บัลลังก์พญาหงส์ - บทที่ 699 เลือกข้าง
พอฮ่องเต้ฟื้นขึ้นมา ก็นั่งมึนงงอยู่พักใหญ่ถึงได้สติกลับมา
“เสด็จพ่อมีอะไรจะรับสั่งหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?” หลี่เย่ก้าวเข้าไปใกล้ เอ่ยปากถามเสียงเรียบ บอกว่าเป็นห่วงก็ไม่ใช่ เย็นชาก็ไม่เชิง เพียงแค่นิ่งๆ เรียบๆ เห็นชัดถึงความเหินห่าง
หลี่เย่กวาดตามองไปทางหมอหลวง
หมอหลวงรีบอธิบาย “ฮ่องเต้น่าจะยังปรับตัวไม่ทันพ่ะย่ะค่ะ” แต่กลับไม่กล้าเอ่ยพูดออกมาตรงๆ คนใกล้ตายแล้ว ปฏิกิริยาตอบสนองช้าก็ถือเป็นเรื่องปกติ
ฮ่องเต้ฟื้นฟูกลับมาได้เร็วตามคาด แต่เพิ่งเอ่ยปากก็ถามว่า “คนชั้นต่ำนั่นเล่า?”
ถาวจวินหลันอดเบนหน้าหนีฮ่องเต้ไม่ได้ เป็นถึงขนาดนี้แล้ว ทำไมฮ่องเต้ยังเอาแต่คิดถึงกู้ซี?
“ตายแล้วพ่ะย่ะค่ะ” หลี่เย่ตอบสั้นๆ แต่ก็คิดว่ายังไม่ละเอียดพอ จึงพูดเสริมอีกว่า “หลังจากพระองค์สลบไป นางก็วิ่งชนกำแพง คงรู้ว่าตนเองหนีไม่พ้นแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้กราดเกรี้ยวขึ้นมาในทันใด ตบเตียงอย่างแรง “คนชั้นต่ำ ตายสบายไปแล้ว!”
ถาวจวินหลันขมวดคิ้วน้อยๆ ก่อนหน้านี้ฮ่องเต้ปฏิบัติกับกู้ซีด้วยท่าทางรักใคร่และโปรดปรานมากเพียงใด? แต่ตอนนี้เล่า? แท้จริงแล้วฮ่องเต้มีความจริงใจบ้างหรือไม่? ถึงกู้ซีทำผิด แต่ความรู้สึกก่อนหน้านี้เป็นเรื่องเสแสร้งอย่างนั้นหรือ?
“พูดตอนนี้ก็เปล่าประโยชน์ เสด็จพ่อคิดเรื่องเขียนหนังสือราชโองการดีกว่าพ่ะย่ะค่ะ” หลี่เย่พูดเข้าประเด็นอย่างเรียบเฉย ไม่ได้สนใจความรู้สึกของฮ่องเต้เลยแม้แต่น้อย
ฮ่องเต้ถลึงตาโต ทำหน้าไม่อยากเชื่อ
หลี่เย่สบตากับฮ่องเต้อย่างเปิดเผย ก่อนเอ่ยเตือน “เสด็จพ่อ เวลาเหลือไม่มากแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ถาวจวินหลันคิดว่าหากนางเป็นฮ่องเต้คงโกรธจนอกแตกตายไปแล้ว ถ้าต่อไปซวนเอ๋อร์กล้าทำเช่นนี้ เกรงว่านางคงตีเขาให้ตายเลยกระมัง?
