ถาวจวินหลันมองสีหน้าท่าทางของขันทีเป่าฉวนก็พอจะเดาออก ทันใดนั้นใบหน้าก็ร้อนผ่าว
“แล้วยังอุปถัมภ์จวงเฟยเหนียงเหนียงพ่ะย่ะค่ะ” ขันทีเป่าฉวนพูดอย่างกระอักกระอ่วน ไม่กล้าแม้แต่เงยหน้ามอง
ทันใดนั้นบรรยากาศภายในห้องก็แปลกไปทันที
สุดท้ายหลี่เย่ก็พูดออกมาเรียบๆ “มีอะไรน่าแปลกกัน ก่อนหน้านี้ก็อุปถัมภ์นางกำนัลเล็กๆ คนหนึ่งอยู่ไม่ใช่หรือ?” ในเมื่ออุปถัมภ์นางกำนัลเล็กๆ ได้ ย่อมต้องอุปถัมภ์กู้ซีได้
ขันทีเป่าฉวนส่ายหัว พูดต่ออย่างกระอึกกระอัก “องค์รัชทายาทมิทราบ ที่จริงไม่ได้เป็นเช่นนั้น หลังจากวันนั้นที่อุปถัมภ์นางกำนัลคนนั้นแล้ว ฮ่องเต้มีใจแค่ไหนก็ไร้เรี่ยวแรง คืนนี้ถึงเพิ่งกลับมาผงาดอีกครั้ง…”
ถาวจวินหลันไม่พูดอะไร ทำเหมือนไร้ตัวตน บทสนทนานี้น่ากระอักกระอ่วนเกินไป นางไม่อาจสอดปากพูดอะไรได้ แต่หลังจากได้ยินขันทีเป่าฉวนพูดเช่นนี้ นางก็เหลือบไปมองยาเทวดาในกล่องหยกขาว
ถ้านางเดาไม่ผิด เกรงว่าต้องมีอะไรซ่อนเร้นอยู่เป็นแน่
“วันนี้หมอหลวงต้องมาตรวจชีพจรให้หม่อมฉัน หรือว่า…” ถาวจวินหลันมองหลี่เย่ วิธีนี้ที่จริงถือว่าดีอย่างมาก ด้วยเพราะไม่กระโตกกระตากเกินไป ต่อให้สุดท้ายพิสูจน์ได้ว่ายานี้ไม่มีปัญหา นั่นก็ไม่สำคัญ อย่างไรก็ไม่มีคนรู้ แต่หากทำเรื่องอึกทึกครึกโครม แล้วสุดท้ายไม่พบอะไร ไม่ยิ่งน่าขันหรืออย่างไร
หลี่เย่ก็เห็นด้วย จึงพยักหน้า “เช่นนั้นก็เชิญหมอหลวงมาเถิด บอกว่าข้ามีอาการไอ ให้เชิญหมอหลวงมามากหน่อย”
นี่เผื่อกรณีที่หมอหลวงคนเดียวตรวจหาไม่พบ อีกอย่างหมอหลวงที่ตรวจจับชีพจรให้ถาวจวินหลันย่อมถนัดด้านสูตินารีเวชมากที่สุด หากเชิญมาเพิ่มอีกสองคนถือว่าปลอดภัยที่สุด
ไม่นานหมอหลวงก็ถูกเชิญมา ย่อมต้องไปตรวจจับชีพจรให้ถาวจวินหลันก่อน ทางด้านหลี่เย่ถึงจะหยิบยาเม็ดนั้นออกมาและสั่งว่า “พวกเจ้าลองดูว่ายาเม็ดนี้เป็นยาอะไรกัน? กินได้หรือไม่?”
