บัลลังก์พญาหงส์ - บทที่ 698 ความจริง
กู้ซีถูกยันจนไออย่างหนัก ต้องขดตัวเข้าหากันด้วยความเจ็บปวด แต่นางกลับหัวเราะออกมา “ทำไมจะไม่กล้าเล่าเพคะ? ฮ่องเต้ ตอนแรกพระองค์เองก็ทรงทราบ ว่าไทเฮากำหนดให้หม่อมฉันเป็นคนขององค์รัชทายาท แล้วเหตุใดพระองค์ยังต้องบังคับหม่อมฉันเช่นนั้นเล่าเพคะ? แล้วยังเอาเรื่องตระกูลกู้มาข่มขู่หม่อมฉัน ทำไมฮ่องเต้ถึงทรงไร้ยางอายเช่นนั้นเล่าเพคะ? แล้วทำไมพระองค์ต้องผลักความรับผิดชอบไปยังคนที่ตลบหลังพระองค์เล่าเพคะ? ใช่ พระองค์เสวยโอสถเข้าไป แต่มีนางกำนัลมากมายคอยเฝ้าอยู่ตรงนั้น ทำไมพระองค์ถึงต้องทรงบังคับข่มขืนหม่อมฉันเพคะ? เพราะหม่อมฉันหน้าคล้ายเสด็จป้าอย่างนั้นหรือ?” กู้ซียกเรื่องน่ากระอักกระอ่วนขึ้นมาอีกครั้ง ทุกคนพลันก็เงียบสนิท
ฮ่องเต้เถียงกลับอย่างกริ้วโกรธ “ตอนนั้นข้าไม่ได้สติ แล้วจะ…”
“แท้จริงแล้วพระองค์มีสติหรือว่าเลอะเลือน หรือเอาข้ออ้างนี้มากลบเกลื่อนเรื่องแกล้งไม่รู้ความ ตัวของพระองค์รู้ดีอยู่แก่ใจเพคะ” กู้ซีหัวเราะเย้ยหยัน พลางพูดว่า “ฮ่องเต้เพคะ พระองค์ตรัสว่ารักเสด็จป้ามากที่สุด แต่น่าเสียดาย พระองค์ทำเรื่องมากมายเช่นนี้ เสด็จป้าต้องรังเกียจพระองค์เป็นแน่ ตอนไทเฮาใกล้สิ้นพระชนม์ พระองค์ก็ไม่เคยไปพบหน้า คิดว่าไทเฮาเองก็คงไม่อยากเห็นหน้าพระองค์อีกเป็นแน่ หลังจากนี้พระองค์ก็เป็นเพียงคนโดดเดี่ยว! ไม่เพียงแค่ตอนทรงมีชีวิต ตอนสิ้นพระชนม์ไปก็เช่นกันเพคะ!”
กู้ซีพูดเรื่องจริง ฮ่องเต้ไม่ได้กลายเป็นคนโดดเดี่ยวแล้วอย่างนั้นหรือ?
แต่เห็นชัดว่าไม่มีใครเชื่อ ฮ่องเต้โมโหจนหน้าแดงก่ำ แทบอยากจะยกเท้าถีบกู้ซีอีกครั้ง “พูดจาเพ้อเจ้อเลอะเทอะ!”
ถาวจวินหลันเบนหน้ามองหลี่เย่ เห็นว่าบนใบหน้าของหลี่เย่นั้นแฝงไว้ด้วยความขบขันเยาะเย้ย เห็นชัดว่าเขาเองก็ไม่ได้คิดว่ากู้ซีเพียงแค่ ‘พูดจาเพ้อเจ้อเลอะเทอะ’
เรื่องนี้เห็นชัดว่าฮ่องเต้ไม่เข้าใจ
กู้ซีเจ็บจนต้องสูดลมหายใจลึก แต่ก็ยังหยุดหัวเราะไม่ได้ หัวเราะอยู่ดีๆ น้ำตาของนางก็ไหลออกมา “วันนั้นฮ่องเต้ถามหม่อมฉันว่า หากพระองค์สิ้นพระชนม์แล้ว หม่อมฉันยินยอมร่วมฝังหรือไม่ วันนี้หม่อมฉันจะตอบพระองค์ตามจริงเพคะ หม่อมฉันไม่อยาก! เหตุใดหม่อมฉันต้องร่วมฝังด้วย? เหตุใดหม่อมฉันต้องตายไปพร้อมกับพระองค์เพคะ? ถ้าตายพระองค์ก็เชิญไปคนเดียวเถิด!”