แต่จะต้องดูจากสภาพความเป็นจริง อย่างมากที่สุดหลี่เย่ก็แค่ไร้มารยาท แต่ไม่ได้อกตัญญู โดยสรุปแล้วฮ่องเต้คงรู้สึกไม่ดี
“เจ้าคนเนรคุณ” ฮ่องเต้โมโหจนอดด่าไม่ได้
หลี่เย่ไม่สนใจ แต่กลับยิ้มไม่ยี่หระ “ตอนที่เสด็จพ่อพูดออกมาก็น่าจะคิดว่าพระองค์เคยทำหน้าที่เฉกเช่นบิดากับกระหม่อมตั้งแต่เมื่อไร ตอนเด็กกระหม่อมเคยถูกวางยาจนเป็นใบ้ พระองค์เคยออกหน้าแทนกระหม่อมบ้างหรือไม่? ตอนที่เสด็จแม่จากไป พระองค์เคยคิดถึงความเป็นอยู่ของกระหม่อมบ้างหรือไม่? อีกอย่างตอนที่กระหม่อมแย่งชิงกับพี่ใหญ่ พระองค์เคยคิดถึงจุดจบของกระหม่อมบ้างหรือไม่ แม้แต่หลังจากกระหม่อมขึ้นเป็นรัชทายาท พระองค์เคยคิดถึงหน้าตาของกระหม่อมหรือไม่? เสด็จย่าตรัสถูกต้องเรื่องหนึ่ง พระองค์เทียบกับเสด็จปู่ไม่ได้ เสด็จปู่มีจิตใจกว้างขวาง เห็นแก่ราษฎรและแผ่นดิน แล้วพระองค์เล่า? พระองค์เป็นฮ่องเต้แต่กลับคิดถึงแค่ตนเอง
ฮ่องเต้เถียงอะไรไม่ได้เลยสักคำ
“ขอให้เสด็ตพ่อทรงเขียนหนังสือพระราชประสงค์เถิดพ่ะย่ะค่ะ!” หลี่เย่ลุกขึ้น ส่งยิ้มให้ฮ่องเต้น้อยๆ “บางทีตอนนี้เสร็จพ่ออาจไม่อยากเห็นหน้ากระหม่อม ขอตัวก่อนนะพ่ะย่ะค่ะ”
ถาวจวินหลันย่อมไม่รั้งอยู่ต่อ แต่เดินตามหลี่เย่ออกไป
“ท่านไม่อยากฟังหรือเพคะ?” หลังจากออกจากห้องไปแล้ว ถาวจวินหลันถึงได้ถามเสียงเบา นางเองยังสงสัยว่าฮ่องเต้จะเขียนหนังสือราชโองการอย่างไร คิดว่าหลี่เย่จะต้องสงสัยมากกว่านางเป็นแน่
หลี่เย่ไม่ได้หันมามอง หรี่ตาลงเล็กน้อยมองท้องฟ้าสีหม่น จากนั้นสีหน้าก็ดูขบขันเล็กน้อย “มีอะไรน่าฟังกัน? ไม่ว่าจะฟังหรือไม่ สุดท้ายก็รู้เนื้อหาในหนังสือราชโองการอยู่ดี”
ถาวจวินหลันเบิกตากว้างด้วยตกใจ นางเข้าใจความหมายของเขา จึงประหลาดใจและคิดว่าสมเหตุสมผล แต่ยังไม่ทันรอให้นางได้คิดต่อ ทางด้านโจวอี้ก็รีบเร่งเข้ามา จวงอ๋องและอู่อ๋องเข้าวังมาหมดแล้วพ่ะย่ะค่ะ บอกว่ามาขอเข้าเฝ้าฮ่องเต้”
หลี่เย่กระตุกยิ้ม “ดูท่าทางพวกเขาจะรู้แล้ว”
ใต้หล้านี้หน้าต่างมีหู ประตูมีช่อง หลี่เย่กับถาวจวินหลันจึงไม่แปลกใจนัก
ถาวจวินหลันเหลือบมองหลี่เย่ “จะทำอย่างไรเพคะ? ไม่อย่างนั้นท่านเข้าไปก่อน ให้หม่อมฉันรับหน้าอยู่พวกเขาที่นี่ดีหรือไม่?”
หลี่เย่ส่ายหน้า “เจ้าเข้าไปก่อน ข้าอยู่เอง” ถาวจวินหลันกำลังตั้งครรภ์ เขาจะวางใจได้อย่างไร? อีกอย่างถาวจวินหลันก็คงจะรั้งสองคนนั้นเอาไว้ไม่ได้ ดังนั้นเขาอยู่ข้างนอกดีกว่า
ถาวจวินหลันคิดจะปฏิเสธตามสันชาตญาณ หลี่เย่กลับเดาได้ว่าแท้จริงแล้วนางห่วงเรื่องอะไร เพียงพูดว่า “หลังจากเข้าไปก็ทำตามสถานการณ์ เจ้ากับข้าเป็นคนเดียวกัน ข้าทำได้เจ้าก็ทำได้เช่นกัน”
ยังไม่ทันเหลือเวลาให้ถาวจวินหลันได้พิจารณาให้ดี หลี่เย่ก็ดันถาวจวินหลันเข้าไปในห้องเบาๆ จากนั้นก็ปิดประตูลงอีกครั้ง
ถาวจวินหลันมองประตูที่ปิดสนิท คิดถึงท่าทีสบายๆ ของหลี่เย่ ตอนแรกนางยังตื่นเต้นเล็กน้อย แต่แล้วก็ผ่อนคลายโดยเร็ว แน่นอนว่าเป็นเพราะคำพูดของหลี่เย่ที่ว่า ‘ข้าทำได้เจ้าก็ทำได้เช่นกัน’
ความเชื่อใจของเขาส่งให้นางอบอุ่นและสบายใจอย่างยากจะอธิบาย
แน่นอนว่าพอนางเข้าไป ฮ่องเต้ก็จับสังเกตได้โดยไว หันมามองทีหนึ่ง แม้ไม่ได้ชัดเจนแต่ก็สัมผัสได้ถึงความระแวงของฮ่องเต้
ถาวจวินหลันยิ้มอย่างอดไม่ได้ หลังจากนั้นก็ก้าวเดินขึ้นไปข้างหน้าอย่างเปิดเผย นางยังต้องกลัวอะไรอีกเล่า? หนังสือราชโองการต้องประกาศให้ใต้หล้ารับรู้อยู่แล้ว นางอยากดูเนื้อหาก่อนจะเป็นอะไร?
