บัลลังก์พญาหงส์ - บทที่ 702 กระอักกระอ่วน
คุกเข่าส่งวิญญาณวันที่สอง ถาวจวินหลันเพิ่งจะดื่มน้ำแกงร้อนไป ก็ได้รับรายงานว่า กู้ซีฟื้นแล้ว
เพิ่งได้ยินข่าวนี้ถาวจวินหลันก็นิ่งเงียบไปนาน ผ่านไปครู่ใหญ่ถึงพูดขึ้นว่า “ให้หมอหลวงไปตรวจนางเถิด” ในใจกลับลอบถอนหายใจ กู้ซียังไม่ตาย ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องดีหรือไม่ แต่ชะตาชีวิตกู้ซีช่างดีเสียเหลือเกิน
ที่สำคัญคือหลี่เย่ป่าวประกาศไปว่ากู้ซีวิ่งชนกำแพงตายตามฮ่องเต้ไป ด้วยตั้งใจไว้หน้าให้กู้ซีบ้าง ไม่พาตระกูลกู้เข้าสู่ภาวะอันตราย ต่อให้ทำเพื่อไทเฮาและกู้กุ้ยเฟย ทำเช่นนี้ก็ถือเป็นเรื่องสมควร แต่ตอนนี้กู้ซีกลับฟื้นขึ้นมา…
คำพูดไม่อาจเปลี่ยนแปลง มิเช่นนั้นหลี่เย่จะเอาความน่าเชื่อถือและหน้าตาไปไว้ที่ไหน? แต่กู้ซี ‘ชอบธรรม’ เช่นนี้กลับได้ชื่อเสียงดีงาม ขอแค่กู้ซียังไม่ตาย อาศัยแค่การกระทำ ‘ชอบธรรม’ ก็คงได้รับคำชื่นชมไม่น้อย หลังจากนี้ก็ยังชีวิตอย่างมีเกียรติได้
นางกับหลี่เย่ทำอะไรกู้ซีไม่ได้เลย ในทางกลับกันยังต้องยกย่องด้วย หากกู้ซีเป็นเช่นนั้นจริงก็ไม่เป็นไร เพียงแค่เลี้ยงคนเพิ่มเท่านั้น
แต่ความจริงที่กู้ซีลอบทำร้ายฮ่องเต้ยังไม่เปลี่ยนแปลง หากพวกเขายกย่องกู้ซีก็น่าตลกแล้ว ไม่ต้องพูดถึงคนอื่นรู้ความจริงเข้า แค่หัวใจของตนเองจะก้าวผ่านไปได้หรือไม่ก็ยังไม่รู้
อีกทั้งกู้ซียังสารภาพความจริงในใจกับหลี่เย่ หากนางกับหลี่เย่พบหน้ากันอีกก็คงกระอักกระอ่วนน่าดู ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องไปมาหาสู่กันวันข้างหน้า
ถาวจวินหลันคิดเรื่องเหล่านี้ก็ปวดหัวขึ้นมาเล็กน้อย นางออกแรงบีบหว่างคิ้วของตนเอง ก่อนหัวเราะขมขื่น แต่ถ้าจะให้กู้ซีตายไปเช่นนี้ นางก็ใจเ**้ยมไม่พอ อีกทั้งยังไม่ถูกเวลา กู้ซีรอดชีวิตมาจนได้ ไม่รู้ว่ามีดวงตากี่คู่คอยจับจ้อง ไฉนเลยจะลงมือกับนางได้?