เสียงของกู้ซีแหลมคมเหมือนจะเสียดแทงก้อนเมฆ และเหมือนกับดังสะท้อนออกมาจากขุมนรก เนื้อความก็ยิ่งทิ่มแทง พูดความในใจทั้งหมดโดยไม่สนอะไรทั้งสิ้น
ถาวจวินหลันเห็นการกระทำของกู้ซีก็นึกถึงคำคำหนึ่ง ‘รนหาที่ตาย’
นี่ไม่ได้รนหาที่ตายหรืออย่างไร? กู้ซีทำเรื่องเช่นนี้แต่เดิมก็มีแต่ความตายรออยู่ ตอนนี้พูดเช่นนี้อีก หากฮ่องเต้ยังปล่อยกู้ซีไป พระอาทิตย์คงขึ้นทางตะวันตกแล้ว
ฮ่องเต้ได้ยินคำพูดเสียดแทงจากคนเคยร่วมเรียงเคียงหมอน ก็ให้ทำใจรับไม่ได้ หอบหายใจกระชั้น ก่อนกัดฟันเสียงดังลั่นจนหน้าแดงก่ำ ก่อนเป็นลมไป
ทุกคนพากันตกใจ ขันทีเป่าฉวนรีบเข้ามาประคอง แต่ไฉนเลยจะทัน? โชคดีที่บนพื้นปูพรม พื้นนิ่มจึงไม่ต้องกลัวเจ็บ
ไม่ว่าใครเห็นสภาพของฮ่องเต้ก็ต้องตกใจ ถาวจวินหลันจึงรีบเรียกหมอหลวง “ยังมัวนิ่งอยู่ทำไม? รีบไปตรวจฮ่องเต้เร็วเข้าสิ!”
หมอหลวงเองก็ยังไม่ได้สติ พอถูกถาวจวินหลันเอ่ยเตือนก็นึกถึงหน้าที่ของตนเอง รีบวิ่งเข้าไปข้างกายฮ่องเต้ แต่หลังจากตรวจจับชีพจรเสร็จแล้วก็ต้องมองไปทางหลี่เย่ด้วยสีหน้าลำบากใจ
หลี่เย่ทำท่าให้หมอหลวงพูดออกมาตรงๆ
“เกรงว่าพระอาการของฮ่องเต้จะไม่ดีแล้วพ่ะย่ะค่ะ” หมอหลวงพูดตะกุกตะกักอย่างกล้าๆ กลัวๆ “พระวรกายของฮ่องเต้ไม่ค่อยสมดุลเป็นทุนเดิม ตอนนี้ยังกริ้วจนเลือดลมพลุ่งพล่าน”
“ไม่มีวิธีเลยหรือ?” ถาวจวินหลันขมวดคิ้ว “ไม่ว่าวิธีไหนก็งัดออกมาใช้ให้หมด!”
