บัลลังก์พญาหงส์ - บทที่ 704 สถานการณ์ปิดตาย
ถาวจวินหลันขมวดคิ้วมุ่น เห็นชัดว่านี่เป็นกับดัก มิน่าเล่าอีกฝ่ายถึงได้กล้าเรียกให้เปิดประตูอย่างบุ่มบ่ามโอหัง ความจริงแล้วก็เพื่อให้นางเครียดและประมาทศัตรูเท่านั้น แผนการที่แท้จริงคือทหารยามที่ซ่อนตัวอยู่
เห็นได้ชัดว่าฝ่ายตรงข้ามใช้วิธีชาญฉลาด ไม่ว่าเพราะเป็นห่วงหลี่เย่ หรือคิดว่าข้ารับใช้ข้างนอกไม่มากพอเป็นอุปสรรค นางจะต้องเปิดประตูแน่นอน
แต่หากเปิดประตูออกไป ผลที่ตามมาก็คือถูกทหารยามที่ซ่อนตัวอยู่ฆ่าตายทั้งหมด หรือถูกจับตัวไปเป็นๆ กันแน่?
ไม่ว่านางหรือเด็กๆ ก็สำคัญกับหลี่เย่ทั้งนั้น
ถาวจวินหลันถอนหายใจออกมา นางนับถือแผนการของฮองเฮานัก
“ตอนนี้พวกเราจะทำอย่างไรดีเพคะ?” หงหลัวลนลานจนทำตัวไม่ถูก อดขยับไปใกล้ข้างกายถาวจวินหลันไม่ได้ ต้องพูดว่าทำเช่นนี้แล้วนางรู้สึกปลอดภัยจริงๆ ด้วยเพราะท่าทียืนนิ่งไม่ไหวติงของถาวจวินหลันทำให้นางเชื่อมั่นอย่างบอกไม่ถูก
ถาวจวินหลันกวาดตามองข้ารับใช้เหล่านั้น เอ่ยปากพูดเรียบๆ “กลัวอะไร? พวกเราไม่เปิดประตู พวกเขาก็บุกเข้ามาไม่ได้! ต่อให้บุกเข้ามาจริง พวกเราก็สู้จนตายไปข้าง ถึงตายไปก็ช่างมันปะไร ข้าจะอยู่กับพวกเจ้า!”
น้ำเสียงของถาวจวินหลันไร้แววหวาดกลัวหรือตื่นตกใจ ขณะที่พูดว่า ‘ข้าจะอยู่กับพวกเจ้า’ ก็ให้คนอื่นเผลอยืดตัวตรงขึ้น บังเกิดความกล้าและบ้าบิ่นในใจ เหมือนว่าทำเช่นนี้แล้วถาวจวินหลันจะเห็นความมุ่งมั่นของพวกเขา
พอเห็นข้ารับใช้มีท่าทางฮึกเหิม ถาวจวินหลันก็รู้สึกพอใจ พยักหน้าน้อยๆ ยิ้มบางๆ น้ำเสียงก็ผ่อนคลายลง “ขอแค่พวกเราเฝ้าวังตวนเปิ่นเอาไว้ก็พอแล้ว องค์รัชทายาทจะต้องส่งคนมาช่วยพวกเราแน่”
หงหลัวสบโอกาสพูด “ขอแค่รักษาวังตวนเปิ่น ปกป้องพระชายาและบรรดานายน้อยได้ ก็ถือเป็นผลงานใหญ่ของพวกเจ้า! ถึงเวลานั้น พวกเจ้าต้องได้ผลประโยชน์และรางวัลอย่างงามเป็นแน่!”
ทุกคนพลันก็ใจเต้นรัว ครั้งนี้ดูอันตราย แต่ก็เป็นโอกาสอันดียิ่ง!
ยิ่งมีคนอดตะโกนเสียงดังไม่ได้ “พระชายาโปรดวางใจ บ่าวเสี่ยงอันตรายก็ไม่กลัว!”
มีคนเริ่มพูด คนอื่นย่อมนั่งไม่ติด พากันแสดงออกถึงความตั้งมั่น
ถาวจวินหลันพยักหน้า จากนั้นก็ถามหงหลัวเสียงเบา “เจ้ารู้หรือไม่ ว่าส่วนไหนของวังตวนเปิ่นสามารถพาคนออกไปได้?”