ช่างเถิด ทำได้แค่คอยดูกันต่อไป กู้ซีรอดมาได้ก็แล้วไป ต่อจากนี้ค่อยคิดหาวิธีจัดการก็แล้วกัน
หลังจากโยนเรื่องนี้ออกจากหัวไป ถาวจวินหลันก็ตั้งใจทานข้าว นางมีอีกหนึ่งชีวิตในตัว นางไม่กินแต่ลูกต้องกิน ไฉนเลยจะละเลยและสะเพร่าได้? นางไม่สนใจตนเองก็ยังต้องสนใจลูก
กว่าจะผ่านพ้นนั่งคุกเข่าส่งวิญญาณสามวันไปได้ อี้กุ้ยเฟยก็ผ่ายผอมลงมาก เห็นชัดว่านางเหนื่อยมากเพียงใด ย่อมเป็นเพราะหน้าที่ที่อี้กุ้ยเฟยแบกเอาไว้ด้วย แต่เมื่อเทียบคนอื่นกับนางแล้วก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันเท่าไร
บางคนยังนึกอิจฉาที่อี้กุ้ยเฟยสามารถเดินเหินไปสั่งการนู่นนี่ได้บ้างเป็นครั้งคราว นั่งคุกเข่าอยู่ตลอดไม่เพียงแค่เจ็บหัวเข่า ยังต้องอดทนนั่งตัวเกร็ง จะปล่อยให้ล้มไม่ได้ ทั้งยังต้องดูเป็นระเบียบสวยงาม ไม่รู้ว่าต้องทรมานมากเพียงใด
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงอากาศหนาวเหน็บ แม้ใช้แผ่นรองปูกันหนาวก็ยังเอาไม่อยู่
ดังนั้นสามวันมานี้จึงมีคนล้มลงมาก เจ้านายยังพอทน แต่พวกนางกำนัลและบ่าวกลับน่าสงสารยิ่งนัก
ถาวจวินหลันเคยเป็นนางกำนัลมาก่อน ย่อมต้องเข้าใจความรู้สึกของนางกำนัลเหล่านี้ จึงสั่งให้เพิ่มน้ำแกงร้อนถ้วยหนึ่งในสำรับข้าวของทุกคน ไม่ว่าจะเป็นน้ำแกงอะไรก็ดี น้ำแกงไข่ น้ำแกงผัก ต่อให้เป็นน้ำร้อนผสมเครื่องปรุงรสและต้นหอมก็ยังดี
นอกเหนือจากนั้น ถาวจวินหลันยังมอบของว่างให้คนละกล่อง ฮ่องเต้สิ้นพระชนม์จะต้องไว้ทุกข์ทั้งแคว้น ในช่วงหนึ่งเดือนนี้ในวังหลวงงดกินเนื้อสัตว์ แม้แต่น้ำมันจากสัตว์ก็ยังห้ามใช้ คนทำงานใช้แรงรับเรื่องนี้ไม่ได้เป็นแน่
ของเหล่านี้แม้เทียบไม่ได้กับเงินทอง แต่ก็นับว่านางเอาใจใส่มาก ดังนั้นการกระทำของถาวจวินหลันครั้งนี้จึงได้รับคำชมล้นหลาม
ถาวจวินหลันได้รับชื่อเสียงดีงามจากภายในวังอย่างรวดเร็ว มีคนไม่น้อยเริ่มคาดหวังให้นางเป็นฮองเฮาแล้ว เจ้านายที่มีเมตตาเช่นนี้ ใครไม่ต้องการบ้าง?
แน่นอนว่าต้องมีคนคิดว่าถาวจวินหลันเสแสร้ง แต่สุดท้ายเสียงนินทาเช่นนี้ก็น้อยลง อีกทั้งยังหายไปอย่างรวดเร็ว จนกระทั่งไร้ร่องรอย
หลังจากผ่านเรื่องนี้ไป ถาวจวินหลันก็พูดถึงถาวจิ้งผิง ช่วงที่องค์หญิงเก้านั่งคุกเข่าส่งวิญญาณ ก็ทำท่าอยากพูดหลายครั้ง แต่ก็ไม่ยอมพูดสักที แม้นางไม่ได้แสดงท่าทีออกมาทันที แต่ก็รู้ดีว่าองค์หญิงเก้าอยากพูดอะไร
แน่นอนว่านางก็เป็นห่วงถาวจิ้งผิง แต่ช่วงคุกเข่าส่งวิญญาณไม่เหมาะยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูด แค่เรื่องจัดการพิธีหลี่เย่ก็เหนื่อยจนไม่มีแรงไปสนเรื่องอื่นแล้ว อีกอย่างหากยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูดตอนนี้จริง เกรงว่าบรรดาขุนนางคงรีบออกมาต่อต้านเป็นแน่
ถาวจวินหลันจึงฉวยโอกาสตอนดึกที่หลี่เย่ยังไม่นอน ยกเรื่องนี้มาพูดกับเขา “จิ้งผิงถูกกักขังต่อไปก็ไม่ถูก ตอนนี้เป็นเวลาที่ต้องใช้กำลังคน ไม่ทราบว่าจะปล่อยจิ้งผิงออกมาได้เมื่อไร? หลายวันมานี้องค์หญิงเก้ามองหม่อมฉันทีไรก็ทำท่าเหมือนอยากพูดอะไรทุกที หม่อมฉันรู้สึกไม่ดีเลยเพคะ”
“อย่าร้อนใจไปเลย ข้าจัดการไว้แล้ว” หลี่เย่เหนื่อยจนหนังตาปิด หลังจากหลับตาพูดเรื่องนี้ออกมา ก็เข้าสู่สภาวะสะลึมสะลือทันที
พอเห็นหลี่เย่มีสภาพเช่นนี้ถาวจวินหลันก็ไม่อยากรบกวนเขาอีก จึงหลับตาลงเช่นกัน แต่ไม่ว่าอย่างไรก็นอนไม่หลับเสียที จึงลูบท้องของตนเองคิดเรื่องราวไปเรื่อยเปื่อย สุดท้ายถึงจะหลับไปโดยไม่รู้ตัว
แต่ระหว่างนางหลับกลับฝันเห็นตัวเองอยู่ท่ามกลางกลุ่มหมอกควันกลุ่มหนึ่ง ไม่เห็นว่ารอบข้างมีลักษณะเป็นอย่างไร ทำได้เพียงคลำทางเดินต่อไปข้างหน้า เดินไปเรื่อยๆ ก็มองเห็นคนคนหนึ่ง พอคนนั้นหันหน้ามาถึงเห็นว่าเป็นฮ่องเต้ เขาถามนางด้วยสีหน้าบิดเบี้ยว “ทำไมเจ้าต้องทำให้ข้าตาย!”