กู้ซีหัวเราะขบขันอีกครั้ง นางค่อยๆ ลุกขึ้นนั่งมองหลี่เย่อย่างนิ่งเงียบ ก่อนจัดแต่งทรงผมและเสื้อผ้าของตนเองช้าๆ สุดท้ายนางถึงส่งยิ้มให้หลี่เย่ “ไม่มีประโยชน์ เครื่องหอมที่ข้าจุดเอาไว้ใช้กับฮ่องเต้เท่านั้น แต่เดิมคิดว่าหลังจากบรรลุเป้าหมายแล้วข้าถึงจุดเครื่องหอมนั่น แต่คิดไม่ถึงว่าจะได้ใช้วันนี้”
พอได้ยินเช่นนี้ สีหน้าของทุกคนก็เปลี่ยนไป รู้สาเหตุในฉับพลัน หมอหลวงจึงรีบพูดว่า “รีบประคองฮ่องเต้ขึ้นมา!” ไม่เช่นนั้นอยู่นานกว่านี้คงยิ่งรุนแรงขึ้น แม้แต่เทวดาที่ไหนก็ช่วยไม่ได้
หลี่เย่ก็รีบประคองถาวจวินหลันเดินออกไป
กู้ซีพลันเอ่ยปากเรียกเสียงเบา ”ท่านพี่”
หลี่เย่หันกลับไปตามความเคยชิน แต่กลับเห็นกู้ซียิ้มน้อยๆ “ข้าเป็นคนทำเรื่องเหล่านี้ด้วยตัวเอง ไม่ได้เกี่ยวกับตระกูลกู้ ขอท่านช่วยปกป้องตระกูลกู้ด้วยเจ้าค่ะ”
หลี่เย่ไม่เคยคิดจะทำอะไรกับตระกูลกู้ จึงพยักหน้าตอบรับ
กู้ซียิ้มกว้างขึ้น “หากข้าเกิดเร็วกว่านี้ก็คงดี” หากนางอายุมากกว่านี้ บางทีอาจจะไม่มีถาวจวินหลัน แม้แต่หลิวซื่อเองก็เช่นกัน นางสามารถแต่งงานกับหลี่เย่อย่างถูกจังหวะขั้นตอน ใช้ชีวิตประคับประคองไปกับหลี่เย่ เมื่อตกอยู่ในอันตราย ต่างก็กอดคอช่วยเหลือกัน…
สายตาล้ำลึกของกู้ซีฉายภาพอดีต ก่อนตัดสินใจกระแทกกำแพงเสียงดัง ตัวอ่อนล้มพับไปกับพื้นทั้งที่ริมฝีปากยังมีรอยยิ้มบางๆ
ทุกคนเห็นภาพนี้ก็ตะลึงไปทันที ถาวจวินหลันตกใจจนบีบมือของหลี่เย่เอาไว้แน่น หลังจากนั้นก็ต้องรู้สึกพะอืดพะอมเพราะเลือดสีแดงสดบนหน้าผากของกู้ซี รีบหันหน้าหนีอุดปากเกือบจะสำรอกออกมา
หลี่เย่ได้สติในทันใด ไม่ได้หันไปมองกู้ซีอีก รีบประคองถาวจวินหลันเดินออกไปโดยพลัน
ฮ่องเต้ก็ถูกหามออกมา แล้วรีบพาส่งกลับไปยังห้องบรรทม
หลี่เย่กับถาวจวินหลันก็ขึ้นเกี้ยวตามไป
ถาวจวินหลันนึกย้อนคำพูดของกู้ซี ก็อดถอนหายใจไม่ได้ “พวกเรามองความคิดของนางไม่ออกเลยนะเพคะ”
กู้ซีชอบหลี่เย่ แต่เรื่องนี้เกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไรกัน? กู้ซีไม่เคยแสดงออกให้เห็นเลยแม้แต่น้อย จนกระทั่งวันนี้…นางถึงได้รู้ว่าที่จริงแล้วกู้ซีชอบหลี่เย่
ความหึงหวงย่อมต้องมี แต่มากไปกว่านั้นคือความตกใจ
หลี่เย่เหมือนจะอ่านความคิดของถาวจวินหลันขาด พูดออกมาเรียบๆ “จะคิดมากไปทำไม? นั่นเป็นเรื่องของคนอื่น เกี่ยวอะไรกับพวกเราเล่า?”