ฮ่องเต้ยังคงไม่เอ่ยปาก
ถาวจวินหลันก็เงียบเช่นกัน แม้เข้าใจความคิดของฮ่องเต้ แต่ก็ยังจงใจเล่นแง่กับเขาต่อไป อย่างไรนางก็ไม่คิดจะหลบเลี่ยงแล้ว ฮ่องเต้ตัดสินใจเอาเองก็แล้วกัน
สุดท้ายฮ่องเต้ก็มองไปที่ขันทีเป่าฉวน
ขันทีเป่าฉวนรับทราบ จึงเดินมาทางถาวจวินหลัน เพราะหันหลังให้ฮ่องเต้ ดังนั้นฮ่องเต้จึงไม่เห็นว่าขันทีเป่าฉวนกำลังทำท่าจนปัญญาเบื่อหน่าย
ถาวจวินหลันพยักหน้าเล็กน้อย บ่งบอกว่านางเข้าใจความรู้สึกของเขา
“พระชายาหลบไปก่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ” ขันทีเป่าฉวนเอ่ยขอร้องด้วยน้ำเสียงจริงใจอยู่มากนัก อีกทั้งยังมีท่าทางต่อรองอยู่ในที แต่สีหน้าของเขากลับขัดกับน้ำเสียงอย่างมาก
ถาวจวินหลันเดินผ่านขันทีเป่าฉวน ยิ้มพลางเดินไปถึงข้างเตียงฮ่องเต้ มองดูฮ่องเต้ที่ไม่พอใจอย่างมากพร้อมทั้งพูดเสียงเบาว่า “ฮ่องเต้เพคะ ทำไมพระองค์ถึงไม่ตรัสต่อเล่า? เหลือเวลาอีกไม่มากแล้วนะเพคะ”
ฮ่องเต้ถลึงตามองนาง ตะเบ็งเสียง “กล้านัก!”
“จวงอ๋องและอู่อ๋องเข้าวังมาแล้วเพคะ!” ถาวจวินหลันแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน พูดต่อด้วยน้ำเสียงเนิบช้า เหมือนพูดเรื่องธรรมดาทั่วไปกับฮ่องเต้ “พระองค์ว่าพวกเขามาทำอะไร? มาดูพระองค์สิ้นพระชนม์เป็นที่ประจักษ์หรือไม่?”
สีหน้าของฮ่องเต้เห่อแดงทันที
“บางทีพวกเขาอาจจะอยากให้พระองค์มีชีวิตนานกว่านี้ เพราะมีเพียงวิธีนี้พวกเขาถึงจะมีโอกาสแย่งชิงตำแหน่งฮ่องเต้” ถาวจวินหลันยังไม่สนใจสายตาของฮ่องเต้ที่แทบจะกินนางเข้าไป พูดต่อไปว่า “พูดไปแล้วหม่อมฉันคิดว่าชีวิตพระองค์น่าเศร้าไปหน่อยนะเพคะ เกรงว่าคงไม่มีลูกชายคนไหนจริงใจต่อพระองค์เลยกระมัง? แม้องค์รัชทายาทเลวอย่างไร แต่น่าเสียดายที่ตัดขาดไปนานแล้ว พระองค์ไม่รู้สึกผิดหรือโทษตัวเองบ้างหรือ? อีกอย่างพระองค์มีผู้หญิงตั้งมากมาย แต่จนถึงตอนนี้มีใครจริงใจกับพระองค์บ้างเพคะ?”