ถาวจวินหลันตกใจจนสะดุ้งตื่นทันที ทั้งยังเผลอเตะโดนหลี่เย่ทีหนึ่ง จนเขาสะดุ้งตื่นตาม
หลี่เย่ตกใจตื่น ก็เห็นถาวจวินหลันลุกขึ้นนั่งด้วยสีหน้าซีดเซียวมีเหงื่อผุดพรายเต็มใบหน้า เหมือนว่ายังไม่ได้สติกลับมา เขาเองก็ตกใจเช่นกัน “เกิดอะไรขึ้น?”
“ฝันร้ายเพคะ” ถาวจวินหลันค่อยๆ สงบใจลง กุมหน้าอกที่เต้นแรงของตนเอง ค่อยๆ เขยิบเข้าไปใกล้อ้อมกอดของหลี่เย่ หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายนางก็เอ่ยปากพูดว่า “หม่อมฉันฝันถึงฮ่องเต้ เขามาขอความเป็นธรรมจากหม่อมฉันเพคะ”
หลี่เย่ตะลึงไป จากนั้นก็หลุบตาลง ตบหลังถาวจวินหลันเบาๆ “เอาเถิด ไม่เป็นอะไรแล้ว เจ้าเองก็ไม่ได้ทำผิดอะไร”
“ไม่ หม่อมฉันตกใจเพคะ” พอได้พูดก็เหมือนว่าเรื่องที่ไม่อาจเอื้อนเอ่ยได้ก็หลุดออกมาอย่างง่ายดาย ถาวจวินหลันสูดหายใจ พยายามกลั้นน้ำตา “หม่อมฉันยั่วให้เขาโกรธจนตาย หม่อมฉันจงใจพูดจี้จุดอ่อนของเขา หม่อมฉันกลัวว่าหลังจากเขาพบจวงอ๋องและอู่อ๋องแล้ว…”
“ข้ารู้” หลี่เย่ถอนหายใจ น้ำเสียงอ่อนโยนขึ้นหลายส่วน แต่การกระทำอ่อนโยนยิ่งกว่า “ข้ารู้ ข้ารู้ทั้งหมด”
ถาวจวินหลันส่ายหน้า “เขามาเค้นถามความรับผิดชอบจากหม่อมฉัน หม่อมฉันเข้าใจความหมายของเขา เขา…”
“มีข้าอยู่ จะมาหาก็ต้องมาหาข้า“ หลี่เย่เสียงทุ้มลึก ลูบหลังของถาวจวินหลันเบาๆ อย่างใจลอย “ที่เจ้าพูดก็เป็นความจริง อย่ารู้สึกผิดไปเลย เข้าใจหรือไม่? เจ้ากำลังพะวงมากเกินไป ตกดึกถึงได้ฝันถึง ไม่ใช่เขามาหาเจ้า”
ถาวจวินหลันค่อยๆ สงบสติอารมณ์ลง หลังจากใจเย็นลงแล้วนางก็เข้าใจว่าวันนี้นางใช้อารมณ์มากเกินไป อีกทั้งยังคิดมากไม่เข้าท่า จึงอดรู้สึกประหม่าไม่ได้ “ช่างเถิดเพคะ ท่านนอนต่อเถิด”
หลี่เย่ประคองถาวจวินหลันให้เอนตัวลง แล้วโอบนางเข้ามาในอ้อมกอดเอ่ยปลอบอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหลับไปยังพูดว่า “ไม่ต้องกลัว ถ้าเขากล้ามาหาเจ้า ก็ให้เขามาหาข้า”
แม้จะบอกว่าเรื่องนี้เป็นไปไม่ได้ แต่ถาวจวินหลันก็ยังรู้สึกปลอดภัยมากขึ้น ไม่เพียงสงบใจลง ความอบอุ่นจากกายหลี่เย่ยังส่งให้นางผล็อยหลับไป
หลังจากคุกเข่าส่งวิญญาณแล้วก็ถึงขั้นตอนทำพิธี ในเมื่อเป็นถึงฮ่องเต้ เมื่อครบเจ็ดวันต้องมีพิธีลอยน้ำ ยังดีที่ตอนนี้อากาศหนาว ไม่ต้องกลัวอะไร และโลงศพของฮ่องเต้ก็ปิดแน่นหนาไร้รอยต่อ แม้แต่ช่องว่างเล็กๆ ก็ยังไม่มี