ถาวจวินหลันอึ้งไป จากนั้นก็ขมวดคิ้วพูดว่า “ท่านไร้เยื่อใยเพียงนี้เชียวหรือ?”
“ยิ่งผูกพันไหนเลยไม่ไร้เยื่อใย?” หลี่เย่พูดอย่างแฝงนัย ลูบมือถาวจวินหลันเบาๆ ก่อนพูดว่า “อีกอย่างนางปฏิบัติกับข้าอย่างไร ข้าก็ควรต้องปฏิบัติกับนางเช่นนั้นมิใช่หรอกหรือ? นางชอบข้าก็ถือเป็นเรื่องของนาง ข้าไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบมิใช่หรือ?”
ถาวจวินหลันสบตากับหลี่เย่พักหนึ่ง แม้ในใจยังรู้สึกว่าเขาไร้เยื่อใยเกินไป แต่ก็ต้องยอมรับว่าลี่เย่พูดถูกต้อง
กู้ซีจะเป็นอย่างไรก็เป็นเรื่องของกู้ซี แล้วจะมาโทษหลี่เย่ได้อย่างไร? ยิ่งไม่ต้องพูดว่าให้หลี่เย่ไปรับผิดชอบเลย
หลังจากคิดเรื่องนี้ได้แล้ว นางก็ไม่ได้ไปคิดติดใจอีก ที่จริงกู้ซีมีวันนี้ก็เป็นเพราะบาปที่ตนสร้างเอง จะมาโทษใครได้? อีกอย่างกู้ซียังรู้ตัวดีว่าต้องตายไปตอนนี้ถึงจะดีที่สุด มิเช่นนั้นแล้วเกรงว่าจะนำพาความลำบากมาสู่ตระกูลกู้ แล้วเรื่องนี้ก็จะยิ่งซับซ้อนกว่าเดิม
อีกทั้งตอนนั้นกู้ซีตัดสินใจวางยาฮ่องเต้ เกรงว่าทำเพราะตระกูลกู้กระมัง? หากฮ่องเต้สิ้นพระชนม์ไป คนที่รับช่วงต่อก็ต้องเป็นหลี่เย่ ในกายของหลี่เย่มีสายเลือดของตระกูลกู้ไหลเวียน ย่อมไม่อาจทำอะไรตระกูลกู้ได้ นางตายไป หลี่เย่ก็ไม่จำเป็นที่จะไล่เรียงเรื่องนี้อีก
อีกทั้งวางยาฮ่องเต้ก็ถือเป็นการสร้างบุญคุณยิ่งใหญ่ให้กับหลี่เย่ ฮ่องเต้สิ้นพระชนม์แล้ว หลี่เย่ก็มีแต่ผลดีไม่มีผลเสีย อีกทั้งความสัมพันธ์ระหว่างพ่อลูกของพวกเขาก็เปราะบางอยู่แล้ว หลี่เย่ยิ่งไม่น่าเอาความ
“ฮ่องเต้…” สิ่งที่ถาวจวินหลันใส่ใจมากที่สุดก็ยังเป็นฮ่องเต้
“ช่วยกลับมาได้ก็ดี ช่วยไม่ได้ก็ไม่เป็นไร” หลี่เย่แค่นหัวเราะ “ไม่ว่าอยู่หรือตายก็ไม่ได้ต่างกันนัก”
ถาวจวินหลันกลอกตามองหลี่เย่ “ท่านช่างกล้าพูดนะเพคะ”
หลี่เย่ถอนหายใจ “นี่เกี่ยวอะไร? อย่างไรก็เป็นความจริง”
ถาวจวินหลันหมดคำจะพูด แน่นอนว่าเป็นความจริง อีกทั้งยังเป็นเรื่องจริงที่สุด หากฮ่องเต้สิ้นพระชนม์ไปก็ถือเป็นเรื่องดี มิเช่นนั้นงัดข้อกันต่อก็ไม่รู้ว่าจะสิ้นสุดเมื่อไร