มาเฝ้าอยู่ตรงนี้อย่างเดียวก็ไม่ถูกนัก นางยังเป็นห่วงหลี่เย่ คิดอยากให้คนออกไปดู เผื่อพากำลังช่วยเหลือเข้ามาได้
หงหลัวไม่รู้เรื่องนี้ รีบไปถามคน ไม่นานก็ถามทางออกหนึ่งมาจนได้ ตอนที่วังตวนเปิ่นเพิ่งเริ่มสร้างนั้นมีประตูออกสองบานข้างหน้าและหลัง แต่ประตูหลังไม่ได้ใช้งาน จึงถูกปิดตายไปนานแล้ว แต่ตรงนั้นไม่ได้ปิดอย่างแน่นหนา เพียงใช้อิฐวางกองไว้เฉยๆ ไม่ได้ฉาบเป็นกำแพงจริงจัง ดังนั้นถ้าจะออกไปก็ส่งสักสองคนไปย้ายอิฐออกเท่านั้น
ถาวจวินหลันได้ยินว่ามีที่แบบนี้อีกก็ดีใจ สั่งว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็ให้พาคนสิบคนออกไป แล้วถามว่าเขายอมจะเหนื่อยให้ข้าอีกสักครั้งหรือไม่ ถ้ายอมจะตกรางวัลเป็นทองสิบชั่ง!”
ทองสิบชั่งถือเป็นของจำนวนไม่น้อย มากพอที่จะไปหาซื้อที่สักผืนหลังจากออกนอกวังไปแล้ว เป็นเจ้าของที่ใช้ชีวิตโดยไม่ต้องกังวลเรื่องความเป็นอยู่
ที่สำคัญที่สุดคือทองที่ใช้ตกรางวัลในวังหลวงถือเป็นสัญลักษณ์ของหน้าตา ตกรางวัลครั้งหนึ่งได้สิบชั่งนั่นถือเป็นหน้าตาและการตกรางวัลครั้งใหญ่ อีกอย่างทองสิบชั่งยังให้ได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเส้นทางในอนาคตเลย
การตกรางวัลเช่นนี้ คนไม่น้อยได้ยินแล้วก็ยากจะห้ามใจ มีบางคนที่อดคิดไม่ได้ว่าหากคนนั้นไม่ยอมรับปาก ตนเองจะเสนอตัวเสียเอง!
แต่คนคนนั้นกลับตอบรับโดยพลัน แล้วยังรับปากอย่างหนักแน่น “บ่าวจะไม่ทำให้พระชายาผิดหวังพ่ะย่ะค่ะ”
ถาวจวินหลันก็พูดอย่างหนักแน่นว่า “เช่นนี้ ข้าจะฝากชีวิตของพวกเราไว้ในมือของเจ้า!”
พอมองตามคนนั้นปีนออกไปยังรูกำแพงที่พอหนึ่งคนรอด ถาวจวินหลันก็รออยู่ครู่หนึ่งถึงพูดว่า “ปิดกลับไปใหม่”
สิ้นเสียง หงหลัวก็พูดอย่างฉงน “พระชายาเพคะ นี่…” เพิ่งออกไปก็ปิดทางของอีกฝ่าย ไม่ทำให้คิดไปในทางร้ายได้อย่างไร?
“ปิด” ถาวจวินหลันออกคำสั่งอีกครั้ง จากนั้นก็หันหน้าไปอธิบายให้หงหลัวฟัง “หากเขาถูกจับแล้วบอกทางนี้กับอีกฝ่าย คนที่ถูกตัดทางคือพวกเรา อีกทั้งนี่ยังเป็นการบอกเขาว่าเขาไม่มีทางหนี นอกจากพากำลังเสริมมา!”
ทองสิบชั่งและชื่อเสียงหน้าตาในอนาคต ไฉนเลยจะได้รับอย่างง่ายดาย นางย่อมไม่เอาคนมากมายในวังตวนเปิ่นมาเสี่ยงอันตรายเพียงเพื่อความปลอดภัยของคนคนเดียว นางคิดเช่นนี้ได้ อีกฝ่ายก็ควรคิดได้เช่นกัน
หงหลัวได้ยินคำอธิบายนี้ก็รู้ว่าตนเองไม่ควรสงสัยถาวจวินหลัน โดยเฉพาะถามต่อหน้าคนมากมายเช่นนี้ ด้วยส่งผลไม่ดีต่อภาพลักษณ์และความทรงอำนาจของถาวจวินหลัน มิเช่นนั้นถาวจวินหลันคงไม่อธิบายละเอียดเช่นนี้
นางก้มหน้าลง เอ่ยขออภัยอย่างรู้ผิด “บ่าวเลอะเลือนไปเพคะ เพียงมองแค่คนสองคน กลับลืมความปลอดภัยของทุกคนไป”
ถาวจวินหลันพยักหน้า “ถึงเจ้าใจดี แต่ก็ไม่ควรทำเช่นนี้ ในเมื่อข้าเป็นนายหญิงของพวกเจ้า ข้าย่อมไม่ได้ดูแลเพียงคนสองคน แต่เป็นพวกเจ้าทั้งหมด
ดังนั้นหากต้องเสียสละคนเดียวเพื่อปกป้องทุกคน นางก็ไม่ลังเลแม้แต่น้อย ใช่ว่านางไม่รู้สึกผิดเลย แต่ความจริงเป็นเช่นนี้นางเองก็แก้ไขไม่ได้ ทำได้แค่แอบพูดอยู่ในใจเงียบๆ หากอีกฝ่ายกลับมาได้ หลังจากนี้จะต้องมีชีวิตที่ดี นางไม่มีทางขี้งกเป็นแน่ ถ้าอีกฝ่ายกลับมาไม่ได้…นางก็จะดูแลครอบครัวของเขาอย่างดี
จิ้งหลิงกับกู่อวี้จือย่อมต้องได้ยินเสียงเคลื่อนไหวข้างนอก จิ้งหลิงออกมาตรวจดูเอง ส่วนกู่อวี้จือ หลังจากเกินเรื่องก็เอาแต่เก็บตัวรักษา จึงส่งคนออกมาดูแทน
พอออกมาดู จิ้งหลิงย่อมต้องเข้าใจว่าสถานการณ์ไม่ค่อยดีนัก จึงรีบไปหาถาวจวินหลัน “เกิดอะไรขึ้นเพคะ?”