แต่การทำพิธีทางน้ำก็ไม่อาจอยู่ในนั้นได้ตลอด หลังจากทำพอเป็นพิธีแล้วก็แยกย้ายกันได้ แต่เพื่อไม่ดูเย็นชาเกินไป ถาวจวินหลันกับอี้กุ้ยเฟยจึงแบ่งสตรีในวังหลวงออกเป็นหลายส่วน ผลัดกันไปเฝ้าอยู่ตลอด เพื่อให้ดูมีหน้ามีตา
วันนี้อี้กุ้ยเฟยและถาวจวินหลันเฝ้าอยู่ที่นั่นทั้งคู่ จึงได้พูดคุยกัน อี้กุ้ยเฟยพูดว่า “พวกเจ้าคิดจะจัดการฮองเฮาเช่นไร? แม้มีหนังสือราชโองการ แต่นี่ก็ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เกรงว่าคงไม่ง่าย”
ถาวจวินหลันเข้าใจสิ่งที่อี้กุ้ยเฟลยต้องการสื่อ จึงถอนหายใจออกมา ดูมีท่าทีลำบากใจและกล่าวโทษ “จะไม่ใช่ได้อย่างไรเพคะ พอเป็นเช่นนี้พวกเราก็ไม่รู้ว่าจะจัดการอย่างไรดี แต่ยังดีที่หลังจากสำเร็จแล้วพวกเราก็จะสบาย ส่วนเรื่องจัดการอย่างไร ตอนนี้นางก็ยังอยู่ในฐานะฮองเฮา ถึงขึ้นเป็นไทเฮาไม่ได้ แต่ก็ยังต้องเคารพอยู่มิใช่หรือเพคะ?”
นางย่อมต้องเคารพและดูแลให้อยู่ดีกินดี แต่ฮองเฮาอย่าได้คิดจะเข้ามายุ่งวุ่นวายเรื่องอำนาจหรือก่อเรื่องอะไรอีก
แต่หากฮองเฮาขึ้นเป็นไทเฮาจริงก็จะไม่เหมือนเดิม ด้วยเป็นมารดาใหญ่ ฮองเอาสามารถปราบปรามหลี่เย่ได้อย่างถูกต้องตามทำนองคลองธรรม หากสร้างความลำบากใจให้หลี่เย่ได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงนางที่เป็นลูกสะใภ้เลย นี่ก็เป็นเหตุว่าทำไมนางถึงได้เสี่ยงอันตรายแหกกฎเดิม แล้วยังเพิ่มเติมข้อนี้เข้าไปในหนังสือราชโองการ
นางรู้ฝีมือของฮองเฮาเป็นอย่างดี ดังนั้นจึงจัดการตัดขาดความเป็นไปได้นี้ก่อนอย่างเด็ดขาด
“ตอนนี้ฮ่องเต้สิ้นพระชนม์ เรื่องการแต่งงานของเจ้าเจ็ดก็ต้องถูกลากออกไปอีก” อี้กุ้ยเฟยถอนหายใจอย่างโศกเศร้า แม้องค์ชายเจ็ดยังอายุไม่มากนัก แต่หากต้องรออีกปี นางก็เริ่มร้อนใจแล้ว อย่างไรก็ยังหาลูกสะใภ้ที่เหมาะสมไม่ได้เลย!
“เรื่องดีไม่ต้องกลัวช้าเพคะ” ถาวจวินหลันพูดอย่างมั่นใจ ถือเป็นการปลอบอี้กุ้ยเฟยไปด้วย
อี้กุ้ยเฟยถอนหายใจอีก “ขอให้เป็นเช่นนั้นก็แล้วกัน แต่ก็ดี อย่างน้อยก็ยังอยู่ในวังหลวงกับข้าได้อีกหนึ่งปี พอออกจากวังแล้ว อยากพบหน้าคงไม่ง่ายเช่นนี้อีก”
“ความคิดขององค์รัชทายาทก็คิดว่าหากมีลูกหญิงชายแล้ว และยินยอมให้คนเข้ามารับไปเลี้ยงดูแล นั่นย่อมทำได้เพคะ” ถาวจวินหลันหัวเราะเบาๆ พูดข่าวดีให้อี้กุ้ยเฟยยิ้มแย้มอย่างง่ายดาย
ในความเป็นจริงแล้ว หลังจากอี้กุ้ยเฟยได้ยินเรื่องนี้ก็แทบจะหัวเราะออกมา หากไม่ใช่เพราะคำนึงเรื่องฮ่องเต้เพิ่งสิ้นพระชนม์ เกรงว่านางคงหัวเราะออกมาแล้วจริงๆ