“ไม่รู้ว่าจะตื่นขึ้นมาทิ้งหนังสือราชโองการเอาไว้ได้หรือไม่เพคะ” ถาวจวินหลันถอนหายใจ บีบมือของหลี่เย่เบาๆ “จวงอ๋อง อู่อ๋องและฮองเฮาคงเตรียมการไว้แล้วเป็นแน่”
“ไม่เห็นต้องกลัว” หลี่เย่ส่ายหน้าน้อยๆ “ไม่ว่าอย่างไรก็ควรเป็นข้าที่รับตำแหน่งต่อ ใครก็ไม่อาจมาเปลี่ยนแปลงเรื่องนี้ได้ อีกทั้งข้าห้ามไม่ให้คนพูดเรื่องเสด็จพ่อเป็นลม”
ถาวจวินหลันสบายใจขึ้นมาเล็กน้อย เรื่องนี้ทางที่ดีที่สุดคือไม่ป่าวประกาศออกไป รอจนทุกอย่างจบลงหมดแล้วค่อยแจ้งให้ฮองเฮาและคนอื่นทราบ
เกิดเรื่องขึ้นกับฮ่องเต้ บรรดาหมอหลวงย่อมไม่กล้าอยู่นิ่ง
พอหลี่เย่กับถาวจวินหลันมาถึง บรรดาหมอหลวงก็มากันเกือบจะครบแล้ว ยืนรวมตัวกันปรึกษาเรื่องวิธีการรักษา
แต่ฮ่องเต้เป็นเช่นนี้ทำให้บรรดาหมอหลวงไม่กล้าลงมือนัก แม้ห่างจากความตายไม่นานแล้ว แต่ถ้าเพิ่งลงมือรักษาแล้วสิ้นใจก็จะเป็นเรื่องใหญ่ ถึงเวลาควรบอกว่าสิ้นพระชนม์เพราะการรักษา หรือฮ่องเต้ใกล้สิ้นใจอยู่แล้วเล่า?
บรรดาหมอหลวงมีความยากของพวกเขา หลี่เย่ก็ไม่ได้ฝืนบังคับ พูดออกมาตรงๆ “พวกเจ้าไม่ต้องกังวล ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่โทษพวกเจ้า ขอแค่เสด็จพ่อฟื้นขึ้นมา ก็จะถือว่าเป็นผลงานของพวกเจ้า”
หมอหลวงได้ยินเช่นนี้ก็กดดันน้อยลง หัวหน้าหมอก้าวขึ้นมาพูดว่า “อาการของฮ่องเต้ ทำได้เพียงฝังเข็ม เรียกสติให้กลับมา แต่ทำเพียงเท่านั้น…”
หลี่เย่พยักหน้า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็ลงมือเถิด” ถึงตอนนี้ก็ไม่มีอะไรให้ลังเลอีกแล้ว
หมอหลวงย่อมรู้ว่านี่ไม่ใช่เวลามาลังเล จึงรีบไปเตรียมตัว ไม่ว่าอย่างไร รักษาให้ฮ่องเต้ฟื้นขึ้นมาถึงจะเป็นเรื่องสำคัญที่สุด
หลี่เย่ฉวยโอกาสตอนนี้เรียกให้คนที่รับผิดชอบการเขียนหนังสือราชโองการมารอไว้แล้ว หากฮ่องเต้ฟื้นขึ้นมาย่อมต้องทิ้งหนังสือราชโองการเอาไว้
แน่นอนว่าอาจจะตื่นขึ้นมาไม่ได้แล้ว แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องเตรียมพร้อมเอาไว้ก่อน มีหนังสือราชโองการอยู่ในมือ เรื่องมากมายย่อมต้องจัดการได้ง่ายขึ้น อย่างเช่นการขึ้นครองราชย์ การจัดพิธีพระศพ หรือตอนที่ประกาศให้ราษฎรทราบ