“ชายารัชทายาท ฮ่องเต้ทรงกริ้วมากไม่ได้นะพ่ะย่ะค่ะ ท่าน…” อย่างไรหมอหลวงก็ยังมีจรรยาบรรณของหมอ ก้าวขึ้นมาพูดกล่อมอย่างกล้าๆ กลัวๆ
ถาวจวินหลันกวาดตามองหมอหลวง จนเขากลืนคำพูดที่เหลือลงคอไป
นางพูดเพียงสั้นๆ “จวงอ๋องกับอู่อ๋องเฝ้าอยู่ข้างนอก”
หมอหลวงสั่นสะท้าน เข่าทรุดลงพื้นทันที
ถาวจวินหลันกลับมองฮ่องเต้ด้วยสายตาเวทนา พูดพึมพำกับตัวเอง “พระองค์รู้หรือไม่ ก่อนกู้ซีจากไปนางทิ้งท้ายว่าอย่างไร? กู้ซีบอกว่า หากย้อนกลับไปได้ก็คงดี นางไม่อยากเข้าวังหลวง อีกทั้งกู้ซีก็พูดถูก พระองค์ทรงตรัสว่าไม่เคยลืมกู้กุ้ยเฟยเลยมิใช่หรือเพคะ? แต่น่าเสียดาย ถึงได้พบกู้กุ้ยเฟยอีกครั้งในโลกหลังความตาย เกรงว่าคงไม่ให้อภัยพระองค์เป็นแน่เพคะ”
ฮ่องเต้ตบขอบเตียงเสียงดัง โมโหจนพยายามลุกขึ้น “เจ้ากล้าหรือ!”
“หม่อมฉันกล้าเพคะ” ถาวจวินหลันถอนหายใจอย่างหนัก พยายามคุมเสียงตนเองไม่ให้สั่นเครือ “เหตุใดหม่อมฉันต้องไม่กล้าเพคะ? หม่อมฉันพูดความจริง พระองค์ทรงทำตัวพระองค์เองเพคะ ครั้งที่ไทเฮาทรงพร่ำบอกพระองค์ หากพระองค์ให้ความสำคัญสักนิด เกรงว่าคงไม่มีจุดจบเฉกเช่นวันนี้ พระองค์ทรงทำลายความหวังดีของไทเฮา ทั้งยังบั่นทอนความเชื่อใจของขุนนางและราษฎร หลังจากพระองค์สิ้นพระชนม์ไป เกรงว่าคงไม่ได้มีชื่อเสียงเกรียงไกร แต่เป็นคำด่าหลายปีเพคะ”
ฮ่องเต้หน้าเห่อแดง กัดฟันเสียงดังกรอด แข็งเกร็งไปทั้งตัว
ถาวจวินหลันถอยหลังลงไปก้าวหนึ่ง พร้อมทั้งมองดูท่าทีของฮ่องเต้ แม้นางขาอ่อนอย่างไร ก็ยังพยายามอดทนเอาไว้ รักษาท่าทีค่อยๆ พูดว่า “ฮ่องเต้เพคะ พระองค์อย่ากริ้วเลยดีกว่า อีกทั้งพระองค์ยังทรงเขียนหนังสือราชโองการไม่เสร็จเลยนะเพคะ”
นางพูดคำว่า ‘หนังสือราชโองการ’ ซ้ำไปซ้ำมาหลายรอบ เพื่อย้ำเตือนฮ่องเต้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า เวลาของท่านเหลือไม่มากแล้ว ท่านใกล้จะตายแล้ว
ความรู้สึกเช่นนี้ใครจะรับได้? คนอื่นจะเป็นอย่างไรถาวจวินหลันไม่รู้ แต่ฮ่องเต้เป็นคนรักชีวิตตัวเอง คงรับไม่ไก้เป็นแน่
ฮ่องเต้ที่ป่วยติดเตียงบรรทม ฮ่องเต้ที่เดินทางมาถึงช่วงบั้นปลายชีวิต ทว่าสูญเสียอำนาจทุกอย่าง แม้แต่กริ้วโกรธเพียงใดก็พียงแต่เหมือนคนแก่น่าสงสาร อีกทั้งความโกรธของเขายังไม่มีผลกับคนอื่นเลยแม้แต่น้อย
เหมือนว่าวินาทีนี้ทุกคนล้วนเลือกข้างด้วยตนเอง เลือกคนที่จะจงรักภักดีด้วย แต่น่าเสียดายที่ไม่ใช่ฮ่องเต้
“แม้กู้ซีจะใช้ยากับพระองค์ แต่พระองค์คงไม่เลอะเลือนเช่นนั้นหรอกกระมัง?” ถาวจวินหลันส่ายหน้า พูดสิ่งที่ตนเองคาดเดา “พระองค์ทรงทำทุกอย่างตามประสงค์ของพระองค์เอง เพียงเพราะอยากพิสูจน์ว่าพระองค์ยังเป็นฮ่องเต้และควบคุมทุกอย่างใช่หรือไม่เพคะ? หรือจะบอกว่าพระองค์คิดอยากจะเสพสุขกับความสำราญจากตำแหน่งฮ่องเต้ก่อนสิ้นพระชนม์เพคะ?”
ฮ่องเต้พูดไม่ออกทันที เสียงหอบหายใจดังส่งมา แต่ก็ยังกัดฟัน เหมือนมีบางอย่างขวางคอไว้
ฮ่องเต้ดิ้นรนอย่างหนัก ก่อนล้มลงบนผ้าห่มสีเหลืองสด ดวงตาทั้งสองข้างเบิกกว้าง