ถาวจวินหลันเท้าเอว เงยหน้ามองพระจันทร์เสี่ยวบนท้องฟ้าด้วยท่าทีเคร่งเครียด ผ่านไปครู่ใหญ่ก็ถอนหายใจเบาๆ พูดว่า “ฮ่องเต้พระองค์ก่อนสิ้นพระชนม์แล้ว มีคนกลัวว่าหากต้องรอต่อไปจะไม่มีโอกาส ดังนั้นจึงบุ่มบ่ามทำเรื่องโง่ๆ ก็ถือเป็นเรื่องปกติ”
พูดเช่นนี้จิ้งหลิงก็เข้าใจทันที นี่มีคนต้องการกดดันวังหลวง พูดขึ้นมาตอนนี้ถือเป็นโอกาสดีมาก ฮ่องเต้พระองค์ก่อนสิ้นพระชนม์ ฮ่องเต้พระองค์ใหม่ยังไม่ได้ขึ้นครองราชย์ ถ้ากดดันวังหลวงตอนนี้ เมื่อเทียบกับดึงฮ่องเต้ลงจากหลังม้า ตนเองขึ้นครองราชย์เองแล้วชื่อเสียงย่อมต้องดีกว่าไม่รู้ตั้งเท่าไร
หลังจากเข้าใจแล้ว จิ้งหลิงก็เริ่มลนลาน แต่ก็สงบลงโดยเร็ว พูดเสียงเบาว่า “หม่อมฉันให้คนไปอุ้มกั่วเจี่ยเอ๋อร์กับพวกซวนเอ๋อร์มาไว้ด้วยกันเถิดเพคะ พระชายาไปอยู่กับเด็กๆ หม่อมฉันจะเฝ้าอยู่ที่นี่เองเพคะ”
ถาวจวินหลันเข้าใจความหมายของจิ้งหลิง นางกลัวว่าหากเกิดเหตุอะไรขึ้นก็ให้นางพาเด็กๆ หนีไป และจิ้งหลิงจะคอยเป็นผู้นำจัดการภาพรวมให้ เมื่อเป็นเช่นนี้ บางทีคนที่ต้องเสียสละก็มีเพียงจิ้งหลิงคนเดียวเท่านั้น
ถาวจวินหลันหัวเราะ ได้ยินจิ้งหลิงพูดเช่นนี้ก็อบอุ่นใจ แต่ก็ส่ายหน้าปฏิเสธ “ไม่ได้ ข้าจะคอยดูสถานการณ์อยู่ที่นี่ เจ้าไปเฝ้าเด็กๆ เถิด”
จิ้งหลิงร้อนรน น้ำเสียงเน้นหนักขึ้น “พระชายาเพคะ!“
ถาวจวินหลันยิ้มน้อยๆ “ก่อนหน้านี้ก็เป็นอย่างไร คราวนี้ย่อมต้องเป็นเช่นนั้น อีกทั้งข้าเป็นศูนย์กลางของข้ารับใช้เหล่านี้ หากข้าไปพวกเขาก็เหมือนกับทรายเละเทะถาดหนึ่ง เจ้าเอาพวกเขาไม่อยู่หรอก”
นางไม่ได้พูดเช่นนี้เพราะดูถูกว่าจิ้งหลิงฐานะต่ำต้อย แต่เป็นความจริง จิ้งหลิงเอาพวกเขาไม่อยู่เป็นแน่
จิ้งหลิงได้ยินเช่นนี้ก็นิ่งเงียบไปพักใหญ่ สุดท้ายก็ถอนหายใจ “ถ้าเช่นนั้นหม่อมฉันไปแล้วเพคะ”
ถาวจวินหลันยิ้มๆ พยักหน้า “ฝากเด็กๆ ไว้กับเจ้าด้วย”
ไม่รู้ว่าทำไมพอจิ้งหลิงได้ยินเช่นนี้ก็แสบร้อนดวงตา รีบหันไปพูดกำชับหงหลัวเสียงขึ้นจมูก “เจ้านายของเจ้ากำลังตั้งครรภ์ รีบไปเอาเสื้อกั๊กอีกตัวมาใส่ให้พระองค์เพิ่ม แล้วเพิ่มผ้าคลุมไปอีกผืน เอาเตาผิงออกมาให้นางได้อังมือ มิเช่นนั้นคงรับลมหนาวไม่ได้เป็นแน่”