บรรดาหมอหลวงเห็นหลี่เย่หยิบยาเม็ดสีม่วงทองไม่คุ้นตาออกมาเม็ดหนึ่ง ย่อมต้องรู้สึกตะลึง แต่ก็ไม่กล้าเอ่ยปากถาม เพียงแค่ผลัดกันมองไปมา สุดท้ายก็เลือกคนหนึ่งออกมารับยาเม็ดนั้นมาพิจารณาอย่างละเอียด
หลี่เย่ถึงได้อธิบายว่า “นี่เป็นยาที่คนอื่นให้ข้ามา เห็นว่ากินแล้วมีผลในการบำรุงร่างกาย”
บรรดาหมอหลวงเข้าใจในฉับพลัน จากฐานะของหลี่เย่แล้ว คงมีคนมาประจบเอาใจเขาไม่น้อย คนที่สามารถส่ง ‘ยาวเทวดา’ มีฤทธิ์เช่นนี้ให้ได้ย่อมมีไม่น้อยเป็นแน่ หลี่เย่เป็นถึงองค์รัชทายาท ของเช่นนี้ไม่อาจเอาเข้าปากมั่วๆ ได้ ดังนั้นให้พวกเขาตรวจสอบก็สมเหตุสมผล
บรรดาหมอหลวงพิจารณากันครู่หนึ่ง สุดท้ายก็สอบถามความเห็นของหลี่เย่เพื่อหั่นยาออกครึ่งหนึ่งแล้วแบ่งกันไปชิมกันคนละนิดคนละหน่อย แล้วยังเอามาละลายกับน้ำเปล่าเพื่อดมกลิ่นอย่างละเอียด ดูว่าเป็นสีอะไร
บรรดาหมอหลวงปรึกษากันอีกครู่ใหญ่ แล้วถึงได้ผลลัพธ์ แน่นอนว่ายังเลือกคนหนึ่งออกมาคุยกับหลี่เย่ แต่หมอหลวงคนนั้นมีสีหน้าลำบากใจพูดว่า “จากที่กระหม่อมดูแล้ว อย่าเสวยยาเม็ดนี้จะดีที่สุดพ่ะย่ะค่ะ”
หลี่เย่ไม่ได้มีท่าทีอะไร เพียงแค่ใช้ปลายนิ้วเคาะพนักเก้าอี้เบาๆ เลิกคิ้วถามว่า “ทำไมหรือ?” บางทีคนอื่นอาจจะดูไม่ออก แต่ถาวจวินหลันรู้ว่าหลี่เย่คงจะแปลกใจมาก ทั้งยังให้ความสำคัญกับเรื่องนี้
ไม่ต้องพูดถึงหลี่เย่ นางก็อยากรู้เรื่องนี้ใจจะขาดแล้วมิใช่หรืออย่างไร?
หมอหลวงคนนั้นก็ไม่กล้าพูดอ้อมค้อม แต่อธิบายอย่างละเอียด “ที่จริงยาเม็ดนี้ไม่ได้เป็นของดี กรมหมอหลวงก็ทำไม่ได้ ใช้พุทราบดผสมกับสมุนไพรชูกำลังบางอย่างมาปั้นเป็นเม็ด แต่ถ้าแค่นี้คงไม่เป็นอะไร ยังนับว่ามีข้อดีกับร่างกายบ้าง แต่ในยาเม็ดนี้กลับมีลูกเล่นอีกพ่ะย่ะค่ะ”
“อย่างนั้นหรือ?” หลี่เย่เลิกคิ้วขึ้นอีกครั้ง “ลูกเล่นอะไรหรือ?” แต่เดิมก็คิดว่าเป็นยาเม็ดชูกำลังธรรมดา หลี่เย่จึงผิดหวังเล็กน้อย แต่ได้ยินเช่นนี้ก็นั่งหลังตรง รวบรวมสมาธิขึ้นมาทันที
ถ้าเดาไม่ผิดนี่คงเป็นละครฉากสำคัญกระมัง?
หมอหลวงพูดตามจริงทั้งหมดไม่ได้ เอาแต่อึกอัก “ลูกเล่นในยานี้คือสีม่วงทองที่เคลือบอยู่บนผิวด้านนอกพ่ะย่ะค่ะ ด้านนอกชั้นบางๆ นี้ ข้างในผสมผงทองยังไม่เท่าไร สีม่วงมาจากผงหยกก็ไม่จำเป็นต้องพูดถึง ที่สำคัญที่สุดก็คือผงยาชนิดหนึ่ง ผลข้างเคียงของผงยานั้นพิเศษมาก สามารถทำให้คนมีแรงได้ร้อยเท่า จนคิดเอาเองว่าตนเองกลับมาเป็นหนุ่มสาวอีกครั้ง คนอายุมากใช้ยานี้ตกดึกจะนอนกับสตรีหลายนางก็ยังได้ หากคนหนุ่มอย่างรัชทายาทใช้แล้ว ผลข้างเคียงของยาก็ยิ่งรุนแรง…”
“ยาโป๊วหรือ?” หลี่เย่คร้านจะฟังเรื่องเช่นนี้ จึงเอ่ยถามออกมาตรงๆ
หมอหลวงกลับปฏิเสธ “ไม่ใช่ยาโป๊ว แต่เหนือกว่ายาโป๊วอีกพ่ะย่ะค่ะ”
“ยังมียาที่มหัศจรรย์เช่นนี้อีกหรือ?” หลี่เย่เลิกคิ้ว ไม่ค่อยอยากเชื่อนัก “ในเมื่อยาดีขนาดนี้ ทำไมไม่เห็นกระจายไปทั่วเล่า?”
“แม้ยานี้ดี แต่มักจะใช้เห็นผลดีกับคนที่บาดเจ็บหนัก ด้วยเพราะช่วยลดเจ็บ และฟื้นฟูกำลังเหมือนเกิดใหม่” หมอหลวงพูดต่อไป สีหน้าดูเคร่งขรึม “แต่ก็มีข้อเสียเช่นเดียวกัน อย่างไรก็เป็นยา เป็นยาย่อมมีพิษสามส่วน นี่เป็นเรื่องที่ไม่อาจแก้ไขได้ อีกทั้งไม่ใช่ยาเทวดา ไม่ได้มีผลน่าอัศจรรย์ใจเช่นนี้พ่ะย่ะค่ะ”