พูดจบจิ้งหลิงก็ทนต่อไปไม่ไหว รีบหันไปอุ้มกั่วเจี่ยเอ๋อร์ไม่หันกลับมาอีก
หงหลัวเพิ่งคิดเรื่องนี้ออก ไม่ใช่ว่านางไม่ใส่ใจ แต่เพราะเกิดเรื่องใหญ่เช่นนี้ขึ้น นางจึงเสียสมาธิไป ไม่ได้คิดเรื่องเหล่านี้เลยแม้แต่น้อย
แน่นอนว่าพอจิ้งหลิงเอ่ยเตือน หงหลัวย่อมรู้สึกผิดอย่างเลี่ยงไม่ได้ มองไปยังถาวจวินหลันอย่างลุแก่โทษ รีบเดินเข้าไปหยิบเสื้อให้ถาวจวินหลัน พร้อมทั้งย้ายเตาผิงมา
ถาวจวินหลันเห็นหงหลัวยุ่ง ในใจก็เกิดกระตุกขึ้นมา ถอนหายใจพูดว่า “ไปก่อไฟในห้องครัวเล็กของวังตวนเปิ่น หากมีเนื้อก็ให้ทำน้ำแกงเนื้อ ใส่ขิงให้เยอะๆ ช่วยให้ทุกคนคลายหนาว”
แน่นอนว่าบางทีนี่อาจไม่ใช่แค่การคลายหนาวอย่างเดียว คนข้างนอกได้กลิ่นน้ำแกงเนื้อจากในกำแพง ก็ไม่รู้ว่าจะรู้สึกเช่นไร? บางทีอาจรู้สึกโกรธแค้น? หรือรู้สึกไม่ยุติธรรม แล้วเริ่มไม่สงบใจ?
นี่ย่อมเป็นไปได้ทั้งนั้น
มีเตาผิงและผ้าคลุม ถาวจวินหลันก็นั่งรอหลี่เย่ที่ระเบียงอย่างสุขุม ทั้งยังสบายอกสบายใจอย่างไม่มีเหตุผล ถ้าไม่ใช่เพราะสถานการณืไม่สู้ดี เกรงว่าคงอยากชมหิมะด้วย แน่นอนว่าทำเช่นนี้นางย่อมมีเวลารอดูช้าๆ ว่าน้ำแกงเนื้อนั่นจะเกิดผลหรือไม่
พอคิดว่าคนที่ท่าทีเ**้ยมโหดพร้อมตีข้างนอกนั่นจะต้องมาแพ้เพราะน้ำแกงเนื้อหม้อหนึ่ง ถาวจวินหลันก็อดหัวเราะไม่ได้
แต่มีแค่ไม่กี่คนที่รู้ความคิดที่แท้จริงของนาง แทบทุกคนคิดเอาเองว่าชายารัชทายาทมีจิตใจเมตตา สงสารพวกเขาที่เป็นข้ารับใช้เท่านั้นเอง
ภายในห้อง จิ้งหลิงกำลังกล่อมให้เด็กๆ เข้านอนอย่างวุ่นวายใจ เซิ่นเอ๋อร์กับหมิงจูยังเด็ก บวกกับแต่เดิมที่ง่วงอยู่แล้วจึงผล็อยหลับไปง่ายดาย กลับเป็นซวนเอ๋อร์ที่ลืมตาโพลงจ้องดูความเคลื่อนไหวด้านนอก
กั่วเจี่ยเอ๋อร์แม้จะง่วง แต่ก็ไม่ยอมหลับคนเดียว นางจะต้องอิงแอบจิ้งหลิงถึงยอมนอน จิ้งหลิงจนปัญญา ทำได้แค่โอบกั่วเจี่ยเอ๋อร์เอาไว้
แต่แล้ว ซวนเอ๋อร์ก็ถามขึ้นทันที “ข้างนอกเกิดอะไรขึ้นหรือ?”